Ford Everest Wildtrak 2.0L Bi-Turbo 10A/T ราคา 1,899,000 บาท เป็นรถ PPV-SUV มาพร้อมกับหน้าตาท่าทางแนวเอสยูวีมะกันที่โดนใจคนไทยมาตั้งแต่รุ่นที่แล้ว มาถึงรถรุ่นใหม่ที่เกลาหน้าตามาหล่อเหลากว่าเดิม โดยเฉพาะชุดแต่ง Wildtrak กับระบบส่งกำลังเครื่องและเกียร์รุ่นเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน New Ranger Raptor 2.0 ลิตร ดีเซลเทอร์โบคู่ จุดเด่นของ Everest รุ่น wildtrak นอกจากเครื่องยนต์ที่ปรับปรุงใหม่ให้ตอบสนองได้ดีขึ้นแล้ว ก็ยังได้อานิสงส์จากความแข็งแกร่งของแชสซีที่อ้างอิงกับรถออฟโรดภายใต้แบรนด์ Ford ซึ่งจำหน่ายอยู่ในสหรัฐอเมริกามาช้านานแล้ว มิติตัวถัง มีความกว้าง 1,923 มิลลิเมตร ยาว 4,914 มิลลิเมตร และสูงถึง 1,842 มิลลิเมตร ความสูงของตัวรถเน้นที่ความสมบุกสมบันในการลุยฝ่าเส้นทางออฟโรดหรือน้ำท่วมขังบนถนน 

เทียบราคา  PPV SUV 

Ford Everest Wildtrak 2.0 4x4 10AT :1,899,000 บาท

...

Toyota Fortuner Legender GR Sport 2.8 6AT 4×4 : 1,899,000 บาท

Isuzu MU-X 3.0 Ddi Ultimate 4WD ปี 2022 : 1,639,000 บาท ถูกกว่า 260,000 บาท

Mitsubishi Pajero Sport 2.4D GT-Premium 4WD (Elite Edition) :1,634,000 บาท ถูกกว่า 265,000 บาท

Nissan Terra Sport 2023 4WD 7AT : 1,555,000 บาท ถูกกว่า 344,000 บาท

...

มาดูที่หน้าตากันก่อน ด้านหน้าของ Ford Everest เวอร์ชัน Wildtrak ติดตั้งกระจังหน้าใหม่ทำจากพลาสติกสีเทา ด้วยชุดแต่งสีเทา Bolder Grey ในส่วนของ H-Bar บริเวณกระจังหน้า, ซุ้มล้อ, ช่องระบายอากาศด้านข้าง, กรอบกระจังหน้า และฝาครอบกระจกมองข้าง กันชนหน้าแบ่งออกเป็นสองส่วน ปิดทับส่วนหน้าของรถทั้งหมด ส่วนล่างของกันชนหน้ามีชิ้นงานกันกระแทกทำจากพลาสติกสีเงิน ออกแบบให้มีช่องรับอากาศตรงกึ่งกลาง ไฟตัดหมอกที่มุมด้านข้างของสปอยเลอร์หน้า มีตำแหน่งของการติดตั้งที่ต่ำแต่ลงตัว ช่วยเสริมให้มุมมองด้านหน้าของรถดูดุดัน รุ่นสูงสุดมีอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่ให้มาครบๆ ราวหลังคาแบบยกสูง รองรับการบรรทุกสัมภาระ 100 กิโลกรัม ขณะรถเคลื่อนที่ หลังคากระจก Panoramic Moonroof ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้า Matrix ทำงานอัตโนมัติแบบ Adaptive LED ระบบไฟอัตโนมัติที่ตอบสนองต่อแสงบนถนนรอบตัว ทำงานเร็วและมีกำลังในการส่องสว่างสูง ยกไฟสูงหรือเบี่ยงเบนลำแสงไม่ให้ไปรบกวนรถที่แล่นสวนมาหรือรถที่อยู่ด้านหน้า ไฟหรี่กลางวันและไฟเลี้ยวหลอด LED ไฟหน้ายังมีระบบ Active cornering light ไฟส่องสว่างด้านข้างทำงานตามองศาของพวงมาลัย เปิดมุมมองด้านข้างเมื่อต้องการจะเลี้ยวในที่มืด ทำงานควบคู่ไปกับไฟหน้าเวลาขับขี่ตอนกลางคืน ฝากระโปรงหน้าหนักเอาเรื่องเวลายกขึ้นเพื่อเปิด พื้นผิวของฝากระโปรงหน้ามีการออกแบบเส้นที่เหนี่ยวนำเชื่อมโยงกับแนวของกระจังหน้า เป็นดีไซน์ที่สื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของ Ford ในการออกแบบส่วนหน้าของ Everest Wildtrak ให้ดูแข็งแกร่ง

...

...

ด้านข้างตัวถังคล้ายกับเอสยูวีอย่าง Ford Explorer มีความยาว 4,914 มิลลิเมตร ส่วนความสูง 1,842 มิลลิเมตร ทำให้การเข้าออกจากห้องโดยสารต้องยกตัวเองขึ้นไปโดยใช้มือจับที่ด้านในของเสาเอ เสาหน้ามีองศาของความเอนลาดที่ลงตัว เสาท้ายที่สอดรับกับผืนหลังคา แรคหลังคาที่ติดตั้งมาให้เพื่อความสะดวกในการขนสัมภาระ กระจกบังลมบานหน้าและบานข้างมีขนาดใหญ่ กรอบกระจกมองข้างติดตั้งเลนส์ไฟเลี้ยว เพื่อเพิ่มความปลอดภัย มุมด้านบนของแก้มข้างติดตั้งแถบพลาสติกสีดำบ่งบอกถึงรุ่นใหม่เครื่อง Bi-Turbo ที่มีเกียร์ออโต้ 10 สปีดประจำการอยู่ ซุ้มล้อทั้งหน้าและหลังมีโป่งล้อขนาดมหึมาที่เหมาะสมกับรูปแบบลุยแหลกของมัน บานประตูทั้งสี่ใหญ่โตทำให้การเข้าออกจากห้องโดยสารมีความสะดวกใช้ได้ กาบข้างติดตั้งที่เหยียบเพื่อก้าวเข้าไปในห้องโดยสารทำจากพลาสติก จุดที่ทำให้รถ PPV คันนี้ดูดีก็คือล้ออัลลอยลายใหม่ สีเงินสลับสีดำ เป็นล้อขอบ 20 นิ้วที่เข้ามาแทนล้อ 18 นิ้ว ผลิตขึ้นรูปจากอะลูมินัมอัลลอย ล้อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ห่อรัดด้วยยางกึ่งออฟโรดของ Goodyear รุ่น Wrangler Territory HT ไซส์ 255/55R20

ฝาท้ายขนาดใหญ่ เปิดออกได้กว้างขวางพร้อมกลไกเปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้า ไฟท้ายเชื่อมต่อกันทั้งซ้ายและขวาด้วยชิ้นงานพลาสติกสีดำกับตัวอักษร Everest ไฟท้ายทรงยาวหลอด LED เข้ากับสัดส่วนบั้นท้ายจากการออกแบบ เชื่อมโยงมุมมองส่วนท้ายให้มีความลงตัว ไฟท้ายของ Everest Wildtrak รุ่นใหม่ใช้หลอดไฟแบบผสม ซึ่งมีทั้งหลอดไฟท้ายแบบ LED และหลอดไฟแบบธรรมดาอยู่ภายใน ขอบด้านบนของกันชนหลัง มีพลาสติกกันกระแทกสีดำคอยป้องกันริ้วรอย เมื่อต้องยกสัมภาระเข้าออกจากห้องเก็บของส่วนท้าย กันชนหลังมีการดีไซน์แบบสองชิ้นเหมือนกันกับกันชนหน้า พร้อมพลาสติกกันกระแทกสีดำ และแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงมัลติรีเฟคเตอร์สำหรับความปลอดภัยเมื่อจอดรถในที่มืด กล้องมองหลังติดมาให้พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ถอยหลังแจ้งเตือนด้วยสัญญาณเสียงเมื่อถอยเข้าไปใกล้กับวัตถุกีดขวาง ด้านบนของฝาท้ายบริเวณกึ่งกลางกระจกบานฝาท้ายเป็นที่อยู่ของไฟเบรกดวงที่ 3 ซึ่งติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งที่สูง เพื่อทำให้รถคันหลังมองเห็นไฟเบรกอย่างชัดเจน

ห้องโดยสารของ Everest Wildtrak 2.0 Bi-Turbo 4x4 10A/T เนื่องจากเป็นรุ่นแพงสุด Ford จึงพยายามปรับความหรูหราและใส่อุปกรณ์ตกแต่งของ Wildtrak เพื่อความสวยงาม ด้วยการตัดเย็บที่ใช้ด้ายสีส้ม ทั้งเบาะ พวงมาลัย หัวเกียร์ แผงประตู ภายในแบบ 7 ที่นั่งมีมิติที่กว้างขวาง โดยเฉพาะโซนของเบาะคู่หน้าและเบาะแถวกลาง ส่วนเบาะแถวที่สามปรับพับด้วยไฟฟ้าให้ความสะดวกโดยที่ไม่ต้องออกแรง แต่พื้นที่เบาะแถวสามเหมาะกับเด็กมากกว่าจะให้คนตัวสูงลงไปนั่ง พลาสติกตกแต่งภายในมีผิวสัมผัสและรายละเอียดของชิ้นงานแตกต่างกันออกไป ตามแนวทางของงานตกแต่งห้องโดยสารยุคใหม่ของ Ford ห้องโดยสารเน้นสีดำเย็บตะเข็บด้วยด้ายสีส้มตามเอกลักษณ์ของ Wildtrak ที่เน้นความเคร่งขรึม โลโก้ซิกเนเจอร์ ‘Wildtrak’ ที่เบาะคู่หน้า

แดชบอร์ดมีขนาดใหญ่ทำจากพลาสติกคอนโซลกลางตกแต่งด้วยพลาสติกปั๊มขึ้นรูป โดยใช้รูปทรงที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมเพื่อเน้นความแข็งแกร่งที่เชื่อมโยงสอดรับกันทั่วทั้งคัน แดชบอร์ดคอนโซลสีเทาดำเพื่อลดการสะท้อนแสง เฉพาะเบาะคนขับและคนนั่งหน้าปรับด้วยไฟฟ้า 8 ตำแหน่ง เบาะผู้โดยสารตอนกลางแบบ 3 ที่นั่งออกแบบให้มีพื้นที่ของการนั่งยาวๆ ด้วยพื้นที่ของการวางเท้าและพื้นที่เหนือศีรษะที่ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งไม่อึดอัด ซึ่งเป็นสไตล์การออกแบบภายในจาก Ford เบาะแถวกลางยังสามารถเลื่อนหรือพับได้เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับเบาะผู้โดยสารแถวหลังสุด ซึ่งมีเบาะอีก 2 ที่นั่งเผื่อมาไว้ให้สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกร่วมเดินทางหลายคน เบาะแถวสุดท้ายมีพื้นที่ไม่มากนักสำหรับการวางเท้า คนที่มีรูปร่างสูงโย่งจึงไม่เหมาะที่จะนั่งโดยสารในตำแหน่งแถวหลังสุด เบาะแถวหลังจึงเหมาะกับเด็กๆ ที่มีรูปร่างเล็กมากกว่าจะให้คนที่มีเรือนร่างอวบอ้วนหรือสูงโย่งเข้าไปนั่ง เบาะแถวหลังสุดหรือแถวที่ 3 เมื่อปรับพับราบลงกับพื้นด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ

พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีส้ม ไม่มีแป้น Paddle Shift มาให้! แต่ใช้การกดปุ่มข้างคันเกียร์แทน ทำให้ใช้งานไม่สะดวกเท่าที่ควร พวงมาลัยหุ้มหนังตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำเงา มีสวิตช์สั่งงานมัลติฟังก์ชันมาให้เพียบเหมือนเดิม พวงมาลัยมีขนาดพอดีออกแบบให้จับได้ถนัดมือ ปรับตั้งได้ 4 ทิศทางทั้งใกล้-ไกลและสูง-ต่ำ สวิตช์มัลติฟังก์ชันใช้สำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆ เช่น ระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise control สวิตช์เลือกดูข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Multi information display ที่ด้านขวาและซ้าย ปรับความดังของลำโพง ปุ่มรับหรือวางสายโทรศัพท์ในระบบบลูทูธ ปุ่มระบบสั่งงานด้วยเสียง

อุปกรณ์ภายในจัดเต็มตามราคาค่าตัวที่แพงสุดในกลุ่ม New Everest แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย หน้าจอภาพมาตรวัดบนหน้าปัดแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว รองรับ Wireless Apple Carplay และ Android Auto SYNC® 4A ภาษาไทย พร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth ช่องต่อ USB 4 ตำแหน่ง ลำโพง 8 ตำแหน่ง ระบบปรับอากาศดูอัลโซน กล้องมองภาพรอบคัน กล้องในโหมดออฟโรด ที่ทำออกมาให้สะดวกในการใช้งานก็คือ Wireless Apple Carplay หรือเชื่อมต่อผ่าน USB ที่มีมาให้ทั้ง Type A และ C 

รุ่นย่อยใหม่ของรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ PPV SUV สำหรับครอบครัวที่ชอบขับรถท่องเที่ยวผจญภัย เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ Electric Shifter กำลังสูงสุด 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 ตัวเลือกโหมดการขับ 6 โหมด ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์แบบ Wildtrak ทั้งภายนอกและภายใน ห้องโดยสาร โทนสีดำ เดินด้ายสีส้มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Wildtrak

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo มีอินเตอร์คูลเลอร์ช่วยลดอุณหภูมิไอดีและเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด สะท้อนถึงความพยายามในการปรับปรุงระบบส่งกำลังของ Ford การส่งถ่ายกำลังแรงบิดที่ได้รับจากเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ทรงพลังและมีขนาดเล็กลง มีน้ำหนักเบาขึ้น ปล่อยมลพิษต่ำและประหยัด แรงม้ากับแรงบิดจัดเต็มด้วยการบูสต์อากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ด้วยเทอร์โบ 2 ลูก และอัตราทดเกียร์ที่แคบลง เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 1,996 ซีซี. อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว Bypass) กำลังสูงสุด 210 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์บนหัวคันเกียร์ +/- และปุ่ม M หรือแมนนวล เครื่องยนต์ไม่ได้แรงจนกระชากให้หลังของคนขับติดเบาะ แต่ดึงหนักใช้ได้เหมาะสมกับการทำความเร็วเมื่อวิ่งบนไฮเวย์ การทำงานของเกียร์ 10 สปีด ในตำแหน่งเกียร์ 8-9-10 ที่ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงเมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ เครื่อง Bi-Turbo ใช้สายพานไทม์มิ่งแบบจุ่มในน้ำมันเครื่อง Belt-in-oil Primary Drive ฝาครอบเครื่องยนต์มีโฟมดูดซับเสียง เพื่อลด NVH : Noise Vibration Hashness ฝาครอบ Compressor ระบายความร้อนด้วยน้ำ ลูกสูบอะลูมิเนียมหล่อซ้ำที่ขอบแอ่งหัวลูกสูบ Bowl Edge Re-Melt

โหมดช่วยการขับขี่ 6 โหมด พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Terrain Management System พร้อมโหมดการขับขี่ 6 โหมด Normal, Eco, Tow/Haul (โหมดลากจูง), Slippery (ทางลื่น) Sand, Mud/Ruts (ทราย/โคลน) 

Electronic Locking Rear Differential
ระบบล็อกเฟืองท้าย ใช้งานบนสภาพถนนที่ลื่น หรือขรุขระ ระบบจะช่วยส่งอัตราเร่งจากเครื่องยนต์ไปยังล้อคู่หลัง แม้ว่าจะมีล้อข้างใดข้างหนึ่งหมุนฟรีอยู่ เพื่อรักษาการยึดเกาะถนน และการควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทาง 

หลังจากลองขับทั้งในกรุงเทพฯ และออกทางไกลไปทดสอบบนเส้นทางภูเขาในจังหวัดกาญจนบุรี Everest Wildtrak 2.0 เครื่องดีเซลไบเทอร์โบ 210 แรงม้าคันนี้วิ่งมาแล้ว 5,000 กิโลเมตร หลังกลับมาจากเมืองซาปาที่เวียดนาม กดปุ่มสตาร์ต เครื่องยนต์ดีเซล 210 ม้า ติดขึ้นมาพร้อมเสียงเครื่องที่ดังลอดเข้ามาให้ได้ยินเบามาก แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลที่ปรับใหม่ลดลงมาก ในย่านความเร็วต่ำเมื่อขับใช้งานในเมือง แรงบิด 500 นิวตันเมตร ดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำ พวงมาลัยไฟฟ้าเมื่อขับออกจากที่จอดให้ความรู้สึกที่เบาสบายมือ Ford เป็นแบรนด์เดียวที่ติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้าในรถ Ranger และ Everest การเซตค่าความหน่วงของพวงมาลัยเมื่อขับเร็วก็เป็นธรรมชาติ น้ำหนักที่เบาและระยะหมุนที่แม่นยำ เมื่อขับในเมืองทำให้การเลี้ยวเปลี่ยนช่องทางหรือกลับลำมีความคล่องตัว ห้องโดยสารไม่มีเสียงแปลกปลอมเสียดสีกันของชิ้นงานที่ใช้ตกแต่ง การเป็นรถทดสอบของสื่อนั้นจะต้องถูกขับใช้งานอย่างหนักทั้งวิ่งบนถนนปกติรวมถึงการวิ่งบนทางแบบออฟโรด Everest Wildtrak เก็บเสียงได้ดี มีแค่เสียงยางเท่านั้นที่ได้ยินเบาๆ เมื่อความเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การเดินเบาของเครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำได้นิ่งใช้ได้ แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องยนต์ลดลงไปมาก เป็นอีกจุดที่ทำออกมาได้ดีและเหนือกว่ารถคู่แข่งอย่างชัดเจน 

Everest Wildtrak มีขนาดความกว้าง 2 เมตร และยาวเกือบ 5 เมตร ไม่ได้สร้างความลำบากในการเคลื่อนตัว เนื่องจากแรงบิดรอบต่ำและระยะของโอเวอร์แฮงก์หน้าที่สั้น ท่านั่งที่สูงโด่งเหมือนนั่งอยู่บนรถบรรทุก เบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ปรับไฟฟ้าคู่หน้านั่งนิ่มสบายตัว ทำให้การขับทางไกลมีความสบาย เครื่องใหม่ 2 ลิตร เกียร์ 10 สปีดกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ยกมาจาก New Ranger Raptor เหลือเฟือต่อการขับบนถนนทุกเส้นทางในประเทศไทย ลองขับทางไกลแล้วรู้สึกประทับใจทั้งความนวลของช่วงล่าง พวงมาลัยไฟฟ้าที่คมใช้ได้และกำลังของเครื่องยนต์เวลาเร่งแซงหรือต้องการไปให้เร็วขึ้น กำลัง 210 แรงม้า กับแรงบิด 500 นิวตันเมตร การโลดโผนโจนทะยานในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครนั้นมากเกินพอ จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อมุดเข้าตรอกซอกซอยคับแคบ คนที่ไม่คุ้นชินกับระยะและขนาดอันใหญ่โตก็ต้องระวังเรื่องระยะกันมากหน่อย มิติตัวถังที่ขึ้นตรงกับความใหญ่ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้โดยสารถึง 7 ที่นั่ง พร้อมความสูงของตัวรถทำให้มองเห็นได้ไกลกว่าขับรถเก๋งเยอะมาก สัดส่วนความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถเวลามีน้ำท่วมขังบนถนนในช่วงหน้าฝนจะใช้งานได้เหนือกว่ารถเก๋ง แต่ราคาเฉียดสองล้านก็ทำให้คิดหนักอยู่เหมือนกัน 

เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ไหลลื่น ไม่มีอาการกระตุกกระชาก ผมคาอยู่ในโหมด D แล้วปล่อยให้สมองกลเกียร์ทำงานไปตามเรื่องตามราว การไต่อัตราทดจากเกียร์ออกตัวที่เกียร์ 1 ลากยาวไปจนถึงเกียร์ 8 ใช้เวลาเพียงแค่แวบเดียว การปรับอัตราทดให้ครอบคลุมกับกำลังของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะแรงบิดรอบต่ำทำได้ดี เกียร์ใหม่ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมืองลดลงและมีความประหยัดเมื่อขับทางไกลด้วยความเร็วคงที่ อัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ทั้งในและนอกเมืองอยู่ที่ 9.9 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับคันเร่งไฟฟ้าปรับมาดี และให้สัมผัสที่ชัดเจนมากกว่าเดิม กดคันเร่งลงไปเครื่องดีเซลเทอร์โบคู่ก็ปั่นรอบทันที ทำให้มีอาการเทอร์โบแลคน้อยมาก เมื่อเทอร์โบเริ่มบูสต์มันก็พุ่งออกไปด้วยความมั่นคง การตอบสนองที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อต้องการเร่งความเร็วเพื่อแซง ต้องยกประโยชน์ให้กับเครื่องยนต์และชุดส่งกำลัง รวมถึงช่วงล่างที่ทำให้มั่นใจ จังหวะจะโคนของการออกตัวที่ค่อนข้างว่องไวแม้ตัวจะโตและมีน้ำหนัก 2 ตัน การทำงานที่แม่นยำใช้ได้ของพวงมาลัยไฟฟ้ากับช่วงล่างหน้าหลังประกอบขึ้นเป็นความมั่นคง บนทางลูกรังหรือหินลอย เมื่อกดคันเร่งเต็มๆ แรงบิด 500 นิวตันเมตร ปั่นให้ล้อฟรีได้อย่างสบายๆ แต่ระบบรักษาเสถียรภาพก็จะเข้ามาจัดการกับแรงบิดเพื่อปรับให้รถเกิดความสมดุล 

เครื่องยนต์ 2 ลิตร เทอร์โบคู่ ไม่กินเปลือง เครื่องและเกียร์ในโหมด Full Auto เร่งแซงได้แบบไม่ต้องลุ้น แค่กะระยะให้มีความปลอดภัย พวงมาลัยไฟฟ้าก็ปรับน้ำหนักในย่านความเร็วสูงให้พอดิบพอดีกับความเร็วท่ีใช้โดยปรับให้น้ำหนักออกมาในลักษณะคงที่เมื่อใช้ความเร็วสูง ระยะฟรีตรงกลางของพวงมาลัยไฟฟ้าของ Ford Everest Wildtrak แค่นิดเดียวการปรับหน่วงน้ำหนักในย่านความเร็วสูงของพวงมาลัยไฟฟ้า ทำให้เกิดความมั่นคง ข้อห้ามเมื่อขับ PPV SUV ยกสูงแบบนี้ก็คือ ไม่ควรกระตุกพวงมาลัยอย่างฉับพลันในย่านความเร็วสูง รถ SUV นั้นมีสัดส่วนของความสูงมากกว่ารถเก๋ง การหักพวงมาลัยเร็วๆ เพื่อเปลี่ยนทิศทางในย่านความเร็วสูงจะตามมาด้วยอาการเสียหลัก เนื่องจากเป็นรถที่มีแรงบิดเยอะ และไต่ความเร็วได้ค่อนข้างนิ่ง จึงควรเพิ่มความระมัดระวัง รู้จักรูปแบบของรถออฟโรด และขีดความสามารถรวมถึงข้อจำกัดของมันก็จะใช้งานได้อย่างปลอดภัย

ช่วงล่างหน้าแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่ที่มีการปรับค่ายืดและยุบของสปริงใหม่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงเส้นเขื่อง เพื่อลดอาการเต้นของช่วงล่างด้านหน้า รวมถึงยังลดอาการหน้ายุบเมื่อต้องลงเบรกหนักๆ อีกด้วย ส่วนช่วงล่างด้านหลังยังเป็นแบบคอยล์สปริง พร้อมกลไกวัตต์ลิงก์หรือเหล็กยึดค้ำที่ติดตั้งอยู่กับกระปุกของเฟืองท้าย ออกแบบใหม่และดูแล้วน่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม ช่วยลดอาการโคลงตัวบริเวณส่วนท้าย เพื่อทำให้บั้นท้ายของ Everest Wildtrak มีความเสถียร ส่วนระบบเบรกจัดดิสก์เบรกหน้า-หลังมาให้เพื่อความมั่นใจ ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน ส่วนดิสก์เบรกหลังเป็นจานเบรกแบบปกติ พร้อมตัวช่วยเบรกที่ป้องกันไม่ให้เสียอาการขณะใช้เบรกหนักๆ

ดูเหมือนจะอวยกันอย่างออกหน้าออกตา แต่ยอดขายแบบนำเบอร์หนึ่งยาวนานหลายปี ของ Toyota Fortuner Legender GR Sport  แม้จะมีคู่แข่งที่ขับได้ดีกว่าอย่าง Ford Everest Wildtrak แต่รถจากแบรนด์มะกันก็ทำยอดขายได้แค่อันดับที่สาม ใครที่มี Fortuner อยู่ในครอบครองแล้วไปลอง Everest ก็จะรู้สึกได้ว่า PPV SUV ของ Ford รุ่นนี้จูนอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างให้ทำงานผสมผสานกันได้ดีเหลือกำลังลาก โดยเฉพาะช่วงล่าง ถ้าแก้เรื่องกุ๊กกิ๊กจุกจิกกวนใจซึ่งเกิดขึ้นกับรถบางคันไปได้ ยอดขายของ Everest น่าจะขยับเข้าใกล้กับอันดับสองอย่าง MU-X โดยไม่ยากเย็นนัก เพราะรถค่ายตรีเพชรนั้นก็เจ๋งดีอยู่ แต่ทุกประตูที่เปิดออกมานั้น Ford Everest ขับได้เหนือกว่าชัดเจน อันนี้ก็อยู่ที่ความชอบ คนที่สอย Ford ส่วนใหญ่ชอบความหล่อ อุปกรณ์ที่ให้ และความนวลของช่วงล่างกับพวงมาลัย โดยไม่สนว่ารถจะจุกจิกกวนใจหรือเปล่า แต่ Everest ก็เป็นรถที่พยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดูดี แล้วตามเก็บในจุดที่ลูกค้าบางรายพบปัญหา อย่างที่บอกว่าถ้าชอบก็จัดเพราะไม่ได้เป็นกันทุกคัน การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในเกือบทุกจุดของรถอาจต้องเผชิญกับอาการบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ แต่การขับของ Everest Wildtrak นั้นขึ้นแป้นเบอร์หนึ่งรถ PPV ที่ขับดีสุด แต่ยังทำยอดได้แค่อันดับที่สามเท่านั้นเอง!

Ford Everest Wildtrak 2.0 4x4 10AT ขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบ Terrain Management ราคา 1,899,000 บาท

มิติตัวรถ
สูง: 1,842 มม.
กว้าง: 1,923 มม.
ความยาว: 4,914 มม.

ระบบส่งกำลัง และช่วงล่าง
เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร
ดิสก์เบรกหน้าและหลัง พร้อมครีบระบายความร้อน
ล้ออัลลอย 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/55 R20

อุปกรณ์ภายนอก
หลังคา Panoramic Moonroof (Best in Class)
ไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ ระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (First in Class, Best in Class)
ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED รูปตัว C ไฟตัดหมอก และไฟท้ายแบบแอลอีดี
ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ
ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี

อุปกรณ์ภายในและความสะดวกสบาย
เกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter (First in Class)
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และเบาะแถวที่ 3 พับได้แบบไฟฟ้า
แท่นชาร์จไร้สาย
กุญแจรีโมตอัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ตรถอัตโนมัติ
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB
ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร

การเชื่อมต่อและความบันเทิงภายในรถ
Ford Everest Wildtrak
หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว (Best in Class) ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android Auto™ ที่ได้รับการพัฒนาให้สะดวกรวดเร็วไปอีกขั้น เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย
หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว (Best in Class)
ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ
ระบบ FordPass Connect
ช่องต่อ USB 4 จุด
ลำโพง 8 ตำแหน่ง

ช่องต่อไฟ 12V 3 ช่อง พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) 1 ช่อง

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า
ระบบช่วยโทร.ฉุกเฉิน
สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System) พร้อม Electric Brake Booster
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation)
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control)
เบรกมือไฟฟ้า

เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ขั้นสูง
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะครบครัน ได้แก่
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Fully Automated Active Park Assist System) (First in Class)

ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB)
ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Alert)
ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด (Blind Spot Information System - BLIS® with cross-traffic alert)
กล้องมองรอบคัน 360 องศา
ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง
ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive Steering Assist) (First in Class)
ระบบตรวจเช็กลมยาง

Ford Everest wildtrak สีภายนอก 6 สี
สีเงิน Aluminium Metallic
สีเทา Meteor Grey
สีดำ Absolute Black
สีขาวมุก Snowflake White Pearl (เพิ่มเงิน 12,000 บาท)
สีเหลือง Luxe Yellow (เพิ่มเงิน 12,000 บาท)
สีส้ม Sedona Orange (เพิ่มเงิน 12,000 บาท)