C-HR รุ่นตกแต่งพิเศษ GR Sport โผล่ออกมาในช่วงที่น้ำมันกำลังมีราคาแพง ขณะเดียวกัน ระบบขับเคลื่อนไฮบริดของ Toyota ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความทนทาน ใช้งานได้ยาวนานเกิน 8-10 ปี ดูได้จาก Prius ที่ยังวิ่งกันให้เกลื่อนหลังจากผ่านมาแล้ว 10 ปีความกังวลในเรื่องของระบบไฮบริดค่อยๆ หมดไป สอดคล้องกับราคาเชื้อเพลิงที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงมา ทำให้รถยนต์ไฮบริดของ Toyota ยังครองตลาดและอยู่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้
...
...
...
...
Toyota มักจะทำรถรุ่นตกแต่งพิเศษแบบเรียบง่าย โดยไม่เข้าไปวุ่นวายกับการปรับจูนเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มแรงม้าแรงบิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น C-HR GR Sport ก็เช่นกัน มันเป็นรถครอสโอเวอร์พลังงานผสมที่ใช้การปรับแต่งอุปกรณ์ภายนอก-ภายในเพิ่มเติมเท่านั้นและไม่ได้มีการปรับแต่งระบบขับเคลื่อนเพื่อทำให้แรงขึ้น จุดที่ถูกปรับแล้วส่งผลต่อการขับก็คือ โช้คอัพและสปริง การปรับค่าให้ทั้งสองอุปกรณ์ มีการตอบสนองที่ดีขึ้น ส่งผลให้ Toyota C-HR GR Sport ขับได้ดีขึ้นในแง่มุมของการยึดเกาะและความสบายเนื้อสบายตัว GR- Sport ใน C-HR เริ่มจาก ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว เฉพาะรุ่น GR Sport ยาง Michelin Primacy ขนาด 225/50 R18 โช้คและสปริง เฉพาะรุ่น GR Sport ชุดแต่งกันชนหน้า GR Sport สเกิร์ตหน้า / ข้าง / หลัง GR Sport ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED พวงมาลัยหุ้มหนังแบบเจาะรู พร้อมสัญลักษณ์ GR Sport ฐานเกียร์ตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ GR Sport เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง พร้อมสัญลักษณ์ GR ปุ่ม Push Start/Stop พร้อมสัญลักษณ์ GR โดยมีราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ 50,000 บาท
C-HR ย่อมาจาก Coupe High Rider หมายถึงรถแนวคูเป้ยกสูง มีจุดเด่นอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่คนส่วนใหญ่ยังคงหวาดระแวงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ แต่ Toyota เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี และรับประกันการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด นานถึง 10 ปี แบตฯ รุ่นใหม่พร้อมพัดลมระบายความร้อนชาร์จเก็บประจุกระแสไฟได้เร็วขึ้น ตำแหน่งของการติดตั้งแบตเตอรี่ย้ายจากหลังรถมาไว้ที่ใต้เบาะผู้โดยสารตอนหลังเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดี Toyota ยังเคลมว่าแบตเตอรี่มีความทนทานมากขึ้นและประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเดิม โดย Toyota เคลมตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองของ C-HR GR Sport รุ่นไฮบริดที่ 24 กิโลเมตรต่อลิตร (ขับจริงทำได้ 18-20 กิโลเมตรต่อลิตร) สำหรับการคุ้มครองและดูแล ซึ่งเป็นบริการหลังการขายของ G-C-HR จัดฟรีค่าแรง 11 ระยะ ตั้งแต่ 1,000 – 100,000 กิโลเมตร ขยายเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่ Warranty เป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รุ่น Hybrid รับประกันการทำงานของระบบ Hybrid นาน 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง และรับประกันแบตเตอรี่ Hybrid 10 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ขับกันยาวๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมาพังกันในเร็ววัน!
ความสามารถของแชสซี และช่วงล่างที่เซตมาใหม่ ทำให้ C-HR GR Sport ขับได้ดีขึ้นและเปลี่ยนความคิดที่ซ้ำซากจำเจของแบรนด์สามห่วงให้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ สถาปัตยกรรมของ Toyota ที่เรียกว่า TNGA ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในรถ C-HR GR โดยเฉพาะการควบคุมนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น (มาก) การแข่งขันอย่างดุเดือดในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณต้องผลิตรถที่ดีออกมาขายไม่งั้นก็ขายไม่ออก การขับที่ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสอดคล้องไปกับรูปลักษณ์ที่ทันสมัยโดนใจผู้ใช้งาน ในจุดนี้ถือว่า Toyota ยุคใหม่ได้เดินมาถูกทางแล้ว โดยเฉพาะการปรับแต่งระบบรองรับที่ทำให้ C-HR GR Sport ทรงตัวดีในย่านความเร็วสูง และนั่งได้สบายขึ้น ส่วนของแต่ง GR นั้น ถ้าไม่สังเกต ก็แทบจะมองไม่เห็น สปอยเลอร์และสัญลักษณ์ GR ที่เข้ามาสร้างความแตกต่างด้านมุมมอง เอาเข้าจริงๆ Toyota น่าจะทำให้มุมมองของงานตกแต่งทั้งภายนอกภายในของรถ มีความแตกต่างชัดเจนมากกว่านี้
C-HR วางเครื่องยนต์ลูกผสมเบนซิน 1.8 ลิตร บวกมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบไฮบริด เป็นระบบที่ Toyota มีความเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ หลังจากผลิตรถอย่าง Prius ออกมาขายนานกว่า 20 ปีแล้ว คุณคงไม่แปลกใจที่เครื่องเบนซินแถวเรียง 1.8 ลิตร มีเรี่ยวแรงไม่มาก หากไม่นับรวมกับแรงบิดของมอเตอร์ มันก็จะมีกำลังแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่เมื่อทั้งสองระบบทำงานไปพร้อมๆ กัน คุณก็จะได้ทั้งความประหยัดและประสิทธิภาพในด้านอัตราเร่ง ซึ่งก็ไม่ได้แรงจนกระชากกระชั้นแบบรถสปอร์ต เพราะมีเกียร์ CVT ไหลๆ นวลๆ คอยขวางกั้นอยู่ แต่แรงบิดจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าก็มีมาให้มากพอสำหรับการเร่งความเร็วเพื่อแซงรถช้า กำลังสูงสุดจากเครื่องยนต์ atkinson cycle 4 สูบ เค้นออกมาได้แค่ 90 กิโลวัตต์ หรือ 120 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด (จากเครื่องยนต์เพียวๆ) 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที ไม่ได้เน้นแรงแต่เน้นความประหยัดอย่างชัดเจน แม้จะขยี้คันเร่งบนเส้นทางทดสอบต่อเนื่องในระดับ 140-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บางจังหวะไหลไปถึง 165 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อทดสอบการทรงตัวในขณะที่ขับเร็ว แต่มันก็ยังกินแค่ 16 กิโลเมตรต่อลิตรเท่านั้นเอง จุดนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดี
คุณสามารถเป็นเจ้าของ C-HR GR Sport รุ่นสูงสุด HV Hi ด้วยการควักเงินจำนวน 1,199,000 บาท เทียบกับราคาของ HR-V eHEV รุ่น RS รถคู่แข่งที่มีค่าตัว 1,119,000 บาท ถือว่า GR แพงกว่าถึง 8 หมื่นบาท รวมถึงการเปรียบเทียบพื้นที่เบาะหลังของรถทั้งสองรุ่น ทำให้ลูกค้าจำนวนไม่น้อยหันไปเลือกคบหากับ HR-V eHEV เนื่องจากมองพื้นที่ห้องโดยสาร มากกว่าจะเล็งสมรรถนะของการขับ! เวอร์ชัน HV Hi ของ C-HR GR Sport มาครบด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัย ภายในยัดของที่มีความทันสมัยมาให้ใช้งานอย่างพอเพียง ความประทับใจครั้งแรกเมื่อได้ลองขับไม่ได้อยู่ที่ทรงอวกาศของ C-HR แค่เพียงอย่างเดียว การควบคุมที่ดีกว่ารถคู่แข่งทำให้ผมลืมเรื่องความคับแคบของเบาะหลังไปโดยปริยาย หากคุณชอบขับรถ ใช้รถยนต์เดินทางไกลบ่อยครั้ง และขับคนเดียวหรือไม่ก็ไปกันแค่สองคน จงเลือก C-HR GR แต่ถ้าชอบพื้นที่กว้างๆ ในกลุ่มครอสโอเวอร์ตัวเล็กก็ขอให้มองข้ามมันไป และจบที่ HR-V eHEV ชีวิตก็จะดีและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
C-HR ขับทางไกลได้นุ่มนวลและเกาะถนนดี มันเป็นรถที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับตราสัญลักษณ์ 3 ห่วงซึ่งเคยทำตัวเป็นรถดากดื่น การปรับปรุงทำให้ C-HR GR ลบภาพลักษณ์ของรถยนต์ Toyota ในอดีตที่ไม่ค่อยจะเกาะถนนเท่าที่ควร สีแดงพร้อมผืนหลังคาสีดำ Black Roof ทำให้มันแตะตาผู้คนทั่วไปที่กำลังเล็งๆ จะสอยรถใหม่ แต่ยังติดอยู่ในใจเรื่องของความแคบเบาะหลัง! ล้อขอบ 18 นิ้ว ใหญ่กว่าเดิมนิดเดียวและเหมาะกับการทำตัวเป็นยานยนต์ประหยัดพลังงานแบบไฮบริด ถ้าล้อใหญ่กว่านี้อัตราสิ้นเปลืองก็คงจะไม่ประหยัดเท่าที่ควร การยัดล้อขอบ 18 นิ้ว ในรุ่น GR กับยางนุ่มเงียบลดแรงต้านทานผิวถนนเหมาะสมกันดีและทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองดีสุดในกลุ่มครอสโอเวอร์ราคา 1 ล้านบาท ทรงที่ปราดเปรียวและการขับที่โดดเด่นของ C-HR อาจไม่โดนใจคุณเท่ากับพื้นที่เบาะหลังของ HR-V แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอได้ลองขับก็จะชอบ C-HR กันแทบทั้งนั้น สไตล์ของ Toyota ยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไปมาก หลังจากไล่ตามหลังด้านดีไซน์และไดนามิกอยู่นาน ปัจจุบัน TNGA หรือ Toyota new Global Architecture ส่งผลให้รถยนต์ของ Toyota ขยับเข้าใกล้กับคำว่า Fun to Drive เข้าไปทุกที C-HR GR กลายเป็นรถ Toyota ยุคใหม่ที่มีความสวยงามโฉบเฉี่ยว แต่ถึงกระนั้นความเล็กของเบาะหลังก็ยังเป็นเรื่องกวนใจสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางอยู่ดี!
ระบบไฮบริดของ Toyota มีความน่าเชื่อถือด้านความเหนียว ไม่พังง่าย ทนทานและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ การตัดต่อการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเนียนจนไม่รู้สึกว่าอะไรที่กำลังทำให้รถวิ่งอยู่ถ้าไม่ได้ดูที่หน้าจอมอนิเตอร์ การผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์และระบไฮบริดนั้นทำออกมาได้ดี เมื่อติดเครื่องยนต์มอเตอร์จะเข้ามารับหน้าที่ขับเคลื่อนในย่านความเร็วต่ำ (แต่ก็แค่นิดเดียว) และเมื่อเคลื่อนตัวออกไปเครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาพร้อมกับการสอดประสานการทำงานไปพร้อมๆ กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ตามมาด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองในระดับ 20 กิโลเมตรต่อลิตร คุณจะชอบพวงมาลัยไฟฟ้าที่แม่นยำ เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่มีน้ำหนักตึงไม้ตึงมือไม่เบาจนเกินไปและออกแบบมาเพื่อการขับขี่อย่างแท้จริง ช่วงล่างด้านหลังที่เปลี่ยนจากคานแข็งทอร์ชันบีมมาเป็นแบบมัลติลิงก์ช่วยเสริมให้ C-HR ยึดเกาะกับถนนได้ดีจนไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนเสียเงินเพิ่มเพื่อเปลี่ยนล้อและยางรวมถึงโช้คและสปริงเพื่อทำให้มันเกาะถนนมากยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ระบบไฮบริดตอบสนองดีพอสมควร แม้รอบจะไม่จัดจ้านเท่ากับ HR-V RS แต่จะได้ความประหยัดที่ช่วยทำให้คุณไม่ต้องวิ่งเข้า-ออกปั๊มน้ำมันกันบ่อยเหมือนในอดีต
คุณจะรู้สึกได้ถึงแรงยึดเกาะเมื่อขับ C-HR GR Sport เข้าโค้งเร็วๆ ผมชอบการสอดประสานกันระหว่างการทำงานของช่วงล่างที่เซ็ตมาใหม่ ชุดบังคับเลี้ยวพวงมาลัยตึงไม้ตึงมือมากกว่าเดิม และแชสซี TNGA เกียร์ CVT ที่มีมอเตอร์อยู่ภายในก็ทำงานนวลเนียน แม้จะน่าเบื่ออยู่บ้างจากอาการย้วยเวลากดคันเร่งลึกๆ เพื่อแซง แต่ก็แลกคืนด้วยการตัดต่อที่เนียนและไหลลื่นเนื่องจากเป็นเกียร์สายพาน รวมถึงอัตราสิ้นเปลือง บนเส้นทางที่คับแคบ ช่วงล่างและพวงมาลัยเข้ามาช่วยทำให้การควบคุมง่ายดายขึ้น รวมถึงการขับในย่านความเร็วสูงที่มันพยายามทำตัวให้เหนือกว่ารถคู่แข่ง ไม่ใช่ที่อัตราเร่ง แต่เป็นเรื่องของการยึดเกาะที่มีความสำคัญ เมื่อขับเร็วคุณสามารถยิงยาวผ่านโค้งด้วยความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพของโค้งพร้อมๆ กับการจิกหัวเข้าและออกจากปลายโค้งได้ดีกว่ารถคู่แข่งที่เอาแต่ย้วยไปย้วยมาเมื่อพบกับถนนที่ไม่เรียบ ด้วยการควบคุมที่ดีของมันจะทำให้คุณขับเร็วขึ้นแบบไม่รู้ตัว โดยภาพรวม C-HR GR Sport ให้ความรู้สึกถึงความเสถียรที่เป็นธรรมชาติ และไม่แสดงอาการรุ่มร่ามออกมาให้เห็นหากคนขับไม่ได้ติดลูกบ้าจนเกินงาม!
มีจุดเด่นเรื่องของการขับก็ต้องมีจุดด้อยกันบ้างเป็นเรื่องปกติ เบาะหลังที่บ่นกันว่าแคบ เอาเข้าจริงๆ คนที่ซื้อ C-HR ก็มีทั้งครอบครัวเล็กๆ ที่ยังไม่มีลูก คนโสดในวัยทำงานและครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คน เบาะหลังก็นั่งได้สบายดีถ้าตัวคุณไม่อ้วนเป็นโดราเอมอนหรือสูงโย่งเป็นเสาไฟฟ้า บานประตูหลังที่ออกแบบในทรง Coupe ย้ายมือจับประตูไปอยู่ใกล้เสาท้ายแล้วยกแนวขอบของบานประตูให้สูงขึ้นทำให้บดบังทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้โดยสารบนเบาะหลังพอสมควร หากไม่คิดมากก็พอใช้ได้แต่ถ้าชอบกว้างๆ มองเห็นได้ชัดเจนก็คงต้องมองรถรุ่นอื่นที่มีบานประตูหลังใหญ่โตกว่านี้ สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เมื่ออยู่กันแค่สองคนหรือขับใช้งานอยู่คนเดียว ปัญหาความอึดอัดของเบาะหลังไม่ได้รบกวนความสะดวกสบายแม้แต่น้อย เพราะขับอยู่เบาะหน้าอย่างเดียวไม่ได้มีเพื่อนร่วมทางมานั่งเบาะหลังกันทุกวี่ทุกวัน นานๆ จะมีเพื่อนมานั่งด้วย เบาะหลังที่มองด้านนอกไม่ค่อยจะเห็นก็จะไม่สร้างปัญหาแต่อย่างใดทั้งสิ้น
แบตเตอรี่ที่วางอยู่ใต้เบาะผู้โดยสารตอนหลังทำให้ C-HR GR Hybrid เก็บเสียงได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่เสียงรบกวนก็ไม่ได้ดังมากจนทำให้รำคาญ ภายในของมันมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ มาตรวัดทรงกระบอกที่มีหน้าตาบ้านๆ ก็มองเห็นได้ชัดเจนดี รวมถึงจอมอนิเตอร์กลางที่ยัดสารพัดเครื่องเล่นมาให้ ทั้งการจูนค่าต่างๆ การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ภาครับวิทยุ การเชื่อมต่อกับ USB และ iPOD ที่ต้องเสียบสายโด่เด่ไปยังช่องเสียบ USB Type A บริเวณด้านข้างของจอภาพ กล้องมองหลังและอื่นๆ ใช้งานได้ดี ระบบปรับอากาศให้ความเย็นฉ่ำตามสไตล์ของ Toyota ที่สามารถแปลงห้องโดยสารให้เย็นฉ่ำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการใช้งานในเขตร้อนอย่างประเทศไทย ระบบสื่อสารกับโลกภายนอก toyota t-connect telematics ช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
การพัฒนาระบบไฮบริดอย่างต่อเนื่องของ Toyota ทำให้ระบบเสริมพลังงานแบบ SERIES-PARALLEL HYBRID หรือระบบไฮบริดแบบอนุกรมบวกคู่ขนานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เป็นระบบขับเคลื่อนที่ควบรวมข้อดีของ Series และ Parallel เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดและเป็นระบบที่รถ Toyota เลือกใช้ การทำงานของระบบขึ้นตรงกับสภาวะของการขับขี่ ไม่ว่าจะใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนแต่เพียงอย่างเดียวในช่วงสั้นๆ หรือใช้กำลังทั้งจากมอเตอร์และเครื่องยนต์ผสมผสานกันในการขับเคลื่อน ระบบนี้มอเตอร์ยังสามารถส่งกำลังไปที่เพลาขับเคลื่อนล้อหน้าแม้จะกำลังชาร์จไฟอยู่ก็ตาม
inverter with converter assembly
ระบบไฮบริดเจน 4 ของ Toyota ออกแบบให้ inverter with converter assembly มีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบา สามารถบูสไฟฟ้าแรงสูงอย่างรวดเร็วโดยติดตั้งอยู่ด้านบนของชุดเกียร์ ส่วนแบตเตอรี่ไฮบริดเป็นแบบ ni-mh battery DC 201.6 V168 Cell 6 cell x 28 modules แบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะหลังพร้อมชุดกรองฝุ่นและพัดลมไฟฟ้าระบายความร้อน โดยมี auxiliary battery ติดตั้งอยู่ในห้องเครื่องยนต์ เป็นแบบ EN Type LN1 auxiliary battery
ชุดมอเตอร์ 2 ตัวที่ฝังอยู่ในเกียร์เป็นแบบ P610 hybrid transaxle MG1 / MG2 ขนาด 600 โวลต์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ มอเตอร์ไฟฟ้า MG 1 ของ C-HR มีแรงดันไฟฟ้าสูงสุด AC600 V กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า MG 2 มีแรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร มีแรงดันไฟสูงสุด AC600 V ระบบ Hybrid จากแบรนด์ Toyota จัดมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก กำลัง 72 แรงม้า แรงบิดจากมอเตอร์ทำได้ที่ 163 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Hybrid แบบ Ni-MH ควบรวมพลังงานทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ทำให้ C-HR มีกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ แบบ E-CVT มีมอเตอร์ MG-1 และ MG-2 ฝังไว้ในเกียร์เพื่อเสริมแรงบิดและชาร์จไฟใส่แบตเตอรี่ สมรรถนะเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 11.3 วินาที
เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ 2ZR-FXE เป็นเครื่องทวินแคม ดับเบิลโอเวอร์เฮตแคมชาร์ป DOHC 16 วาล์ว (4 วาล์วต่อสูบ) พร้อมกลไกฝาสูบกับระบบไอดีแบบ Atkinson และระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ปริมาตรความจุขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบเสริมพลังงาน Hybrid ที่ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่แบบใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีขึ้น แบตฯ รับประกันอายุการใช้งาน 10 ปี พร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟในระบบ Hybrid ด้วยมอเตอร์ในชุดส่งกำลังสองตัว (MG1 / MG2) เครื่องยนต์เบนซิน Atkinson cycle 4 วาล์วต่อสูบขนาด 1,798 ซีซี กำลังสูงสุด 90 กิโลวัตต์ หรือ 120 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด (จากเครื่องยนต์เพียวๆ) 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที
มิติตัวถัง Toyota C-HR รุ่น HV HI Hybrid มีความยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สัดส่วนความสูงอยู่ที่ 1,565 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 154 มิลลิเมตร สูงกว่ารถเก๋งปกติเล็กน้อย ความกว้างล้อหน้า 1,550 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหลัง 1,570 มิลลิเมตร ความจุถังเชื้อเพลิง 43 ลิตร น้ำหนักตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 1,445 กิโลกรัม มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร ช่วงล่างแบบใหม่ในแพลตฟอร์มล่าสุด ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท สปริง โช้คอัพและเหล็กกันโคลง มีการเปลี่ยนแปลงมุมของสตรัทแบร์ริ่ง เปลี่ยนโช้คอัพและปรับค่า K สปริงใหม่ เพื่อทำให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพของการยึดเกาะ ส่วนด้านหลังมีการปรับปรุงรูปแบบของระบบรองรับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วงล่างหลังของ C-HR เป็นแบบมัลติลิงก์ ดับเบิลวิชโบนปีกนกคู่ ใช้โช้คอัพที่ปรับตั้งใหม่ทั้งหมด ล้อและยางใส่ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว ยาง Michelin Primacy ไซส์ 225/50R87 ชุดปัดน้ำฝนที่ซ่อนอยู่ใต้ขอบของฝากระโปรงหน้าช่วยลดแรงต้านของกระแสลม และมีการออกแบบใบปัดน้ำฝนให้มีขนาดที่ยาวขึ้น ชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้าใน Toyota C-HR แบบ EPS electronic power steering คอยควบคุมน้ำหนักโดยแปรผันน้ำหนักของพวงมาลัยไปตามความเร็ว
โครงสร้างใหม่ TNGA (toyota new global architecture) ถูกพัฒนาขึ้นโดยการออกแบบโครงสร้างตัวถังให้แข็งแกร่ง (Body rigidity) และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง (Low center of gravity) ลดการโคลงตัวของตัวถัง ทำให้สามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ มีความโดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพการเกาะถนน (STABILITY) คล่องตัวในทุกจังหวะการขับขี่ (AGILITY) รวมถึงการออกแบบห้องโดยสาร เพิ่มทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้กว้างขึ้นโดยลดจุดอับสายตา (VISIBILITY) นอกจากนี้ Toyota C-HR มาพร้อมกับช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension) เป็นอีกจุดที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน C-HR เวอร์ชัน GR Sport.
ระบบเกียร์ อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock
ราคารถมาตรฐาน 1,174,000
ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 25,000
ราคารวม 1,199,000
ขนาดและน้ำหนัก
มิติภายนอก ยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร
ความยาวช่วงล้อ 2,640 มิลลิเมตร
ความกว้างช่วงล้อ หน้า/หลัง 1,550 / 1,570 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดจากพื้น 154 มิลลิเมตร
ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร
เครื่องยนต์
รุ่น 2ZR-FXE
แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ 1,798 ซีซี.
ความกว้างกระบอกสูบ 80.5 มิลลิเมตร x ระยะชัก 88.3 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1
ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI
รองรับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20
แรงม้าสูงสุด EEC net 72 กิโลวัตต์ (98PS)/5,200 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด EEC net 142 นิวตันเมตร (14.5 กก.-ม.) 3,600 รอบต่อนาที
มอเตอร์ไฟฟ้า
ชนิด มอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร
แรงดันไฟฟ้าสูงสุด (600โวลต์)
กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์
แรงบิดสูงสุด EEC net 163 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ไฮบริด
ชนิด นิกเกิลเมตัลไฮดราย
แรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์
จำนวนโมดูล 28 โมดูล 168 เซลล์
ความจุไฟฟ้า 6.5 แอมแปร์ - 3 ชั่วโมง
เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
กำลังสูงสุด 90 กิโลวัตต์ (122PS)
ระบบขับเคลื่อนและระบบรองรับ
ระบบส่งกำลัง อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock
อัตราทดเฟืองท้าย 3.218
ระบบช่วงล่างหน้า อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และคอยล์สปริง พร้อมช็อกแอบซอร์บเบอร์ เฉพาะรุ่น GR Sport
ระบบช่วงล่างหลัง อิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) พร้อมเหล็กกันโคลง และคอยล์สปริง พร้อมช็อกแอบซอร์บเบอร์ เฉพาะรุ่น GR Sport
เบรกหน้า ดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน
เบรกหลัง ดิสก์เบรก
ล้อและยาง ล้ออัลลอยขนาด 18” พร้อมยางขนาด 225/50 R18 เฉพาะรุ่น GR Sport
พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (Electric Power Steering)
หมายเหตุ
*สี Platinum White Pearl พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 7,000 บาท
อุปกรณ์ภายนอก
บังโคลนซุ้มล้อ ด้านหน้าและหลัง
ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ Full LED
ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED (LED Daytime Running Lights) แบบ Light Guiding
ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED Sequential
ระบบปรับระดับไฟหน้าสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ
ไฟท้าย Full LED รมดำ
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ปรับไฟฟ้า และพับเก็บอัตโนมัติ
กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass)
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
เสาอากาศแบบครีบฉลาม
มือจับประตูด้านนอก สีเดียวกับตัวรถ
คิ้วขอบกระจกประตู โครเมียม
คิ้วตกแต่งเสากลาง เปียโนแบล็ค
แผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรง
สัญลักษณ์ GR บริเวณกันชนหน้า ตกแต่งพิเศษ เฉพาะรุ่น GR Sport
สัญลักษณ์ GR Sport บริเวณท้ายรถ
ไฟส่องสว่างที่กระจกมองข้างแบบ LED (Welcome Lamp)
อุปกรณ์ภายใน
สีภายใน สีดำ ดีไซน์พิเศษ เฉพาะรุ่น GR Sport
วัสดุหุ้มเบาะ เบาะหนังและวัสดุสังเคราะห์ พร้อมตกแต่งด้วยด้ายสีเงิน และสัญลักษณ์ GR
เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ต
แผงกั้นสัมภาระด้านท้าย
เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40
ราวมือจับคู่หน้า (Assist Grip)
พวงมาลัยและวัสดุตกแต่งฐานเกียร์ หุ้มหนัง พร้อมตกแต่งพวงมาลัยด้วยหนังแบบเจาะรู พร้อมสัญลักษณ์ GR
มือเปิดประตูด้านใน โครเมียม
กระจกหน้าต่างไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ 4 ตำแหน่ง
กระจกแต่งหน้า บริเวณแผงบังแดดคู่หน้า พร้อมไฟส่องสว่าง
ไฟส่องสว่างบริเวณประตูหน้าและที่วางแก้วน้ำ
ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า
กระเป๋าหลังเบาะนั่งด้านหน้า คนขับและผู้โดยสาร
มาตรวัดและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home
ระบบสตาร์ตอัจฉริยะ (Push Start) พร้อมสัญลักษณ์ GR
ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry)
ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ (Auto Brake Hold)
ระบบเซ็นทรัลล็อก
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา
ปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้าด้านคนขับ (Lumbar Support)
ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและจอข้อมูลการขับขี่ที่พวงมาลัย
ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาและปรับตั้งเวลาได้ อัตโนมัติ
ระบบ EV Mode
ระบบ Sport และ ECO Mode
จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ (Electro Chromic)
ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสาร nanoe
ระบบความปลอดภัย
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Brake System)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution)
ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control)
ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control)
ไฟตัดหมอกหน้า แบบ LED
ไฟตัดหมอกหลัง
เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ที่นั่ง
เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR 3 จุด 3 ที่นั่ง
ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS (คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านด้านข้าง/หัวเข่าฝั่งคนขับ)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISO-FIX and Top Tether)
กล้องมองภาพขณะถอยหลัง
ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
ระบบแจ้งเตือนลมยาง (Tire Pressure Monitoring System)
สัญญาณเตือนกะระยะด้านหน้า ท้ายและที่มุมกันชน 8 จุด
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) พร้อมระบบ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-Speed Range
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High Beams)
ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)
ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Vehicle Sway Warning)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน (Lane Tracing Assist)
ระบบเตือนการโจรกรรม
สัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS
ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
ระบบเครื่องเสียง
จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple Carplay พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB
ระบบ T-Connect
ระบบเชื่อมต่อด้วย Bluetooth
จำนวนลำโพง 6 ตำแหน่ง
อุปกรณ์ตกแต่งพิเศษเพิ่มเติม ติดตั้งโดย บริษัท ไทย ออโต้ คอนเวอร์ชั่น จำกัด
ชุดตกแต่งกันชนหน้า ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport
สเกิร์ตหน้า / ข้าง / หลัง ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/