เมื่อ 3 ตุลาคมที่ผ่านมาคงได้เห็นรีวิวเบื้องต้นจากสื่อฯทั่วประเทศไปแล้วสำหรับ Honda HR-V ไมเนอร์เชนจ์ สำหรับท่านที่มีทางเลือกอยู่ในใจค่อนข้างชัดแล้วว่ายังไงก็ขอเป็นชาว “H” และคิดว่ามีโอกาสสูงที่จะเลือก HR-V เป็นรถคันต่อไป ในสัปดาห์นี้ไทยรัฐออนไลน์ จะลองให้คำแนะนำสำหรับคนทั่วไปที่กำลังสนใจรถรุ่นนี้ แต่ยังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะเลือกรุ่นย่อยใดดี เพราะรุ่น E ก็มีราคาที่ต่ำกว่าเก้าแสนยั่วใจ รุ่น RS ก็ได้ของครบและได้ส่วนที่เปลี่ยนแปลงเยอะกว่ารุ่นอื่น ส่วนรุ่น EL ที่เหมือนพี่ชายคนกลาง ก็พยายามให้ความสมดุลระหว่างของหรูกับราคา ไม่มีรุ่นย่อยไหนหรอกครับที่ฟันธงได้เลยว่าคุ้มสำหรับทุกผู้ทุกเหล่า ต้องดูความต้องการ อะไรที่คุณอยากได้ อะไรที่คุณได้ใช้จริง และเงินที่จะมาผ่อน ตึงหรือหย่อนได้แค่ไหน
...
Honda HR-V นั้น นับได้ว่าเป็นตัวแบกของค่ายที่สร้างผลงานและยอดขายได้ดี แม้ช่วงเริ่มต้นจะเจอปัญหาประกอบรถส่งไม่ได้เนื่องจากชิปขาดแคลนบ้าง แต่ในปีที่ผ่านมา เมื่อเรามองยอดขายกลุ่ม SUV/Crossover ไซส์กะทัดรัดแบบ 5 ที่นั่งก็จะเห็นได้ว่าแม้โลกโซเชียลจะด่าในความกั๊กออปชั่นอย่างไร ท้ายสุด ลูกค้าไทยก็ยังอุดหนุน HR-V เยอะสุดในระดับสองหมื่นกว่าคันในปี 2023 ที่พูดนี้ ไม่ได้จะบอกว่า HR-V ขายดี “จึงเป็นรถดีที่สุด” นะครับ เพราะไม่มีรถคันไหนดีที่สุดสำหรับทุกคนไปได้
...
แต่ถ้าคุณมองจากมุมของคนที่ไม่ได้บ้ารถบ้าง ก็ต้องยอมรับว่า HR-V เป็นรถที่ถูกจริตลูกค้าวัยสาวมหาวิทยาลัยและสาววัยสู้งาน ลูกค้าผู้ชายบางคนก็ชอบ เพราะหลังคาของรถดูเตี้ย ดูหุ่นแล้วไม่เหมือนคนมีลูกพาลูกไปเที่ยว แต่ความจริงใต้ท้องที่สูง 196 มม. (มากกว่า Corolla Cross ราว 3 เซนติเมตร และมากกว่ารถเก๋งเตี้ยทั่วไปราว 5 เซนติเมตร) เหมาะกับถนนห่วยๆของเมืองไทย ทั้งหลุม ทั้งน้ำท่วม และทั้งทางลาดทางชันที่ทั้งคนสร้างและคนออกแบบน่าจะหลงยุค คิดว่าคนไทยขี่ม้ามาทำงาน ลูกระนาดที่เป็นตัวพิฆาตพาร์ทสวยๆและใต้ท้องรถ นี่ล่ะครับคือสาเหตุที่แม้เราจะบ่นกันว่า SUV/Crossover กำลังจะฆ่ารถเก๋ง แต่ท้ายสุดเมืองไทยทำให้เราต้องใช้รถพวกนี้ และนี่ยังไม่นับเรื่องความอเนกประสงค์จากรูปแบบของตัวรถซึ่ง HR-V นั้น พับเบาะใส่ของใหญ่ก็ได้ ดึงเบาะนั่งหลังขึ้นล็อคแล้วใส่ต้นไม้สูงเมตรนึงได้ คนไทยไม่ได้มีรถสองสามคันทุกคน บางคนต้องใช้รถคันเดียวทำทุกอย่าง นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้รถอย่าง HR-V ขายดี
ที่นี้ แล้วคุณจะเล่นรุ่นย่อยไหนดีถ้าใจมันเลือกแล้วว่าจะเป็น HR-V ก็ลองมาดูกัน แต่ขอบอกเป็นหมายเหตุไว้นิดว่า เนื่องจาก Honda ยังไม่ปล่อยรถรุ่น E มาให้เราเห็น ภาพในบทความก็จะมีแต่รุ่น EL กับ RS นะครับ
***ถ้าว่ากันด้วยเรื่องเงิน***
...
...
ข้อแรก เรื่องราคา..หลายคนจะคิดความแพงหรือถูกจากราคาป้ายหน้ารถ ซึ่งตอนนี้ ถึงแม้ยังไม่ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่ Honda เองก็ออกมาใบ้แล้วว่ารุ่น E ตัวเริ่มต้น ราคาจะลดลงจาก 979,000 บาทไปอยู่ที่ 89x,xxx บาท ในขณะที่รุ่น EL ราคา 1,0xx,xxx บาท และรุ่น RS ตัวท้อป ราคา 1,1xx,xxx บาท ซึ่งถ้ามองแบบนี้ เท่ากับช่วงราคาที่แตกต่างระหว่างตัวแพงสุดกับถูกสุด ก็มีโอกาสจะเป็น 200,000-290,000 บาท (Honda ยืนยันว่า EL และ RS ราคาจะไม่แพงไปกว่ารุ่นเดิม) ถ้ามองแบบนี้บางคนอาจจะไม่เอารุ่น RS เพราะราคาที่สูงกว่า แต่ราคาต่างกันราวสองแสนบาท ในโลกของการซื้อแบบผ่อนรายเดือน สมมติว่าคุณเลือกดาวน์ 25% และผ่อน 48 เดือน ระหว่างรุ่น E กับ RS คุณวางเงินดาวน์ต่างกันราว 80,000-100,000 บาท และยอดผ่อนต่อเดือนต่างกันราว 2,500 บาทบวกลบนิดหน่อย
พอคิดแบบนี้ ถ้าใจคุณอยากได้รุ่นท้อป e:HEV RS อยู่แล้ว ก็แค่ลองเช็คว่าดาวน์ต่างกันเท่านี้ ผ่อนต่างกันเท่านี้ คุณไหวหรือเปล่า ถ้าไหวก็จัดได้นะครับถ้าคุณอยากเล่นรุ่นแพงสุดแล้วทีเดียวจบเลย 2,500 บาทต่อเดือนสำหรับแต่ละคน มีค่าต่างกันครับ สำหรับบางคน “ก็แค่ไปร้านอาหารแพงๆให้น้อยลง” ก็ได้แล้ว แต่สำหรับบางคน มันคือความต่างระหว่างอาหารตามสั่งเจ๊ฝน กับมาม่าใส่ไข่ ถ้าคุณคือกลุ่มที่เป็นอย่างหลัง ก็อดรนทนใจไว้หน่อย เล่นตัวล่างก็ได้
บางคนมีความเชื่อว่า คุณเล่นตัวท้อป ตอนซื้อคุณจ่ายแพง แต่ตอนขาย คุณก็ขายได้แพงกว่า เรื่องนี้มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาด้วยครับ สำหรับรถอายุ 1-2 ปีที่ขายต่อเพราะเจ้าของเบื่อหรือร้อนเงิน แบบนั้นยังพอมีโอกาส อย่าง HR-V โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่ผมลองสำรวจราคามา พวกรถปี 2022 นั้น ถ้าเป็นรุ่น RS มีตั้งแต่ 8 แสนต้นถึงต้นๆ 9 แสน แต่ถ้ารุ่น E ยังไงก็ไม่แตะเลข 9 แต่วิ่งระหว่างเลข 6 ปลายถึง 8 ต้น แต่คุณคงสังเกตได้ว่าตอนซื้อต่างกันสองแสน ตอนขายต่างกันแสนเดียว นี่คือเราพูดถึงรถที่ใช้ไป 2 ปีนะครับ ยิ่งถ้าเป็น 5 ปี ส่วนต่างตรงนี้จะลดลงอีก
***ถ้าว่ากันด้วยเรื่องอุปกรณ์***
หากรถคันที่แล้วของคุณคืออีโคคาร์รุ่นช่วงปี 2012-2018 หรือรถระดับ Civic หรือ Altis รุ่นเก่า คุณจะไม่รู้สึกว่า HR-V e:HEV E ตัวถูกสุดขาดอะไรไปมากนักหรอกครับ แต่ถ้าเทียบกับ Yaris Cross แน่นอนว่างบเท่ากันของเล่นสู้ Yaris Cross ไม่ได้ เพราะเจ้านั้นเขาเกิดทีหลังและได้รับการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตมาเพื่อให้ยัดออปชั่นอิ่มในราคาที่ถูกได้ กระนั้นก็ตาม รุ่น E นั้นยังมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานเกือบครบ ถุงลม 6 ใบ ระบบช่วยรักษาการทรงตัว ไฟสูงอัตโนมัติ ระบบเตือนและเบรกก่อนชนด้านหน้าที่ความเร็วต่ำ ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน ระบบ Adaptive Cruise Control และมีระบบตั้งให้รถล็อคโดยอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่าง กันลืมล็อครถ โดยถ้าเทียบกับรุ่นท้อปที่แพงสุด ส่วนที่ต่างคือ เซนเซอร์ถอยหลัง กล้อง Lane Watch ไว้ส่องจุดบอดข้างซ้ายตอนเปลี่ยนเลน และไฟหน้าแบบปรับการส่องสว่างแปรผันอัตโนมัติพร้อมไฟส่องทางตอนเลี้ยว หลักๆด้านเซฟตี้ มีแค่นี้ที่ต่างครับ
ส่วนองค์ประกอบด้านการใช้งานอื่นๆ รุ่น E โฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ มีการเพิ่มช่องแอร์และช่องเสียบ USB ของผู้โดยสารตอนหลังมาให้แล้ว ดังนั้นถ้าคุณสามารถอยู่ได้โดยไม่มีเบาะคนขับปรับไฟฟ้า ไม่มีฝากระโปรงท้ายเปิดด้วยไฟฟ้า หลังคากระจก กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นไปได้ว่าคุณสามารถเซฟเงินแล้วไปเล่นรุ่น E ก็ได้ เพราะในภาพรวม อุปกรณ์ของรุ่น E ก็คือมีให้ประมาณอีโคคาร์รุ่นท้อปของหลายค่าย โดยเฉพาะในด้านเซฟตี้ที่ไม่ได้ต่างจากตัวท้อปมากนัก
แล้วถ้าหากว่าคุณยอมจ่ายเพิ่มราว 110,000-170,000 (โดยประมาณการนะครับ) เพื่อขยับไปเล่นรุ่น EL คุณได้อะไรเพิ่มบ้าง ก็มีดังนี้
-ไฟตัดหมอกหน้า
-ล้ออัลลอยลายเดียวกันแต่ทำสีคนละแบบ
-ฝากระโปรงท้ายเปิดปิดด้วยไฟฟ้า แกว่งเท้าใต้กันชนเพื่อเปิดได้ พร้อมระบบเดินออกห่างแล้วให้ฝาท้ายปิดโดยอัตโนมัติ
-ระบบปัดน้ำฝนปรับความเร็วในการปัดอัตโนมัติ
-เบาะคนขับปรับไฟฟ้า
-กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
-Wireless Charger
-กล้อง Lane Watch
-กระจกไฟฟ้า จากรุ่น E กดทีเดียวขาขึ้น/ลงได้เฉพาะบานคนขับ ของ EL จะได้ทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งข้าง (รวม 2 บาน)
และที่เพิ่มมาก็คือ ถ้าคุณอยากได้สี Khaki Sands ซึ่งเป็นสีใหม่และเป็นแพ็คเกจบังคับมาพร้อมหลังคาทูโทนนั้น คุณต้องซื้อรุ่น EL หรือ RS เพราะรุ่น E จะไม่มีให้เลือก ซึ่งถ้าคุณดูอุปกรณ์ตามลิสต์ข้างบนแล้วคิดว่าไม่มีโอกาสใช้บ่อย หรือไม่ได้แคร์ ความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเงินมาเอารุ่น EL ก็จะยิ่งน้อยลง
และถ้าถามว่าอย่างไหนทำง่ายหรือยาก ผมว่าปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เบาะไฟฟ้า ตรงนี้น่าจะแพงหรือทำได้ยากหน่อยเพราะต้องเบิกพาร์ทเอาและไม่ค่อยมีคนทำ เบาะไฟฟ้าถ้าจะเอาถูกๆและตรงรุ่นก็ต้องหาพวกรถ RS ที่โดนชนท้ายขายซากมาหรือเบาะจากเซียงกงญี่ปุ่นมา แต่กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ไม่ยาก ฝาท้ายไฟฟ้า มีร้านข้างนอกรับทำในราคาหมื่นกลาง (แต่ไม่แน่ใจว่าใช้ของศูนย์หรือเปล่านะครับ) เรื่อง Lane Watch นี่ไม่ต้องห่วง ร้านข้างนอกเขาเล่นติด Blind Spot Monitoring กันมานานแล้ว ใช้แทนพอได้ครับ
ถ้าส่วนที่คุณต้องการบางส่วนมันขาดหายไปในรุ่น E แล้วมันเป็นสิ่งที่ทำเพิ่มได้แล้วจบในงบไม่เกิน 40,000 บาท ผมคิดว่ารุ่น E ก็ยังน่าเล่นกว่าอยู่ อย่างเบาะไฟฟ้านี่ บางคนไม่ได้ชอบเลยด้วยซ้ำเพราะมันปรับชักช้าไม่ทันใจ และตัวมอเตอร์กับสวิตช์ ใช้ไปนานๆก็มีโอกาสเสื่อมหรือพัง แต่เบาะรางคันโยกธรรมดาๆ ถ้าไม่ไปกระแทกกระทั้น แทบไม่มีอะไรให้พัง ส่วนเครื่องเสียงนั้น รุ่น E ในโฉมนี้จะเหมือน EL ทุกประการครับ เพิ่มลำโพงจาก 4 เป็น 6 ให้แล้ว
ส่วนรุ่น e:HEV RS นั้น ด้วยความเป็นตัวท้อปสุด คุณจะได้ของเยอะกว่าใคร และถ้าคุณอยากเน้นเรื่องความต่างภายนอกของรถเป็นสำคัญ RS ยิ่งน่าสนเพราะหน้าตาภายนอกแตกต่างจากรุ่นอื่น เหมือน Honda อยากเอาใจคนใช้ตัวท้อปมากกว่าชัดเจน โดยจุดต่างเทียบกับรุ่น EL มีดังนั้นครับ
-กระจังหน้าลายสปอร์ตกว่า
-ไฟหน้าเป็นแบบปรับลำแสงได้ด้วยตัวมันเองขึ้นอยู่กับว่าทางมืด/มีรถข้างหน้า/มีรถสวนหรือไม่
-มีไฟส่องทางเวลาเลี้ยวเพิ่มมา ข้อนี้กับข้อข้างบนเป็นออปชั่นที่เหมือนกับ CR-V/Accord ซึ่งขนาด Civic ยังไม่มีเลยนะครับ
-ไฟเลี้ยวเวลาเปิดจะเป็นแบบกระพริบไล่แถบ (Sequential)
-ล้ออัลลอยขยับจากขนาด 17 เป็น 18 นิ้ว ยางขยับจากหน้ากว้าง 215 เป็น 225 มม.
-หลังคากระจก พร้อมม่านมือดึงตอนหน้าและแผ่นม่านบังแสงสองชิ้นตอนหลัง
-ไฟท้ายเฉพาะรุ่น RS เป็นดีไซน์ใหม่ (รุ่นอื่น เป็นดีไซน์เหมือนก่อนไมเนอร์เชนจ์)
-เซนเซอร์กะระยะด้านท้ายรถ
-เบาะและภายในเย็บด้ายแดงสไตล์ RS
-กระจกไฟฟ้าแบบกดทีเดียวขึ้น/ลงหมดบาน มีมาให้ในประตูทั้งคู่หน้าและหลังครบๆ
-กระจกมองข้างฝั่งซ้ายปรับส่องพื้นเวลาเข้าเกียร์ถอยหลัง
-แผงบังสัมภาระด้านหลัง
-เครื่องเสียงเพิ่มลำโพงจาก 6 เป็น 8 ลำโพง
-ระบบ Honda CONNECT
เมื่อมองด้วยตัวจริง สิ่งที่คุณจ่ายเพิ่มเพื่อเป็น RS นั้น โดยหลังแล้วคือรูปโฉมภายนอกที่ดูสปอร์ตกว่าตัวอื่น ส่วนภายใน พอนั่งไปบนเบาะแล้วขับ จุดต่างที่มีจะไม่เยอะ อาจจะมีก็คือเรื่องเครื่องเสียง กับมีเซนเซอร์ท้ายที่ได้ใช้บ่อยหน่อยสำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งคุณต้องตัดสินใจเองว่ามันคุ้มไหมกับสิ่งที่เพิ่มมา
สำหรับผมเอง สมมติว่าต้องเลือก มนุษย์อนาล็อกยุคโบราณแบบผมนี่ เผลอๆ รุ่น E ยังจะพอเสียด้วยซ้ำไป คือถ้ากระโดดจากรถกระบะราคาเก้าแสนมานั่งใน HR-V 9 แสน มันก็ล้ำขึ้นเยอะแล้ว ระบบความปลอดภัยไม่แย่ และบางสิ่งที่ขาด สามารถเติมได้ เจรจาขอกับคนขายตอนจะจองดูอาจจะได้มาฟรีเลยก็ได้ สำหรับผม แค่รุ่น E แล้วรอจังหวะอะไหล่มือสองเริ่มมา หาไฟท้ายสเป็ค RS กับล้อใส่ ซึ่งล้อ 18 ของ RS ตัวนี้ ก็คือล้อเวอร์ชั่นเก่าของ HR-V รุ่น Play ในญี่ปุ่น ลองฝากคนหาของเซียงกงหาได้ ผมใส่แค่ไฟท้ายนี้ กับล้อ RS แล้วไปติด Blind Spot Monitoring เพิ่ม ผมได้รถแบบที่ตัวผมเองใช้งานแล้วพอใจ และเชื่อว่าหลายคนที่ไม่ได้ซื้อรถแบบเทียบสเป็คคู่แข่งเป็นตาราง ก็น่าจะพอแล้วกับรุ่นนี้
ส่วนคนที่อาจจะมีอาชีพทำเค้ก ทำงานศิลป์ชิ้นใหญ่ และต้องอยู่โดยพึ่งพาตัวเอง ไม่มีแฟนไปส่งของลูกค้าเป็นเพื่อน ผมว่ารุ่น EL ที่มีระบบฝาท้ายไฟฟ้าแบบปิดอัตโนมัติได้ มันดูเหมือนไร้สาระ แต่นึกภาพว่าคุณต้องยกของออกจากท้ายรถแล้วของชิ้นนั้นไปวางกะเรี่ยกะราดไม่ได้ คุณก็แค่กดปุ่มขวาสุดบนฝาท้ายตอนที่มันเปิด หยิบของ แล้วถอยออกมา ฝาท้ายจะปิดและรถจะล็อคให้เอง สะดวกมากขึ้น และค่าใช้จ่ายโดยรวมถูกกว่าการหาแฟนเด็กไทป์โกลเด้น
ส่วนรุ่น RS นั้น เหมาะสำหรับคนที่ชอบหลังคากระจก แต่ถ้าไม่นับหลังคากระจก ไม่นับเรื่องความสวยภายนอก สิ่งที่ยังเป็นสาระจริงๆคือไฟหน้าสเป็ค CR-V ของเขาที่มีประโยชน์หน่อยแต่ถ้าคุณขับรถอยู่แต่ในเมือง มันก็จะไม่ได้แสดงความสามารถของมันขนาดนั้น ส่วนเซนเซอร์ท้าย ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ไปติดเพิ่มเอาเองได้ไม่ยาก ดังนั้นถ้างบคุณตึงมากจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้อง RS ก็ได้ครับ
และนี่ก็คือสรุปจุดต่างของแต่ละรุ่นย่อยคร่าวๆของ HR-V ไมเนอร์เชนจ์ว่ารุ่นไหน ต่างกันอย่างไร เหมาะกับคนแบบไหน พร้อมประกาศราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ครับ และถ้าคิดว่าจะจองจริง ก็อย่าลืม เอาทั้งทีเอาให้คุ้ม จองสิทธิ์ในการจองรถไว้ก่อนตั้งแต่วันนี้ถึง 27 พฤศจิกายน ถ้าถึงเวลาแล้วคุณยังประสงค์จองรถอยู่ คุณจะได้บัตรน้ำมัน 5,000 บาทมาใช้ฟรีๆ ถึงจะไม่เยอะ แต่สำหรับรถไฮบริดที่กินน้ำมันประมาณนี้ น่าจะเอาไปวิ่งได้ 2 พันกว่าโลอยู่ครับ
Pan Paitoonpong