โฉมหน้าของตลาดรถยนต์ในไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ ยุคนี้เป็นยุครุ่งเรืองของกลุ่มพลังงานใหม่ หรือเรียกตามศัพท์รัฐบาลจีนว่า New Energy Vehicle ซึ่งได้แก่รถ EV, EV แบบมีเครื่องไว้ปั่นไฟอย่างเดียว (REEV), และรถ Plug-In Hybrid แต่ในขณะเดียวกันตัวเลขก็บ่งบอกว่ารถที่อัตราการเติบโตเร็วสุดในขณะนี้ กลุ่มรถไฮบริดแบบไร้ปลั๊ก (HEV) ก็กำลังมาแรงเช่นเดียวกัน ก่อนหน้าที่จะถึงงาน Bangkok International Motor Show 2025 นี้ เรามาชวนกลุ่มคนที่สนใจรถมีถ่านมาคุยกันสั้นๆว่า ควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนเซ็นใบจอง

ใกล้เข้ามาแล้วกับสัปดาห์ช้อปรถ ในงานมหกรรมยานยนต์ Bangkok International Motor Show 2025 ซึ่งจะเริ่มในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ผมได้รับคำถามจากเพื่อนๆหลายคนเกี่ยวกับการซื้อรถคันต่อไป และพบว่าในขณะนี้ การเล่นรถมีถ่านไม่ว่าจะเสียบหรือไม่เสียบปลั๊ก เครื่องยนต์จะส่งกำลังถึงล้อหรือไม่ มีผู้คนให้การยอมรับมากขึ้น หมดยุคที่คนไทยจะยี้ไฮบริดแล้วครับ แต่หลายคนที่ยังเกาหัวแกร็กๆว่าจะเลือกรถพลังงานใหม่แบบไหนดี ลองมาฟังทางนี้ครับ
...

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจะไม่เขียนถึงเรื่องความสะอาดของพลังงานแต่ละแบบนะครับ เพราะผมเป็นสายทดสอบรถ พูดตามสิ่งที่สัมผัสได้ เห็นได้ ทราบได้ การที่ผมจะไปบอกว่าพลังงานแบบไหนสะอาดกว่าใครเมื่อมองตั้งแต่ปลายท่อไอเสียย้อนกลับไปถึงโรงงาน การผลิต และซัพพลายเออร์ และผมไม่อยากเอาข้อมูลจากรถค่ายเดียวมาเป็นตัวยืนยันว่าใครสะอาดกว่าใคร ผมปล่อยหน้าที่นั้นให้เป็นของคนที่เขาคิดว่าเขาจะอุทิศเวลาทั้งชีวิตวิจัยในสิ่งนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และข้อต่อมาคือ ใครที่มีเงินซื้อรถหลายคัน มีเงินหลายๆล้าน ไม่ต้องอ่านก็ได้ครับเพราะคุณมีอิสระในการใช้เงินแก้ปัญหา

ข้อแรก..ถามตัวเองถึงพฤติกรรมการใช้งาน
พฤติกรรมนี่ไม่ได้หมายถึงเวลาขับชอบปาดซ้ายขวาหรือเบิร์นยางอะไรแบบนี้ แต่หมายถึงระยะทางที่วิ่งในแต่ละวัน บวกกับโอกาสที่จะต้องเดินทางไกล และลักษณะของเส้นทางที่ไปว่าคาดเดาได้หรือไม่ได้ รวมถึงไปบ่อยหรือไม่บ่อย ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมองแบบครอบคลุมเพราะใช้เพียงปัจจัยด้านเดียวในการฟันธงก็อาจจะซวยในภายหน้าได้ ยกตัวอย่างนะครับ สำหรับคนที่วิ่งในเมืองเป็นส่วนใหญ่ และเดินทางไกลแบบไม่เกินเดือนละครั้ง การเดินทางแต่ละครั้ง รู้ล่วงหน้า และไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา แบบนี้คุณจะใช้รถ EV ได้อย่างมีความสุข ในขณะที่คนขับแบบเซลส์วิ่งงาน ต้องขับทางไกลประจำ ไม่ค่อยรู้ตัวล่วงหน้า นายสั่งหรือลูกค้าเรียกก็ต้องไป และรอไม่ได้ แบบนั้นอะไรที่ต้องแวะชาร์จกลางทาง ก็ไม่ได้สะดวก คุณก็อาจต้องไปมองรถประเภทที่สามารถเติมน้ำมันแล้ววิ่งได้เลย ไม่ว่าจะแบกแบตเตอรี่ก้อนใหญ่แค่ไหน

รถไฮบริด HEV นั้นแม้ว่าค่าน้ำมันโดยรวมต่อกิโลเมตรจะแพงกว่ารถ EV แต่ถ้า EV ชาร์จที่สถานีระหว่างทาง ความต่างจะน้อยลง และอย่าลืมว่าเมื่อมีการเสื่อมสภาพ แบตเตอรี่ของไฮบริดที่จุไฟน้อยกว่ามากก็มีราคาถูกกว่า บางคนอาจจะบอกว่ารถ HEV ก็มีเครื่องยนต์ที่ต้องดูแล แต่ค่าดูแลในส่วนของเครื่องยนต์ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่น้ำมันเบนซิน ที่ไหนก็มี มันจึงเหมาะสำหรับคนทำงานไกลๆที่พอนายสั่งให้ไป ต้องออกเอี๊ยดไปเลย หรือลูกค้าเรียกก็ต้องไปให้ถึงกำหนดเวลา มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเซฟเงินจากการเดินทางหรือใช้เงินนั้นซื้อความพอใจซื้อเวลา
...

อีกหน่อยจะมีรถ REEV ซึ่งเหมือน Nissan Kicks ตรงที่เครื่องไม่ส่งกำลังไปหาล้อ แต่ต่างตรงที่มันยังสามารถวิ่งได้ 80-100 กิโลเมตรโดยที่คุณจะไม่ได้ยินเครื่องติดเลย Deepal S05 น่าจะเป็นเจ้าแรกที่ขายรถแบบนี้ และมันจะเหมาะมากสำหรับคนทำงานที่ชีวิตสุดแสนจะคาดเดาไม่ได้ ปกติอาจวิ่งไปๆมาๆวันละไม่ถึง 100 กิโลเมตรแต่ถ้าจู่ๆนายสั่งให้ไปอุบลราชธานีด่วน รอเครื่องบินไม่ได้ คุณก็แจ้นไป ไฟหมดก็ติดเครื่อง น้ำมันหมดก็เติม เป็นความสะดวกอีกแบบ แต่รถพวกนี้แบตเตอรี่ก็จะโตและแพงแบบอยู่กึ่งกลางระหว่าง HEV กับ EV นะครับ ให้นึกภาพ Nissan Kicks ที่แบตเตอรี่โตและแพงขึ้น

...
ให้พิจารณาการเลือก โดยดูว่า 80% ของการขับ คุณขับแบบไหน และไอ้ 20% ที่เหลือ ซึ่งอาจจะเป็นภารกิจเซอร์ไพรส เกิดขึ้นบ่อยไหม และถ้าเกิด คุณมีทางเลือกอื่นไหม เช่นที่ทำงานอาจจะมีรถสันดาปเฉพาะกิจ ก็ค่อยเอาไปตอนนั้น อีกอย่างหนึ่งคือพวกที่โดนให้ทำงานเช้าเป็นประจำ อย่างนักข่าว บางทีก็มีนัดไปสัมภาษณ์ 9 โมงเช้า ซึ่งถ้าคุณออกจากบ้าน 8 โมง คุณจะไปไม่ทัน บางทีก็ต้องแหกขี้ตาตื่นตีห้าแล้วไปจอดนอนรอที่นัดหมายเอา ในกรณีนี้ HEV ที่แบตเตอรี่จุไฟน้อย มักจะจอดดับเครื่องติดแอร์ได้ไม่นานเกินกว่า 20-30 นาที ในขณะที่รถ PHEV อย่าง Haval H6 ที่ผมเคยลอง จอดเปิดแอร์ 1 ชั่วโมงกินไฟไปแค่ 10-15% ถ้าเป็นรถ EV เลย ยิ่งสบาย เปิดแอร์กอดหมอนนอนรอ แต่อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุก เดี๋ยวนายด่า

ข้อที่ 2 คือ การเลือกสิ่งที่จำเป็น และอย่ายึดติดกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้
…ยกเว้นความปลอดภัย...เพราะอุปกรณ์เซฟตี้คือสิ่งที่คุณหลายคนไม่ได้ใช้ แต่เวลาจะใช้แล้วไม่มีมันจะไม่ทันร้องไห้น่ะสิ
การเลือกสิ่งที่จำเป็น คือการพิจารณาแบบตัดตัณหาส่วนตัวออก เหมือนเลือกแฟนโดยที่แกล้งตาบอด ถ้าคุณไม่เห็นหน้าตา สิ่งที่เหลือมีอะไรที่คุณได้ใช้ โดยเฉพาะถ้าเราเลือกรถแบบคนไม่ค่อยมีเงิน เราจะหรูมากไม่ได้ ผมยกตัวอย่างง่ายๆเลยก็คือขนาดตัวรถ รถที่ใหญ่กว่า มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเสมอ แต่บางคนชอบรถใหญ่เพราะเชื่อเรื่องความปลอดภัย ซึ่งก็ไม่ใช่กับทุกเคส
...

สมัยนี้ ครอบครัวลูกสอง พร้อมสัมภาระ สามารถเดินทางในรถขนาดเท่า BYD Atto 3, Honda HR-V หรือ Corolla Cross ได้ บางครอบครัวบอกว่าจะมีครอบครัวแล้วอยากได้รถใหญ่ แต่ลูกยังตัวไม่โต กว่าจะถึงวันที่เขาจะโตและเลือกที่จะใช้เวลากับเพื่อนมากกว่าอยู่กับคุณ ตอนนั้นคุณอาจจะมีเงินซื้อรถคันใหม่ไปแล้ว รถที่ขนาดโตกว่า ก็ต้องใช้ระบบขับเคลื่อนที่มีพลังมากกว่า ใช้แบตเตอรี่โตกว่าเพื่อให้วิ่งได้ไกลเท่ารถเล็กๆเบาๆ ล้อและยางก็มักจะขนาดโตกว่า แพงกว่า และท้ายสุดคือค่าประกันก็มีแนวโน้มว่าจะแพงกว่า เวลาจะซื้อรถใหญ่ คุณไม่ได้จ่ายต่างแค่ค่าตัวรถครับ แต่ให้ดูค่าใช้จ่ายจุดนี้ด้วย ผมไม่ได้ห้ามคุณทำตามความฝัน..แต่ความฝันนั้นคุณรับราคาได้นะ?

การเลือกรุ่นรถ อุปกรณ์ ก็มีส่วนที่ช่วยเซฟเงินได้ตั้งแต่วันออกรถ รถ EV แบตเตอรี่โตและวิ่งไกล ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าคุณมีรถสันดาปอยู่แล้วที่บ้านอีกคันและใช้ EV คันนี้เพื่อวิ่งงานในเมืองเป็นส่วนใหญ่ บางทีคุณอาจไม่ต้องเลือกรุ่นแบตเตอรี่โตๆ หรือมีระบบชาร์จแบบทิ่มปุ๊บแทบจะเต็มปั๊บก็ได้ หลังคากระจก ก็เก๋ดี แต่ถ้าคุณไม่ได้ขับผ่านบริเวณที่รถติด คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปมองข้างบน หลังคากระจกบางทีก็ร้อนมากตอนกลางวัน รถบางรุ่นมีม่านกันร้อนมาให้ก็โอเค บางรุ่นไม่มี แล้วคุณก็ไปติดฟิล์มกันร้อน มืดมากจนกลางวันไม่เห็นวิว กลางคืนไม่เห็นอะไรเลย แล้วจะใช้หลังคากระจกไปทำไมถ้าคุณวิ่งกลางวันตลอด

นี่แค่เป็นตัวอย่างในเรื่องขนาดรถ ส่วนเรื่องระบบส่งกำลัง บางคนซื้อรถแรงม้าเยอะๆก็ไม่ได้ใช้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ มอเตอร์แรงๆ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เพิ่มไปในราคารถทั้งนั้น บางคนบอกว่ามีแรงไว้ใช้ดีกว่าตอนจะใช้แล้วไม่มี ในกรณีของรถสันดาปสมัยก่อน ผมเข้าใจ แต่ทุกวันนี้รถอะไรก็ตามที่มีมอเตอร์ขับเคลื่อนแล้วคุณเห็นแรงม้าระดับ 170 ตัวขึ้นไป รถพวกนี้วิ่งจริงก็แทบจะไล่ฆ่า Fortuner 2.8 ลิตรได้แล้ว พวกที่ 200 ม้าต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าอย่าง BYD, Ora หรือรถไฮบริดอย่าง Camry ให้พลังที่พอแล้วครับสำหรับการขับไปทั่วประเทศ เพียงแต่เวลาตบคันเร่งแล้วหน้าไม่ตึงเหมือนไปทำเบบี้เฟซ บางคนก็ไม่ชอบ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ บางคนขับรถแทบไม่เกิน 120 แต่อยากใช้เพราะมั่นใจเวลาฝนตก ผมจะบอกว่าถ้าเป็นรถสมัยใหม่ที่มีระบบช่วยเหลือเป็นสิบอย่าง คุณเอางบไปลงกับยางที่รีดน้ำดี คุณภาพดี และอย่าไปปิดระบบช่วยเหลือใดๆ มันก็ขับได้มั่นคงปลอดภัยต่างจากรถ 20 ปีก่อนมากแล้ว..และถ้าฝนตกก็ลดสปีดลงหน่อยก็แทบไม่ต้องใช้ขับสี่
พละกำลัง ระบบขับเคลื่อน และอุปกรณ์ ถ้าเอามาแล้วไม่ได้ใช้ มันก็คือน้ำหนักที่รถต้องแบก ถ้าผู้เขียนตัวไซส์ 5XL โดดขึ้นรถคุณแล้วไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับคุณ ทำไมคุณไม่เตะผมลงจากรถล่ะ เช่นเดียวกับกับอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้แล้วแบกภาระน้ำหนักให้กินไฟเปล่าๆล่ะครับ มีค่าเท่ากัน


กรณีหนึ่งในเรื่องแบตเตอรี่โต ชาร์จไว สำหรับรถ EV ที่ผมยกเว้นให้ก็คือ ถ้าคุณเป็นพ่อ ซื้อรถให้ลูกสาว แล้วลูกสาวคุณเรียนหรือทำงานแล้วกลับบ้านดึกทุกวัน การได้รถชาร์จไวหรือวิ่งได้ไกล บางทีก็คุ้มเพราะมันส่งลูกเราถึงบ้านได้ทุกคืน มันไม่ใช่ไอเดียที่ดีเวลาต้องแวะที่ไหนคนเดียวในยามราตรีของประเทศไทย แต่นั่นคือกรณีที่ลูกเขาอยากได้ EV นะครับ ถ้าเขาไม่ได้ระบุ เป็นผม ผมก็อาจให้ใช้ไฮบริดไปก่อนและเลือกยี่ห้อที่ Google แล้วไม่ค่อยเจอใครขึ้นยานแม่ บางคนอาจจะบอก มีแฟนก็เรียกแฟนสิในกรณีฉุกเฉิน..คือบางทีสิ่งมีชีวิตในรูปของแฟนมันไม่ได้คอยอยู่เพื่อสร้างความสุขให้เราตลอดเวลา แฟนมันช่วยเราได้บางครั้ง แต่ในโอกาสอื่นมันอาจจะกวนใจหรือทำเราเจ็บได้ แฟนคือการแลกชีวิตคนละครึ่งครับ และบางครั้งผู้หญิงก็ใช้แค่ความเก่ง ทัศนคติที่ดี และเงินดำรงชีพ เพื่อที่จะอยู่รอด


ข้อที่ 3 ศึกษาบริษัทผู้ผลิต และดีลเลอร์
นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีรถยี่ห้อใหม่ๆเพิ่มขึ้นมากกว่า 16 ยี่ห้อเข้าไปแล้วในปัจจุบัน ดังนั้นการเปิดรับอะไรใหม่ๆบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก โลกนี้จะมีทั้งคนอนุรักษ์วิถีเก่าและคนที่เบื่อในวิถีเก่า ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องดูว่า เราจะเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากนี้ไปจ่ายให้กับใคร เราก็ควรจะรู้จักเขาสักหน่อยไหมว่ามีนิสัยใจคออย่างไร เรื่องนี้ ผมว่าคนที่บ้ารถ เสพย์ข่าวรถอาจจะทราบดีกันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนอีกมากที่ไม่ได้โฟกัสชีวิตอยู่กับข่าวรถ บางคนคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่บางครั้งก็ฟังไว้บ้างก็ดีครับ

และผมไม่ได้พูดถึงแค่บริษัทหน้าใหม่ที่อายุตลาดในไทยยังไม่ถึง 5 ปีนะครับ คุณควรศึกษาทุกค่าย บางทีแค่เอาชื้อรถไป Google ก็มีอะไรให้อ่าน แต่ต้องดูด้วยว่าไอ้ที่เขียนนั้นเป็นสำนักข่าวมีตัวตนจริง ถ้าเป็นคนก็ไม่ใช่ User อวตาร หรือ io เขียนแช่งหรือเชียร์ส่งเดช คุณเข้ามาเพื่อดูว่ารถรุ่นที่คุณกำลังสนใจ มีปัญหาอะไรบ้าง อย่าไปยึดติดกับคำว่า “รถทุกยี่ห้อมีปัญหา” มันมีทุกยี่ห้อแหละครับ แต่ระหว่างขาย 10,000 คันมีปัญหา 10 คัน กับขาย 1,000 คันมีปัญหา 10 คัน ปริมาณคำบ่นเท่ากันแต่คุณว่ามาตรฐานการคุมคุณภาพดีเท่ากันหรือเปล่า

และไม่ได้แปลว่ามีปัญหาแล้วคุณจะต้องไม่ซื้อรถค่ายนั้น มันอยู่ที่คุณว่าคุณจะรับได้ไหม ผมฟันธงให้ไม่ได้ บางคน รถประกอบไม่เนียน ระนาบประตูหน้าหลังต่างกัน 2 มิลลิเมตร คือ Defect บางคนไม่ว่าอะไร บางคน เครื่องพัง บอกว่าพังก็ซ่อมให้ฟรีก็จบ บางคนบอกว่าไม่ได้ รถฉันยังใหม่ ต้องเปลี่ยนคันใหม่ คนเรามีดีกรีในการรับปัญหาที่แตกต่างกัน มันอยู่ที่คุณจะเก็บข้อมูลว่า สิ่งที่คนเจอกัน คุณรับได้หรือไม่ บางคนอาจจะบอกรถ EV บางรุ่นช่วงล่างย้วย แต่คุณขับกระบะยุค 90s ช่วงล่างเดิมมาตลอดชีวิต มันก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณ ดังนั้นจึงอยู่ที่ความ “รับได้” เหมือนแฟนนอนกรน บางคนก็รับได้ บางคนก็เลิกกันไปก็มี

ถ้าเป็นผม ผมชอบที่จะดู ศึกษาไปถึงนโยบายของบริษัท ดูอุปนิสัยของคนที่อยู่ในบริษัทว่าจะนำค่ายไปในทิศทางแบบไหน บางค่ายมีความตั้งใจว่าจะทำรถให้ดีที่สุด และพยายามทำให้ราคาถูกลงเรื่อยๆ พอพวกเขาเปิดรถเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ รถมันก็จะถูกลง คุณซื้อรถเขาวันนี้ให้ถือคติว่ารับมาแล้วก็ต้องใช้ อย่าไปเสียดายเพราะถ้ากลัวเสียดาย คุณก็จะไม่มีวันได้ซื้อ แต่ถ้าไม่ชอบแนวคิดนี้ ก็ไม่ต้องด่าเขา ไปเลือกรถค่ายอื่น บางค่าย ไม่ไฮเทค ไม่เน้นลูกเล่น แต่เน้นทำรถให้ทนทานไว้ใจได้ ถ้าคุณมองว่าเขากั๊กออปชั่น ก็เล่นค่ายอื่น การตัดสินใจเลือกรถและยอดขาย บวกกับความเห็น (แบบที่ไม่ใช่ด่าแบบกดหัวจมโคลนหรือเหยียดชาติพันธุ์) คือสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้

สถานภาพทางการเงินของบริษัท ก็ควรลองเช็คดู อ่านข่าวมากกว่าที่พิมพ์ในประเทศไทยบ้างก็ได้ และเมื่อหาข่าวได้ ก็ให้เช็คว่ามันมาจากแหล่งเดียวหรือเปล่า บางทีข่าวที่ตีพิมพ์โดยสื่อนอกสำนักใหญ่ ดูน่าเชื่อถือ แต่อ่านในเนื้อข่าวก็เขียนว่าตามที่ (ชื่อสำนักข่าวอื่น) เขียนมานั้น บลา บลา สรุป มีไอ้หมอนั่นคนเดียวเล่นข่าว ที่เหลือคือมาเล่าว่าหมอนั่นพูดอะไร แต่มองเผินๆเหมือนทั้งโลกร่วมใจกันเขียน ทุกสำนักข่าวเขียน ระวังตรงนี้ให้ดี

กฎโง่ๆที่ผมคิดขึ้นมาเอง และใช้กับตัวเองคือ ผมจะไม่ซื้อรถของค่ายไหนที่ผมไม่ได้รู้จักเขาดีพอ ในที่นี้หมายถึง ต้องเห็นวิธีการทำธุรกิจของเขาในประเทศไทยอย่างน้อย 3 ปี ผมถึงจะเริ่มคิดได้ว่าควรเอาหรือไม่เอาแบรนด์นั้น ทีนี้คุณลองมองย้อนไป มีนาคม 2022 จนถึงวันที่คุณอ่านบทความนี้ แล้วมองทีละค่าย คุณเห็นสิ่งที่ผมพยายามบอกหรือยังครับ? ส่วนค่ายอื่นที่อยู่มานาน คุณมีข้อมูลสะสมอยู่แล้วว่าเขาเป็นอย่างไร อะไรที่มันไม่เคยเปลี่ยนมา 10 ปีในแนวทางของเขา ผมว่ามันก็คงจะไม่เปลี่ยนในเร็วๆนี้หรอกครับ ให้นิสัยระยะยาวของพวกเขาบ่งบอกคุณ ว่าคุณน่าจะซื้อรถของพวกเขาได้ไหม

ส่วนตัวผม “ไม่มีค่ายไหนเลยที่ดีไปหมดทุกอย่าง” ผมก็จะเลือกในสิ่งที่ผมรู้ว่าเขาดีตรงไหน และไม่ดีตรงไหน และผมยังให้ราคาขายต่อเป็นเรื่องที่สำคัญ..ไม่ใช่สำคัญที่สุด แต่ก็สำคัญ เพราะเงินที่เราขายต่อได้ มันนำไปใช้ในการดาวน์รถคันต่อไปได้ไงครับ ยกเว้นว่าคุณรวยมากแบบ “ซื้อมาใช้ไม่ได้ซื้อมาขาย” ตอนขายราคาพังช่างมารดาเพราะว่าฉันรวย อันนั้นก็ถือว่าคุณโชคดี แต่ผมไม่ได้รวยแบบคุณไงครับ
จะใช้เงินแต่ละที มันเลยต้องคิดหนักแบบนี้แหละ
Pan Paitoonpong