ไม่มียางสมรรถนะสูงยี่ห้อใดที่สามารถรีดน้ำได้ 100% ยางที่ดีทำได้แค่การรีดน้ำออกไปจากหน้ายางให้เร็วที่สุดเท่านั้น เมื่อผิวถนนเปียก ยางจะไม่สามารถรีดน้ำได้หมด ไม่มากก็น้อยที่คุณอาจเกิดอาการลื่นไถล ยิ่งขับมาเร็วมากเท่าไรก็ทำให้ยางหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกดเพื่อรีดไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสก็จะแย่ลงกว่ารถที่ขับช้าๆ การขับด้วยความเร็วต่ำทำให้ยางหมุนผ่านผิวน้ำไปช้าๆ ยางจึงสามารถรีดน้ำได้อย่างเต็มที่ แถมความเร็วต่ำยังทำให้ไม่สูญเสียการควบคุม หรือเกิดขึ้นแค่เล็กน้อย สามารถแก้ไขได้

คำว่า Hydroplaning หรืออาการเหินน้ำ เกิดจากยางรถยนต์ที่หมุนไปเหนือชั้น (Layer) ของน้ำ ทำให้ยางไม่เกาะกับผิวถนน อาจเกิดขึ้นได้ทุกครั้งที่ขับฝ่าน้ำฝนท่วมขังเป็นแอ่งเล็กๆ บนถนน หรือวิ่งฝ่าสิ่งสกปรกยามเกิดฝนตกหนัก เช่น โคลน เลนที่อยู่บนพื้นผิวถนน ทำให้สูญเสียการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นทิศทางหรือการเบรก เพราะความฝืดระหว่างล้อรถยนต์กับถนนถูกกั้นด้วยน้ำนั่นเอง

...

ทำไมรถยนต์ถึงเกิดอาการเหินน้ำ
ความเร็วที่ใช้ขับระหว่างวิ่งทับแอ่งน้ำ เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญ ยิ่งขับมาเร็วมาก โอกาสที่ล้อจะรีดน้ำได้ทันก็จะยิ่งลดลงเป็นเงาตามตัว ขับเร็วในช่วงที่เกิดฝนตกหนัก มีน้ำขังบนผิวถนน โอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการเหินน้ำ จะมากกว่าการขับด้วยความเร็วต่ำ ฝ่าแอ่งน้ำเล็กๆ บนผิวถนน

นอกจากความเร็วที่ขับในขณะนั้น น้ำหนักของรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่มีความสำคัญ แอ่งน้ำมักทำให้รถที่เบาแต่วิ่งด้วยความเร็วเกิน 80-100 กิโลเมตร เนื่องจากรถยิ่งมีน้ำหนักมากเท่าไรโอกาสเกิดการเหินน้ำจะน้อยลงเพราะต้องวิ่งที่ความเร็วต่ำอยู่แล้ว แต่รถที่หนักจากการบรรทุก เมื่อเกิดอาการสูญเสียการควบคุมแล้ว แรงเฉื่อยจะยิ่งมากกว่ารถคันเล็กๆ หรือรถที่เบากว่า ดอกยางของรถยนต์มีความสำคัญในลำดับต้นๆ ลักษณะของดอกยาง ความลึกของดอกยาง เป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้สำหรับการยึดเกาะและรีดน้ำ ความลึกของดอกยางในทางทฤษฎี หากดอกยางเหลือเพียงครึ่งเดียว ความเร็วที่ใช้จะต้องลดลงจากเดิมประมาณ 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเทียบกับดอกยางที่สดใหม่ ยิ่งดอกยางเหลือน้อย การยึดเกาะก็จะยิ่งแย่ลง ไม่ควรใช้ยางที่ดอกเหลือน้อย หรือยางหมดสภาพมาขับใช้งานในฤดูฝน 

ล้อหน้ากว้าง ยางแก้มเตี้ย ก็มีโอกาสเกิดอาการเหินน้ำ หรือแฉลบตกถนนได้เหมือนกัน รถล้อโตโหลดเตี้ยหากใช้ความเร็วเกินกว่า 100-120 เมื่อเจอกับแอ่งน้ำ ก็อาจเกิดอาการแฉลบเสียการควบคุม อย่างที่บอกว่า เมื่อใช้ความเร็วระหว่างฝนตก ดอกยางที่ทับแอ่งน้ำจะรีดน้ำออกไม่ทัน ทำให้หน้ายางไม่สัมผัสกับผิวถนน ตามมาด้วยอาการลื่นไถล อาจแฉลบไปมา หรือแถซ้ายป่ายขวาเอาไม่อยู่ เสียหลักอย่างรุนแรงจนตกถนน หรือหมุนไปฟาดเข้ากับเสาไฟฟ้า-ต้นไม้ข้างทางซึ่งตามมาด้วยความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิต

สภาพถนน
เมื่อความลึกของน้ำบนพื้นผิวถนนเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ใน 10 ของนิ้ว ความเสี่ยงของการเหินน้ำจะเพิ่มขึ้น ความหนาแน่นของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ประเภทของพื้นผิวถนน และสภาพการระบายน้ำ เป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดสภาวะที่พร้อมสำหรับการเกิดอาการเหินน้ำ โดยพื้นฐานแล้ว ยิ่งน้ำขังบนผิวถนนลึกมากเท่าใด โอกาสที่รถจะเกิดอาการเหินน้ำก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ลักษณะของพื้นผิวถนนก็มีส่วนเช่นกัน หากผิวถนนในช่วงที่มีน้ำท่วมขังเล็กๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากฝนตกหนักจนกลายเป็นแอ่งน้ำ เมื่อผิวถนนเป็นพื้นคอนกรีต โอกาสเกิดอาการเหินน้ำสูญเสียการควบคุมทิศทางจะง่ายกว่าถนนที่มียางมะตอยราด แต่ถนนลาดยางมะตอยจะลื่นมากกว่าเมื่อเกิดฝนตก ไม่ว่าจะเป็นผิวถนนแบบใดก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูงขับฝ่าแอ่งน้ำอย่างเด็ดขาด

...

2. ความเร็ว
ยางต้องใช้เวลาในการรีดน้ำระหว่างดอกยางกับพื้นถนน ยิ่งความเร็วสูงเท่าไร เวลาในการรีดน้ำออกจากหน้ายางก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น นั่นขึ้นอยู่กับความลึกของดอกยางและการออกแบบลายดอกยาง รวมถึงปริมาณน้ำฝนบนผิวถนน การเหินน้ำสามารถเกิดขึ้นได้ที่ความเร็วต่ำตั้งแต่ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

3. ความลึกของดอกยาง
ในบรรดาปัจจัยทั้งหมดที่นำไปสู่การเหินน้ำ (หรือต้านทานการเหินน้ำ) ความลึกของดอกยางเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด แม้แต่ยางที่ดีที่สุดบนท้องถนนก็ยังต้านทานการเหินน้ำได้น้อยลง เมื่อดอกยางสึกถึง 2/32 นิ้วหรือน้อยกว่า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนยางที่สึกหรอโดยเร็วที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าขับขี่ได้อย่างปลอดภัยบนถนนที่มีฝนตก

4. น้ำหนักรถ
เมื่อคุณเปรียบเทียบรถสองคันที่ติดตั้งยางขนาดและประเภทเดียวกัน รถที่มีน้ำหนักมากกว่าจะได้เปรียบในการต้านทานการเหินน้ำเนื่องจากมีแรงขับน้ำออกจากใต้ยางมากกว่า

...

วิธีป้องกันอาการเหินน้ำ

1-เมื่อฝนตกและถนนมีน้ำขังเจิ่งนอง ไม่ควรขับรถเร็วเกิน 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากพื้นผิวถนนมีน้ำขัง หรือแม้แต่เปียกเล็กน้อย ต้องลดความเร็วและใช้ความระมัดระวัง ถ้าฝนตกหนักจนมองไม่เห็นก็หาที่จอดที่ปลอดภัย รอจนฝนซาแล้วค่อยเดินทางต่อ ฝืนขับต่ออันตราย

2-ยางรถยนต์ ต้องมีดอกยางลึกเสมอ ยางหัวโล้น ยางใช้งานมานานจนดอกยางหมด อันตรายมากๆ

3-ห้ามปิดระบบ Traction Control เมื่อขับรถบนถนนเปียก

เมื่อขับทับแอ่งน้ำแต่ใช้ความเร็วต่ำ รวมถึงยางก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ รถจะสูญเสียการควบคุมเพียงเล็กน้อย คุณควรควบคุมรถยนต์ก่อนขับผ่านแอ่งน้ำบนถนน ทั้งการลดความเร็ว จับพวงมาลัยให้กระชับขึ้นเล็กน้อย ห้ามเบรก หรือหักพวงมาลัยไปมาเด็ดขาด

อาการเหินน้ำกับระบบขับเคลื่อนสามแบบ

1. รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า
รถขับหน้านั้นมีคนใช้เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบอาการเมื่อล้อหน้าซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนเกิดการลื่นไถล เมื่อเกิดอาการเหินน้ำที่ล้อหน้า โอกาสเกิดการเสียหลักหรือหมุนจะเพิ่มมากขึ้น หากขับมาด้วยความเร็วสูง มีความเป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียการควบคุมจนรถตกข้างทาง ฟาดอย่างรุนแรงกับต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า ควรลดความเร็วเมื่อฝนตกหนัก หรือสภาพถนนเริ่มมีแอ่งน้ำท่วมขัง

...

2. รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง
การควบคุมเมื่อเกิดอาการเหินน้ำจะง่ายกว่า แต่ถ้ามาเร็วเกินไปขับแบบไหนก็จบเห่! อาการของรถขับหลังจะไม่มากเท่ากับรถขับเคลื่อนล้อหน้า แค่ยกคันเร่งแล้วประคองพวงมาลัยคืนไปในทางตรงข้ามกับส่วนท้ายที่เริ่มกวาดออก อย่าตกใจ ห้ามเบรกหรือหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว ที่ถูกต้องก็คือ ลดความเร็วเมื่อฝนตก และขับอย่างระมัดระวัง

3. รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ
คุณอาจไม่หมุนคว้างเมื่อขับผ่านแอ่งน้ำ เนื่องจากรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลากับยางดีๆ นั้นให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะกับผิวถนนมากกว่าระบบขับเคลื่อนแบบอื่นๆ แต่หากเกิดสูญเสียการควบคุมขึ้นมาจริงๆ เนื่องจากความเร็วที่ขับผ่านแอ่งน้ำนั้นสูงมากๆ ให้ลดความเร็วแล้วรักษาทิศทางของรถเอาไว้ เมื่อคุณไม่ใช่พวกยอดฝีมือหรือมือขับแรลลี่ระดับโลก อาการจะเกิดได้ทั้งหน้าดื้อและท้ายปัด ซึ่งจะเกิดพร้อมๆ กัน ทำให้เมื่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อสูญเสียการยึดเกาะนั้นจะแก้กลับได้ยากมากกว่ารถประเภทอื่นๆ

ข้อควรระวัง
ห้ามเบรกเมื่อเกิดอาการเหินน้ำ ผู้ขับส่วนใหญ่จะตกใจแล้วเหยียบเบรกอย่างรุนแรงเมื่อรถสูญเสียการควบคุม การเหยียบเบรกฉุกเฉินจะยิ่งทำให้เกิดอาการสูญเสียการทรงตัวมากยิ่งขึ้น

หลีกเลี่ยงโอกาสเกิดอาการเหินน้ำให้มากที่สุดด้วยการลดความเร็ว ใช้เกียร์ต่ำเพื่อสร้างแรงยึดเกาะ ขับให้ช้าลงเมื่อถนนเริ่มมีแอ่งน้ำท่วมขังทั้งเลนขวาและเลนซ้าย ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้น หากยางที่คุณใช้อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดี.