Ford วางตำแหน่ง Everest Sport เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับคนที่กำลังอยากได้แต่ไม่อยากควักแพงเกิน 1.5 ล้าน นี่คือรถ PPV ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยานยนต์อเนกประสงค์รุ่นขายดีที่ได้รับการขัดเกลามาเรียบร้อยแล้ว ในความเป็นจริง บนตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ (กระบะดัดแปลง PPV SUV) แม้ยอดขายของ Everest จะตามหลังเจ้าตลาดอย่าง Fortuner ที่ครองความเป็นเจ้ามานาน และน้องใหม่มาแรงอย่าง MU-X ที่ค่อนข้างใหม่ แต่การขับที่ดีงามของ Everest ก็ชนะใจลูกค้าทั่วโลกโดยเฉพาะในไทยที่ Everest สามารถทำตัวเลขยอดขายอยู่ในอันดับที่ 3 ในตลาดที่แข็งแกร่งและยากที่จะแทรกตัว ทุกวันนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ออฟโรดของ Ford เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีรุ่นย่อยอย่าง Wildtrak 2.0 biturbo และ Platinum V6 ดีเซลเทอร์โบเดี่ยวออกมาให้ลูกค้าเลือกซื้อตามกำลังเงิน การเพิ่มทางเลือกด้วยระบบส่งกำลังที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเก่า ทำให้รถ SUV 7 ที่นั่งรุ่นนี้ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในราคาที่ถูกกว่า เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ และการตกแต่งแบบสปอร์ต ทำให้ Everest ขับเคลื่อนสองล้อเป็นจุดสมดุลที่ลงตัว ทั้งราคาค่าตัวและสมรรถนะที่จะได้รับ ที่น่าสังเกตก็คือ Ford Everest Sport เป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อที่มีราคาไม่แพง ใช้งานได้ดีและมีความหล่อเหลาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่คิดจะลุยหนักและใช้งานในเมืองเป็นหลักโดยแทบจะไม่ใด้ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ การเลือกรุ่นรองก็ถือเป็นความคิดที่ดีเหมาะสมกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน
Everest Sport 2.0L Turbo ราคาเริ่มต้น 1,522,000บาท
...
การตกแต่งแบบสปอร์ตเน้นรายละเอียดสีดำเป็นหลัก สีดำของอุปกรณ์ตกแต่งรวมถึงล้อขอบ 20 นิ้ว ดูตัดกับสีขาว Snow Flake White Pearl ของรถทดสอบอย่างลงตัว แรคหลังคา ARB สีดำ ยิ่งทำให้ Ford Everest Sport ดูหรูหราและดุดันมากยิ่งขึ้น แต่แรคหลังคาที่ต้านกระแสลมจะเริ่มส่งเสียงให้ได้ยินที่ความเร็ว 90 กิโลเมตรเป็นต้นไป แรกๆอาจรำคาญแต่ใช้งานไปนานๆก็จะชินกับเสียงลมปะทะเข้ากับตัวแรค มาดูที่ส่วนหน้าของ Everest Sport ไฟ LED สร้างความแตกต่างจากกระบะญี่ปุ่น
...
...
...
ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้า Matrix ทำงานอัตโนมัติแบบ Adaptive LED ระบบไฟอัตโนมัติที่ตอบสนองต่อแสงบนถนนรอบตัว ทำงานเร็วและมีกำลังในการส่องสว่างสูง ยกไฟสูงหรือเบี่ยงเบนลำแสงไม่ให้ไปรบกวนรถที่แล่นสวนมาหรือรถที่อยู่ด้านหน้า ไฟหรี่กลางวันและไฟเลี้ยวหลอด LED แม้แต่ล้อ (ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน) ก็ยังพ่นสีดำ รูปลักษณ์ของ Sport 2.0 4×2 ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากกว่า Platinum ซึ่งเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ใช้โครเมียมแวววาว แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและกำลังทรัพย์ของแต่ละคน ฝาท้ายไฟฟ้ากับพื้นที่เก็บสัมภาระเมื่อพับเบาะแถวสามมีพอเพียงสำหรับการเดินทางไกลแบบบ้าอุปกรณ์ มิติตัวถัง มีความกว้าง 1,923 มิลลิเมตร ยาว 4,914 มิลลิเมตร และสูงถึง 1,842 มิลลิเมตร ความสูงของตัวรถเน้นที่ความสมบุกสมบันในการลุยฝ่าเส้นทางออฟโรดแบบไม่หนักมาก หรือลุยน้ำท่วมขังบนถนนได้อย่างสบายตัว
ตัวถังมีความยาว 4,914 มิลลิเมตร สูง 1,842 มิลลิเมตร ทำให้การเข้าออกจากห้องโดยสารต้องยกตัวเองขึ้นไปโดยใช้มือจับที่ด้านในของเสาเอ เสาหน้ามีองศาของความเอนลาดที่ลงตัว เสาท้ายที่สอดรับกับผืนหลังคา แรคหลังคาที่ติดตั้งมาให้เพื่อความสะดวกในการขนสัมภาระ กระจกบังลมบานหน้าและบานข้างมีขนาดใหญ่ กรอบกระจกมองข้างติดตั้งเลนส์ไฟเลี้ยว เพื่อเพิ่มความปลอดภัย มุมด้านบนของแก้มข้างติดตั้งแถบพลาสติกสีดำบ่งบอกถึงรุ่นที่มีเกียร์ออโต้ 6 สปีดประจำการอยู่ ซุ้มล้อทั้งหน้าและหลังมีโป่งล้อขนาดมหึมา บานประตูทั้งสี่ใหญ่โตทำให้การเข้าออกจากห้องโดยสารมีความสะดวก กาบข้างติดตั้งที่เหยียบเพื่อก้าวเข้าไปในห้องโดยสารทำจากพลาสติก จุดที่ทำให้รถ PPV คันนี้ดูดีก็คือล้ออัลลอยลายใหม่สีดำ เป็นล้อขอบ 20 นิ้ว ผลิตขึ้นรูปจากอะลูมินัมอัลลอย ล้อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ห่อรัดด้วยยางกึ่งออฟโรดของ Goodyear รุ่น Wrangler Territory HT ไซส์ 255/55R20
กลไกเปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้า ไฟท้ายเชื่อมต่อกันทั้งซ้ายและขวาด้วยชิ้นงานพลาสติกสีดำกับตัวอักษร Everest ไฟท้ายทรงยาวหลอด LED เข้ากับสัดส่วนบั้นท้ายจากการออกแบบ เชื่อมโยงมุมมองส่วนท้ายให้มีความลงตัว ไฟท้ายของ Everest Sport ใช้หลอดไฟแบบผสม ซึ่งมีทั้งหลอดไฟท้ายแบบ LED และหลอดไฟแบบธรรมดาอยู่ภายใน ขอบด้านบนของกันชนหลัง มีพลาสติกกันกระแทกสีดำคอยป้องกันริ้วรอย เมื่อต้องยกสัมภาระเข้าออกจากห้องเก็บของส่วนท้าย กันชนหลังมีการดีไซน์แบบสองชิ้นเหมือนกันกับกันชนหน้า พร้อมพลาสติกกันกระแทกสีดำ และแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงมัลติรีเฟคเตอร์สำหรับความปลอดภัยเมื่อจอดรถในที่มืด กล้องมองหลังติดมาให้พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ถอยหลังแจ้งเตือนด้วยสัญญาณเสียงเมื่อถอยเข้าไปใกล้กับวัตถุกีดขวาง ด้านบนของฝาท้ายบริเวณกึ่งกลางกระจกบานฝาท้ายเป็นที่อยู่ของไฟเบรกดวงที่ 3
ห้องโดยสารของ Everest Sport 2.0 4x2 6 A/T เนื่องจากเป็นรุ่นต่ำ Ford จึงพยายามปรับความหรูหราและใส่อุปกรณ์ตกแต่ง Sport เพื่อความสวยงาม เบาะ พวงมาลัย หัวเกียร์ แผงประตู ภายในสีดำ เบาะโดยสาร 7 ที่นั่งค้อนข้างกว้างขวาง โดยเฉพาะโซนของเบาะคู่หน้าและเบาะแถวกลาง ส่วนเบาะแถวที่สามปรับพับด้วยมือ พื้นที่เบาะแถวสามเหมาะกับเด็กมากกว่าจะให้คนตัวสูงลงไปนั่ง พลาสติกตกแต่งภายในมีผิวสัมผัสและรายละเอียดของชิ้นงานแตกต่างกันออกไป ตามแนวทางของงานตกแต่งห้องโดยสารยุคใหม่ของ Ford
นอกจากแนวทางตกแต่งสีดำทั้งภายนอกและภายในแล้ว ก็ยังยากที่จะสังเกตเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Platinum และ Sport ที่น่าสนใจคือ Sport สูงกว่า Platinum นิดเดียว ซึ่งทำให้ได้มุมเข้า/ออกที่ดีขึ้นนิดหน่อย ภายในห้องโดยสารของ Everest Sport นั้นดูเหมือนชิ้นส่วนต่างๆจะอุดมไปด้วยพลาสติกและหนังเทียม ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีดำเป็นสีหลัก แต่กลับดูหรูหราและไม่ดูแย่จนเกินไป สาเหตุหลักมาจากหน้าจอสัมผัสแบบแท็บเล็ตขนาด 10 นิ้วที่อยู่ตรงกลางแผงหน้าปัด รวมถึงแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว (ซึ่งแน่นอนว่าเล็กกว่ารุ่น Platinum ที่มีขนาด 12 นิ้ว) เบาะนั่งด้านหน้าปรับด้วยไฟฟ้า (รวมถึงที่รองรับส่วนหลัง) ไม่มีระบบทำความร้อน/ความเย็น เบาะแถวที่ 2 มีพื้นที่พอสมควร นั่งสบายใช้ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เบาะแถวที่ 3 ไม่มีฟังก์ชันพับอัตโนมัติ เบาะนั่งเป็นหนังสังเคราะห์ เนื้อเบาะแตกต่างจากเบาะหนังพรีเมียมในรุ่นเรือธง
ห้องโดยสารของ Everest Sport นั้นแทบจะเหมือนกับรุ่น Platinum (ในแง่ของการใช้งานจริงด้านพื้นที่ใช้สอย) พื้นที่เหนือศีรษะในแถวที่ 1 และ 2 ของ Everest Sport นั้นเหนือกว่ารุ่น Platinum อย่างเห็นได้ชัด (เพิ่มขึ้น 4 ซม. ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว) Ford Everest Sport มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย หน้าจอมอนิเตอร์ของระบบอินโฟเทนเมนท์และการปรับตั้งค่าต่างๆ เป็นจอภาพแนวตั้งขนาด 10 นิ้ว สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ออกแบบซอฟแวร์ควบคุมการทำงานให้เข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว (บางทีก็ช้าอยู่เหมือนกัน) เช่น Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto แบบมีสาย ระบบเสียง 8 ลำโพงไม่ถึงกับเจ๋งแต่ก็ดีกว่าเดิมมาก เสียงที่ขับผ่านลำโพงไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ผมชอบแต่ก็ยังถือว่าดีเลยเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว แท่นชาร์จมือถือแบบไร้สายใช้งานได้จริง ไม่สร้างอุณหภูมิให้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนบุคคลราคาแพง พอร์ตชาร์จ USB มากมายก่ายกองสำหรับผู้โดยสารทุกคน
พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ไม่มีแป้น Paddle Shift มาให้! แต่ใช้การกดปุ่มข้างคันเกียร์แทน พวงมาลัยหุ้มหนังตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำเงา มีสวิตช์สั่งงานมัลติฟังก์ชันมาให้ พวงมาลัยมีขนาดพอดีออกแบบให้จับได้ถนัดมือ ปรับตั้งได้ 4 ทิศทางทั้งใกล้-ไกลและสูง-ต่ำ สวิตช์มัลติฟังก์ชันใช้สำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆ เช่น ระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise control สวิตช์เลือกดูข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Multi information display ที่ด้านขวาและซ้าย ปรับความดังของลำโพง ปุ่มรับหรือวางสายโทรศัพท์ในระบบบลูทูธ ปุ่มระบบสั่งงานด้วยเสียง
สมรรถนะและประสิทธิภาพใต้ฝากระโปรงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 BiTurbo ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Ford ซึ่งพัฒนากำลัง 124 กิโลวัตต์ แรงบิด 405 นิวตันเมตร มี 4 โหมดขับเคลื่อน เช่น Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 1,750 ถึง 2,500 รอบต่อนาที แม้ว่าตัวเลขสูงสุดจะต่ำกว่าเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ของ Everest รุ่น Platinum อยู่มาก แถมยังเป็นรองกำลังของเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ใน Fortuner และ 3.0 ลิตรใน MU-X ใช้แค่วิ่งเรื่อยๆ จะเร่งแซงก็กะระยะกันให้ดีๆ เครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทำงานฉลาดน้อยกว่าเกียร์ 10 สปีด แต่พิสูจน์แล้วว่าทนทานกว่า และประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องใหญ่ไปเร็ว!
ในสภาพการขับ ระบบส่งกำลังแสนธรรมดาของ Everest Sport นั้นมีความสามารถเพียงพอที่จะขับเคลื่อนตัวรถเอสยูวีหนักสองตัน ได้อย่างมีพลังเพียงพอ เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 11.98 วินาที ด้วยเรือนร่างขนาดนี้ใช้เครื่องดีเซลสองลิตรถือว่ายังพอไหวแต่ไม่แรงดั่งใจนึก การวิ่งใช้งานออกทางไกลบนเส้นทางภูเขาในย่านความเร็วสูงต่อเนื่อง อัตราสิ้นเปลืองทำได้ 10.1 กิโลเมตรต่อลิตร ลองวิ่งเรื่อยๆ ใช้ความเร็วตามกฏหมายกำหนดทำได้ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่เลวเลยทีเดียวแต่ก็ไม่ทันใจเพราะย่องอยู่ในย่าน 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะโดนสิบแปดล้อสวนเอา
ความแตกต่างที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งระหว่าง Ford Everest Sport และรุ่น Platinum คือ รุ่นหลังมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ในขณะที่รุ่น Platinum มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ขณะขับเคลื่อนเป็นครั้งคราว ซึ่งประกอบไปด้วย 2H, 4H และ 4L (ระบบหลังใช้สำหรับสภาพออฟโรดที่ยากลำบาก) สำหรับ Everest Sport ใช้การขับเคลื่อนสองล้อหลัง อาจไม่ถูกใจคนชอบลุย แต่ในชีวิตจริง การเข้าเส้นทางที่ยากลำบากนั้น นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งในหนึ่งปี หรือหากเป็นคนรักรถก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาไปขับบนเส้นทางออฟโรด การมีแค่สองล้อหลังขับเคลื่อนก็พอเพียงต่อการใช้งานปกติ ขับลุยทางลูกรังได้ดี น้ำหนักตัวก็จะเบาลงไปพอสมควร ไม่ไปสร้างภาระให้กับเครื่องดีเซลตัวเล็ก
การใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลที่มีความจุแค่ 2.0 ลิตร (แทนที่จะเป็นเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร) ก็คือ Everest Sport ประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า Everest Platinum ในระหว่างการทดสอบ เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ของรุ่น Platinum เมื่อเร่งเต็มเหนี่ยวนั้นกินน้ำมันค่อนข้างมาก โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 8.9 กิโลเมตรต่อลิตร หรือน้อยกว่านั้นถ้าติดใจในความแรง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของรุ่น Sport อยู่ที่ 10.7 - 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการลากจูงของ Ford Everest 2.0 4×2 Sport อยู่ที่ 3,500 กิโลกรัม เอาไปลากเทรลเลอร์เรือเร็วหรือรถบ้านได้สบายๆ แต่ควรขับให้ช้าลงเวลาลากจูง
พวงมาลัยไฟฟ้าเมื่อขับออกจากที่จอดให้ความรู้สึกที่เบาสบายมือ Ford การเซตค่าความหน่วงของพวงมาลัยเมื่อขับเร็วก็เป็นธรรมชาติ น้ำหนักที่เบาและระยะหมุนที่แม่นยำ เมื่อขับในเมืองทำให้การเลี้ยวเปลี่ยนช่องทางหรือกลับลำมีความคล่องตัว ห้องโดยสารไม่มีเสียงแปลกปลอมเสียดสีกันของชิ้นงานที่ใช้ตกแต่ง การเป็นรถทดสอบของสื่อนั้นจะต้องถูกขับใช้งานอย่างหนักทั้งวิ่งบนถนนปกติรวมถึงการวิ่งบนทางแบบออฟโรด Everest Sport เก็บเสียงได้ไม่ดีเนื่องจากมีแรคหลังคาคอยต้านกระแสลมที่ความเร็วสูง เมื่อความเร็วเกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงลมปะทะแรคจะได้ยินอย่างชัดเจน และดังขึ้นเมื่อความเร็วทะยานผ่าน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการเดินเบาของเครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบ ทำได้นิ่งใช้ได้ แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องยนต์ไม่มาก เป็นอีกจุดที่ทำออกมาได้ดี
เมื่อมองจากประโยชน์ใช้สอย ห้องโดยสารของ Ford Everest Sport นั้นคล้ายคลึงกับรุ่น Platinum มาก ความกว้างพิเศษในห้องโดยสาร (เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า) และความใส่ใจในรายละเอียดทำให้ห้องโดยสารของ Everest เป็นพื้นที่มากกว่า Fortuner และ MU-X ส่วนรายการคุณสมบัติการใช้งานต่างๆ ของรถ PPV ทั้งสามรุ่นนั้น สูสีหนีกันไม่ออกอยู่ที่จของคุณจะเทไปทางไหนเพราะดีหมดทั้งสามตัว รวมถึงรถที่ขายไม่ดีอย่าง Terra ก็ยังไม่เป็นรองกับพระเอกพระรองทั้งสามหน่อ เพียงแต่หน้าตาของ Terra เท่านั้นที่ยังไม่โดนใจคนไทยส่วนใหญ่ สำหรับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเชิงรุกและระบบอินโฟเทนเมนต์บางอย่างที่มีในรุ่น Platinum นั้นก็ถือว่าทำได้ดี แต่รำคาญระบบรักษาช่องทางอยู่เหมือนกันที่เอาแต่แทรกแซงดึงกลับลูกเดียวจนต้องเข้าไปปรับให้ตอบสนองน้อยลง
ช่องเสียบ USB จำนวนมาก แท่นชาร์จมือถืออินเวอร์เตอร์ 400W แบบชาร์จไร้สาย ระบบปรับอากาศ ดูอัลโซน แผงปรับอากาศด้านหลังพร้อมช่องระบายอากาศสำหรับแถวที่ 2 และ 3 ฝาท้ายไฟฟ้า ใบปัดน้ำฝนแบบตรวจจับฝน ระบบแจ้งเตือนต่างๆ และระบบช่วยรักษาเลน ทำงานขยันขันแข็งจนบางครั้งรู้สึกรำคาญอยู่เหมือนกัน กระจกหน้าต่างขึ้น/ลงแบบสัมผัสเดียวที่ด้านหน้าเท่านั้น ฟังก์ชันเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังไม่มีให้ในรุ่น Sport นอกจากนี้ ระบบเสียงแบรนด์ B&O ก็ไม่มีมาให้ซึ่งก็ดีเลย เพราะที่อยู่ใน Raptor นั้นเสียงไม่สมกับแบรนด์ B&O เลยละครับ เสียงน่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่และควรใส่กรวยลำโพงประสิทธิภาพสูงจริงๆให้สมราคามากกว่าที่เป็นอยู่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไม่มีระบบช่วยจอด Active Park Assist ระบบตรวจสอบความดันลมยาง และจอแสดงภาพรอบทิศทาง มีกล้องมองหลัง ระบบ Pre-Collision Assist ขั้นสูง โดยภาพรวม ห้องโดยสารสะดวกสบายและหรูหราใช้ได้ แต่ฟีเจอร์ที่ขาดหายไปบางส่วนต้องทำใจเพราะจ่ายแค่ 1.5 ล้าน จะเอาเหมือนรถราคาสองล้านคงไม่ได้
Everest Sport ให้ความรู้สึกเป็นเอสยูวีมากที่สุดในบรรดา SUV 7 ที่นั่งที่มีอยู่ในตลาดของไทย ระยะฐานล้อที่กว้าง ระบบกันสะเทือนที่ปรับแต่งมาดี และยางที่เน้นการใช้งานบนท้องถนน รวมถึงระดับ NVH (เสียง การสั่นสะเทือน ความกระด้าง) ที่ต่ำอย่างน่าประทับใจ ส่งผลให้ขับแล้วรู้สึกติดใจ เสียอย่างเดียวกำลังน้อยไปนิด แรงบิดแค่ 405 นิวตันเมตรดูจะเหี่ยวเฉาไปนิด แรงบิดส่งไปยังล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด การส่งกำลังเป็นแบบเส้นตรง อย่างไรก็ตาม บางครั้งระบบส่งกำลังอาจสับสนว่าควรอยู่ในเกียร์ใด โชคดีที่มีโหมดแมนนวลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ นอกจากนี้ ยังมีโหมดการขับขี่อีก 4 โหมด ให้เลือก
ช่วงล่างหน้าแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่ที่มีการปรับค่ายืดและยุบของสปริงใหม่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงเส้นเขื่อง เพื่อลดอาการเต้นของช่วงล่างด้านหน้า รวมถึงยังลดอาการหน้ายุบเมื่อต้องลงเบรกหนักๆ อีกด้วย ส่วนช่วงล่างด้านหลังยังเป็นแบบคอยล์สปริง พร้อมกลไกวัตต์ลิงก์หรือเหล็กยึดค้ำที่ติดตั้งอยู่กับกระปุกของเฟืองท้าย ออกแบบใหม่และดูแล้วน่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม ช่วยลดอาการโคลงตัวบริเวณส่วนท้าย เพื่อทำให้บั้นท้ายของ Everest Sport มีความเสถียร กำลังแรงบิดที่ไม่มากทำให้มันควบคุมได้ง่ายซึ่งกลายเป็นข้อดีของคนที่ย้ายมาจากรถเล็ก ส่วนระบบเบรกจัดมาพร้อมตัวช่วยเบรกที่ป้องกันไม่ให้เสียอาการขณะใช้เบรกหนักๆ แต่ก็ควรจะเผื่อเรื่องระยะเบรกให้มากเข้าไว้เพราะตัวหนักเอาเรื่องเลยทีเดียว
สำหรับการควบคุมในย่านความเร็วสูง เมื่อเข้าโค้ง คุณจะรู้สึกถึงน้ำหนักของรถ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแย่ ขนาดของ Everest ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณจะต้องปรับความคุ้นเคยเมื่อย้ายมาจากรถเก๋งเล็ก ด้วยตำแหน่งการขับที่สูงโด่งทำให้มองเห็นได้รอบตัว เกียร์ 6 สปีด เป็นรองเกียร์ 10 สปีดอย่างชัดเจน แต่เปลี่ยนเกียร์เร็วและนุ่มนวล Everest เข้าโค้งด้วยความเร็วได้ดี การปรับแต่งให้เน้นการเลี้ยวเกินเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นเก่าที่มีอาการอันเดอร์สเตียร์ โดยรวมแล้ว Everest Sport น่าใช้พอสมควรเมื่อเทียบกับเงินที่ต้องจ่ายออกไปถึง 1.5 ล้านบาท.
Everest 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์
กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (125 กิโลวัตต์) / 3,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 405 นิวตัน-เมตร / 1,750-2,500 รอบต่อนาที
ระบบขับเคลื่อนและระบบส่งกำลัง
เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมระบบเลือกโหมดการขับขี่ 4 โหมด : Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery
แชสซีส์และระบบกันสะเทือน
แบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
แบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง
ดิสก์เบรกหน้า พร้อมครีบระบายความร้อน และ ดิสก์เบรกหลัง
ล้อและยาง
ล้ออัลลอย 20" สีดำ พร้อมยางขนาด 255/55 R20
อุปกรณ์ภายนอก
ชุดแต่งภายนอกสีดำสปอร์ต
ไฟหน้าแบบ LED รีเฟลกเตอร์ พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED รูป C-Clamp
ไฟตัดหมอกหน้า LED
ไฟท้ายแบบ LED Signature
ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า
อุปกรณ์ภายในและความสะดวกสบาย
ชุดแต่งภายในสีดำสปอร์ต
เบาะหนัง และ หนังสังเคราะห์สีดำ
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
แท่นชาร์จไร้สาย
หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 8 นิ้ว
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา
ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ช่องต่อไฟ 12V 3 ช่อง
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB
ระบบเปิด-ปิดกระจกสัมผัสเดียวด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ
ระบบเครื่องเสียงและการเชื่อมต่อ
หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 10.1 นิ้ว
รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android AutoTM
ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และ ระบบ SYNC® 4A
ระบบ FordPass Connect
ช่องต่อ USB 4 ตำแหน่ง
ลำโพง 8 ตำแหน่ง
อุปกรณ์ความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / ม่านถุงลมนิรภัย / และถุงลมบริเวณหัวเข่า
ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง
กล้องมองหลังขณะถอยจอด
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
เบรกมือไฟฟ้า
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
อุปกรณ์เสริม (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ขั้นสูง: ฟอร์ด เอเวอเรสต์ แพ็กเกจ B
อัพเกรดจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch จากขนาด 10.1 นิ้ว เป็น 12 นิ้ว
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
กล้องมองรอบคัน 360 องศา
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน
ระบบเตือนการชนด้านหน้า
ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง
ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด
ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง
ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ