ไม่มียางรุ่นไหนที่จะมีความสามารถครอบคลุมการใช้งานได้ทั้งหมด การเลือกใช้ยางที่ถูกต้องก็คือ นอกจากจะดูจากความคงทนถาวรไม่แตกง่ายแล้ว ยางที่เลือกต้องเหมาะสมกับประสิทธิภาพของรถ เมื่อทำจะเลือกซื้อยางใหม่ บางคนสงสัยว่า ตัวเลขและสัญลักษณ์ที่แก้มยางนั้นบ่งบอกถึงอะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

แก้มยางทุกยี่ห้อ ทุกขนาด จะมีการปั๊มบ่งบอกถึงขนาดและปีที่ผลิต ตลอดจนประสิทธิภาพของการรับแรงต่างๆ หากเป็นยางรถยนต์ทั่วๆ ไป ซึ่งไม่ใช่ยางรถออฟโรดที่เอาไว้ลุย มักบอกความสูงรวม ยกตัวอย่างเช่น รายละเอียดที่ระบุไว้บนแก้มยาง 205/60 R15 94H

...

ตัวเลขและอักษรที่อยู่บนแก้มยาง คือ รายละเอียดของยางเส้นนั้น ที่บอกให้รู้ถึงขนาดและประเภทของยาง ตัวเลข 205 หมายถึงหน้ากว้างของยาง โดยวัดจากหน้าสัมผัสจากขวาไปซ้าย บางบริษัทระบุว่าวัดจากแก้มยางส่วนที่ป่องที่สุดจากซ้ายไปขวา โดยยางจะต้องใส่กับล้อที่มีความกว้างตรงตามที่กำหนด และสูบลมตามที่ได้ระบุไว้ เรื่องลมยางก็สำคัญและเขียนถึงไปหลายครั้งแล้วว่า ให้หมั่นตรวจสอบแรงดันลมยางเป็นประจำเพื่อยืดอายุการใช้งานรวมถึงในด้านของความปลอดภัย 

แก้มยางโดยทั่วไปจะบอกรายละเอียดต่างๆ เช่น เครื่องหมายวัดการสึกหรอของยาง ยี่ห้อและรุ่น ความกว้างของยาง (มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร) Series หรือความสูงของแก้มยาง ระบุเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ ดัชนีการรับน้ำหนัก สัญลักษณ์ความเร็ว หรือบอกว่าเป็นยาง Tubeless ไม่มียางใน รวมถึงวันเดือนปีที่ผลิต

หน้ากว้างของยางรถยนต์ มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของการยึดเกาะกับถนน แม้ยางหน้ากว้างจะเกาะถนนได้ดีกว่ายางหน้าแคบ แต่ก็มีผลเสียคือ สร้างภารกรรมให้กับการขับเคลื่อน หรือกินกำลังของเครื่องยนต์ และทำให้รถกินเชื้อเพลิง ยิ่งล้อมีขนาดใหญ่มากเท่าไร ก็จะมีแรงเสียดทานมากขึ้นเท่านั้น การใส่ยางที่โตกว่าสเปกกำหนด นอกจากจะรับประทานน้ำมันเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเกิดความสึกหรอของชิ้นส่วนช่วงล่างอีกด้วย เพราะล้อที่ใหญ่กว่าเดิม ช่วงล่างก็ต้องรับภารกรรมน้ำหนักใต้สปริงเพิ่มขึ้น ควรเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักของรถ รวมถึงความกว้างของล้อที่เปลี่ยนใหม่ เพื่อทำให้การเปลี่ยนยางกับล้อมีความสัมพันธ์ลงตัวกับกำลังและช่วงล่างของรถ

...

ยาง 205/60R15 ตัวเลข 60 คืออัตราส่วนความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็น % หรือเรียกสั้นๆ ว่า Series อัตราส่วนยิ่งต่ำ จะแสดงว่ายางเส้นนั้นยิ่งมีแก้มที่เตี้ยลง โดยตัวเลขที่แสดงนั้นต้องผ่านการคำนวณ ถึงจะทราบว่ายางเส้นนั้นมีความสูงของแก้มยางกี่มิลลิเมตร? ยกตัวอย่างเช่น ยางเส้นนั้นมีแก้มสูง 65% ของ 205 นั่นก็คือ 205x60/100=123 มิลลิเมตร

ตัวเลขดัชนีน้ำหนักบรรทุก
ตัวเลขที่แสดงน้ำหนักสูงสุดที่ยางแต่ละเส้นสามารถรับได้ R หมายถึง โครงยาง ซึ่งก็คือ เรเดียล ส่วนยางประเภทอื่นๆ เช่น ไบแอส-ผ้าใบ ใช้ตัวอักษร PR ซึ่งย่อมาจาก Poly Rating หรือจำนวนชั้นของผ้าใบ

95 คือดัชนีการรับน้ำหนักต่อยาง 1 เส้น หรือ Load Index เป็นค่าสูงสุดของการรับน้ำหนักที่ยางเส้นนั้นสามารถรับได้ โดยมีหน่วยเป็นกิโลกรัม เช่น 95 รับน้ำหนักตรงตามตารางได้ที่ 690 กิโลกรัม

ตัวเลข 15 คือเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว ยางและล้อต้องมีค่าที่เท่ากันเสมอ

...

สัญลักษณ์ตัวเลขระบุความเร็วที่รองรับได้ในยางรถยนต์
Speed Symbol เป็นตัวอักษรใช้แทนค่าความเร็วของยางโดยจะมีค่าที่สอดคล้องกับดัชนีการรับน้ำหนักบรรทุกของยางเส้นนั้นๆ เช่น
L ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
M ความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
N ความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
P ความเร็ว 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Q ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
R ความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
S ความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
T ความเร็ว 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
U ความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
H ความเร็ว 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
VR ความเร็วเกินกว่า 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
V ความเร็ว 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
W ความเร็ว 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Y ความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ZR ความเร็วเกิน 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

รหัสวันที่บนยางรถยนต์และวิธีดูยางรถยนต์หมดอายุอยู่ตรงไหน?

วิธีดูยางรถยนต์หมดอายุนั้นคุณสามารถดูอายุยางได้จาก “วันที่ผลิตยาง” ตรงแก้มยางด้านนอก ตัวเลขนี้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะบอกสัปดาห์และปีที่ผลิตด้วยรหัส 4 ตัว (WWYY)

...

วิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ ให้มองไปตามแก้มยางในทิศทางตามเข็มนาฬิกา จะพบชุดอักษรและตัวเลขอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ซึ่งก็คือเลขรหัส 4 ตัวที่ระบุช่วงเวลาผลิตยางนั่นเอง

วิธีถอดรหัสตัวเลขบนยางรหัสเป็นไปตามรูปแบบ “WWYY” โดยเลข 2 ตัวแรกบอกว่าเป็นสัปดาห์ที่เท่าไหร่ และเลข 2 ตัวหลังคือ 2 หลักสุดท้ายของปี ค.ศ. ที่ผลิตยาง

ยกตัวอย่างเช่น ALENZA001 รหัส “0619” ซึ่งหมายความว่า ยางเส้นนี้ถูกผลิตขึ้นในสัปดาห์ที่ 6 ของปี 2019 ดังนั้น จากวิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ จึงพอบอกได้ว่ายางเส้นนี้ถูกผลิตประมาณสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน กุมภาพันธ์ 2019

เมื่อร้านรับเปลี่ยนยาง มีการเก็บรักษายาใหม่อย่างเหมาะสม ยางจะมีอายุการเก็บรักษาในที่เก็บโดยเฉลี่ยนาน 5 ปี โดยยังสามารถซื้อมาใช้ได้ แม้ว่าจะถูกผลิตจากโรงงานมาหลายเดือนแล้วก็ตาม ยางใหม่จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 40,000 กิโลเมตร ปัจจุบันในประเทศไทยจะมีคำแนะนำการเปลี่ยนยางเมื่อเดินทางได้ 40,000-50,000 กิโลเมตร หรือมีอายุการใช้งานทุกๆ สามปีครึ่ง อาจน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการขับขี่ น้ำหนักบรรทุก แรงดันลมยาง สภาพถนนและสภาพอากาศที่ใช้งานยางเส้นนั้นเป็นประจำ.