ชื่อ Century นั้น มาจากการที่ปี 1967 ซึ่งเป็นปีที่รถเจนเนอเรชั่นแรกออกขายนั้น นับเป็นวาระครบรอบ 1 ศตวรรษนับจากวันเกิดของ Sakichi Toyoda ซึ่งเป็นบิดาแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่นและยังเป็นพ่อของ Kiichiro Toyoda ผู้สร้างรถยนต์ยี่ห้อ Toyota ในปัจจุบัน ในขณะที่รถหรูทั่วโลกแข่งขันกันชูวิศวกรรมชั้นเลิศ Century เปรียบเสมือนเจ้านายระดับสูงขององค์กรลับญี่ปุ่นที่อยู่อย่างเงียบเชียบ แต่งตัวด้วยชุดเดิมๆ ปฏิเสธเทคโนโลยี ทำตัวลึกลับเข้าถึงได้ยาก แต่ปรากฏตัวที่ไหน ทุกคนรับรู้ได้ถึงความขลัง Century คือตัวแทนความหรูในแนวคิดของคนญี่ปุ่นที่พวกเราบางคนอาจงง ว่าอะไรทำให้ชนชั้นสูงยอมจ่าย 12 ล้านเยนเพื่อรถที่ขายโฉมเดิม 20 ปีและไม่มีกระทั่งเบาะหุ้มหนัง

...

สัปดาห์ที่แล้ว ผมพูดพ่นเรื่ององค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการเป็นแบรนด์หรูไป คราวนี้ก็เลยสานต่อ เปิดโลกยานยนต์ให้มาดูความหรูอันซับซ้อนที่ทำให้คุณเข้าใจว่า ในโลกของรถบางครั้งคุณจะไม่สามารถอธิบายอะไรด้วยประโยคสั้นๆได้ ตรงกันข้าม คุณต้องรับรู้ข้อมูลมากกว่าสามบรรทัดแล้วคิดตามจึงจะเข้าใจ สัปดาห์ที่แล้วผมเพิ่งบอกคุณไปว่า Lexus คือแบรนด์หรูที่ Toyota สร้างมาแข่งกับพวกยุโรป ในสัปดาห์นี้ ผมกลับมาบอกคุณว่า รถ Century เจนเนอเรชั่น 2 ที่คุณเห็นอยู่นี้ พะยี่ห้อ Toyota ซึ่งทุกคนรู้ว่า Toyota คือแบรนด์ตลาด..แต่ตัวรถนั้นขายแพงกว่า Lexus รุ่นที่แพงที่สุดในสมัยมันเปิดตัวอีก อุเหม่ ยังไงล่ะเนี่ย

บางทีอาจเป็นเรื่องของเวลา ราคา และความตั้งใจที่คนขาย Century โฉมแรกสร้างเอาไว้ในปี 1967 ซึ่งสมัยนั้น ใครมี Crown นี่ก็ว่ารวยแล้วถ้าวัดตามมาตรฐานคนญี่ปุ่น แต่ Century ยิ่งมีตำแหน่งสูงไปกว่านั้น และขายแพงกว่านั้น จุดประสงค์ของมัน ชัดเจนว่าทำมาเพื่อชนชั้นสูง ที่ต้องมีเงินและอำนาจในระดับหนึ่ง คุณอาจไม่ต้องเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็ได้ แต่คุณต้องมีบารมีและเงินมากพอดู การประชาสัมพันธ์โฆษณารถรุ่นนี้ก็น้อยมาก และถ้าคุณไม่ได้เข้าใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงให้เครดิต Century คุณก็จะมองว่านี่เป็นแค่ Big Sedan คันนึงที่ดูเหมือนรถเก่าๆของ ผู้บริหารแก่วัยเกษียณเท่านั้นจริงๆ ขนาดโฉมแรก เปิดตัวปี 1967 ก็ใช้ตัวถังหลักเดิมลากขายยันปี 1997 ได้หน้าตาเฉย

โฉมแรก คือรถที่หาพบได้ยากมาก ผมไปญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง เคยพบตัวจริงเพียง 2-3 คันสมัยตามพ่อไปทำงานปี 1995-1996 แต่โฉมที่สองที่เปิดตัวปี 1997 ที่ท่านเห็นรูปอยู่ในบทความนี้ (รหัส G50) คือรุ่นที่ผมเลือกเขียนถึง เพราะอย่างน้อยก็เคยนั่งสัมผัสตัวจริงมาบ้าง และยังเป็นรุ่นแรกที่มีการผลิตเพื่อการส่งออก มีเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา แล้วยังเป็นโฉมแรกที่นำไปสร้างเป็น Century Royal ราชรถขององค์พระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นในปี 2006 ดังนั้น ถ้าคุณเข้าใจว่า Century เป็นรถราชวงศ์ก็ไม่ผิดหรอก แต่มันเพิ่งได้ตำแหน่งนั้นเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้นองค์จักรพรรดิท่านนั่ง Nissan ครับ

...

นอกจากนี้ Century G50 มีจุดเด่นอีกอย่างที่ “ไม่มี Toyota หรือ Lexus รุ่นใดมีได้” ก็คือเครื่องยนต์ V12 ใช่ครับ กวาดรถที่ขายคนทั้งเกาะญี่ปุ่นมาดู คุณจะพบว่ามีเพียง Century เจนเนอเรชั่นนี้เท่านั้น ที่ใช้เครื่องยนต์ V12 ไม่มีรถญี่ปุ่นค่ายไหนหรือ Toyota รุ่นใดที่ใช้เครื่องแบบนี้ Lexus ก็ไปมากสุดแค่ V10 ใน LFA และค่ายอื่นๆทำ 12 สูบก็เอาไว้ใช้ในรถแข่งหรือรถต้นแบบเท่านั้นไม่เอามาขายจริง เครื่องยนต์ของ Century นี้ มีรหัสว่า 1GZ-FE ครับ ความจุ 5.0 ลิตร 48 วาล์ว VVT-i ซึ่งสเป็คขายญี่ปุ่นจะมีพลัง 280 แรงม้า/481 นิวตันเมตร ก็ใกล้เคียงกับสเป็คของ 2JZ-GTE VVT-i ใน Aristo ล่ะครับ แต่ถ้าเป็นรถส่งออก จะระบุแรงม้าเป็น 295 แรงม้า

ผมไม่เคยมีโอกาสดูเครื่องรุ่นนี้ที่แกะออกมาเป็นชิ้นๆ แต่นักแต่งรถในซีกอื่นของโลกจับเครื่องตัวนี้มาทำกันเป็นว่าเล่น Toyota ไม่เคยชูจุดขายเรื่องสมรรถนะเลยนะครับสำหรับเครื่องตัวนี้ แต่เน้นการขายความเรียบ เงียบ นิ่ม มากที่สุดเท่าที่วิศวกรของ Toyota ยุค 90s จะทำได้ มันไม่ใช่เครื่องประเภทเค้นสมรรถนะ แต่มองในแง่ดีก็คือ ตัวเครื่องที่มีโหงวเฮ้งทำมารองรับ 6-700 แรงม้า พอเอามารับม้าแค่ 280 มันเลยทำงานแบบสบายตัวมาก 80% ของแรงบิด มีมาให้ใช้ตั้งแต่ 1,200 รอบต่อนาที ดังนั้นต่อให้รถจะหนักกว่าสองตัน และรถโฉมแรกใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แต่กดคันเร่งไปก็ปลิวเหมือนกัน ต้องรอถึงปี 2005 รถตัวถัง G50 นี้ถึงได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

...

สีภายนอกของ Century G50 นั้น จริงๆแล้วไม่ได้จำกัดแค่สีดำ Toyota มีสีให้เลือกหลายสีแต่ส่วนมากเป็นโทนสุภาพชน โดยสีดำ เป็นสีที่พบเจอได้ง่ายที่สุด เพราะ 55% ของลูกค้าที่ซื้อ Century จะสั่งรถสีดำ ซึ่งถึงแม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่สีดำของ Century มีการเคลือบชั้นสีซ้ำถึง 7 ขั้นตอน และใส่เม็ดสีดำลงไปในชั้นสี Clear Coat เพื่อให้เกิดมิติความลึกของสีดำเงาเหลือบ ชั้นสีของรถหรูยุโรปสมัยนั้นจะหนาประมาณ 130-150 ไมครอน แต่ของ Century จะหนา 200 ไมครอน นี่ล่ะครับ ส่วนหนึ่งของคำตอบว่าทำไมมันถึงแพงทั้งที่ดูไม่มีอะไร..ก็แค่สี

รูปโฉมภายนอกของรถ วิวัฒนาการมาจากเจนเนอเรชั่นแรก ซึ่งรถรุ่นแรกนั้น คนของ Toyota เองก็เปิดเผยว่า พวกเขามีรถหรูจากฝั่งอังกฤษ เช่น Rolls-Royce หรือ Daimler เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบส่วนหนึ่ง และแนวคิดในการออกแบบที่ดูเป็นวัยเกษียณเกษมสุข และไม่เปลี่ยนตัวถังบ่อย ก็เพราะ Century ไม่ใช่รถแฟชั่น แต่เป็นรถที่คนซื้อใช้เพื่อบอกฐานะทางสังคมว่ามีเงินเหลือใช้ และเป็นคนรักชาติ..จริงๆจะบอกว่ารักชาติก็ไม่ถูกนัก แต่มีความเป็นชาตินิยม ต้องยอมรับนะครับว่าคุณญี่ปุ่นรุ่นเก่าจำนวนไม่น้อยเลยที่ต่อให้รวยล้นฟ้า ก็ไม่มีวันยอมใช้รถจากแดนฝรั่งหัวทองเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่สูญเสียพ่อ แม่ และคนที่รักไปในช่วงสงครามด้วยระเบิดของอเมริกา พวกนี้ให้ตายก็ไม่ยอมนั่งรถฝรั่ง เหมือนกับครอบครัวทหารเรือที่ Pearl Harbor บางคนก็ไม่แตะสินค้าญี่ปุ่นจนวันตายเหมือนกัน

...

ส่วนภายในของ Century Gen 2 นั้น เมื่อแรกพบ ผมก็อึ้งเหมือนกันครับ เพราะเราจะชินกับความหรูแบบล้มวัวล้มควายของรถหรูฝั่งยุโรป เบาะนั่งต้องหนังคอนนอลลี่หรือหนังที่ทำมาจากวัวที่นอนโรงแอร์กินหญ้าดีดูซีรีส์ทุกคืนก่อนไปบริจาคหนัง แต่ภายในของ Century เป็นเบาะผ้าครับ ผ้าสีเทาแมวโคราชซึ่งเมื่อรวมกับลายไม้เหมือนเตียงไม้ใหญ่ของคุณปู่ที่บ้านต่างจังหวัดแล้ว ผมต้องถามตัวเองว่า “แล้วมันต่างจาก Crown Royal ของเพื่อนพ่อตูยังไงฟระเนี่ย” ไม่เห็นเหมือนภายในของรถ 11-12 ล้านเยนเลย คุณต้องพิจารณาเรื่องรายละเอียดความเป็นมาของแต่ละส่วนถึงจะเข้าใจในความแพงครับ

ประการแรก ทำไมเบาะผ้า? คือแบบนี้ครับ..ในสมัยก่อนที่เราใช้รถม้า คนญี่ปุ่นเขามองกันว่า “เจ้านาย” ที่นั่งข้างในนั้น นั่งบนเบาะหุ่มผ้าชั้นดี นุ่มๆสบายๆ ส่วน “คนขับรถม้า” จะนั่งบนเบาะหนัง..คือเบาะที่อยู่นอกรถนั่นล่ะครับ มันเลยเป็นที่มาว่าทำไมชาวญี่ปุ่นบางส่วนถึงให้ค่าผ้าดีๆมากกว่าหนังแท้เสียอีก

ในกรณีของ Century ผ้าที่ใช้หุ้มเบาะ เป็น Wool หรือผ้าทำจากขนสัตว์ที่ญี่ปุ่นเรียกว่าผ้ารุยเคียว ซึ่งนอกจากนุ่มเนียนผิวยิ่งกว่าแก้มเด็กแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิลึกอีกอย่างคือ พอหน้าหนาวผ้านี่จะอุ่น แต่พอหน้าร้อนกลับระบายความร้อนได้ดี เย็นสบายตัวเวลานั่ง ตัวผ้าจะมีความฝืดกว่าหนัง เวลานั่งจึงไม่พบว่าตัวจะไหลมากองข้างหน้า และที่สำคัญ เบาะผ้านั้น เวลาใช้ไปนานๆ เวลาเรานั่งแล้วรถวิ่ง มันจะไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากวัสดุสีกันแบบเบาะหนัง ช่องแอร์แต่ละช่องที่ดูโบราณ ไม่ใช่พลาสติก แต่เป็นโลหะจริงๆทั้งชิ้น

ลายไม้ใน Century นั้นมีเยอะจนดูแล้วนึกว่าเป็นพลาสติกเคลือบ แต่เมื่อคุณดูดีๆ มันคือไม้จริง และไม้ที่บางจุดอย่างแผงสวิตช์ของคนนั่งหลัง คุณจะเห็นได้ว่ากว่าจะตัด กัด ถากไม้เนื้อแข็งสักชิ้นให้โค้งเหมือนปรินท์ด้วย 3D Printing ได้นั้น เป็นงานช้างนะครับ และต้องใช้ช่างฝีมือเฉพาะทางเผื่อสร้างงานแต่ละชิ้น ไม้ที่แผงแดชบอร์ดยาวๆนั่น ทำจากโรงไม้ของ Yamaha (แผนกที่สร้างเปียโนและเครื่องดนตรีนะครับ..ไม่ใช่โรงงานมอเตอร์ไซค์ – Yamaha ทำหลายอย่างมาก)

สิ่งที่ยังไงๆก็ดูโคตรขัดตา คือสวิตช์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ปรับเบาะ สวิตช์แอร์ เครื่องเสียง ล้วนแล้วแต่ดูเหมือน Camry ซึ่งถึงแม้ว่าพวกมันจะผ่านการทดสอบด้วยเครื่องกดเป็นแสนครั้งว่าไม่พัง (ในตัวต้นแบบ) แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ชาวคะนองปากคอยบุลลี่ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบันว่ารถหลายล้าน สวิตช์ Camry แล้วเราก็เถียงไม่ได้เสียด้วยเพราะมันเหมือนจริงๆ แต่ในจุดอื่นๆของรถนั้น ดูในภาพไม่รู้สึกแพง แต่นั่งตอนวิ่งจริงๆ จะรับรู้ว่าทำไมมันถึงแพง

หน้าปัดของ Century เป็นแบบดิจิตอล แต่รถเรือธงขุนนางของ Toyota ไม่มีมาตรวัดรอบ เพราะมันสร้างมาเพื่อคนนั่งหลัง ไม่ใช่เพื่อการขับใน Nurburgring ขืนซิ่งมากเจ้านายจะปาแฟ้มใส่โชเฟอร์เอา และการนั่งเบาะหลังของ Century นี่คือประสบการณ์ที่ลืมได้ยาก เมื่อปี 2003 ผมติดตามคุณพ่อไปงานสัมมนาที่เกาะอาวาจิในญี่ปุ่น ซึ่งในงานนั้นบุคคลทางวิชาการ ศาสตราจารย์และคนมีอิทธิพล (ด้านสว่าง) ของญี่ปุ่นไปร่วมงานกันเยอะ เพื่อนชาวญี่ปุ่นของพ่อก็แนะนำให้รู้จักอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แต่ลูกสาวสวยมาก แล้วเขามาใน Century สีดำ เมื่อผมตื่นเต้นมากที่ได้เห็นรถเขา (ตื่นเต้นมากกว่า Lamborghini ที่จอดข้างๆ) เขาก็ยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดีแล้วบอก “อยากขับไหม” แน่นอน ผมปฏิเสธเพราะไม่มีใบขับขี่สากลไป เขาจึงให้โชเฟอร์ขับแล้วเราก็นั่งไปด้วยกัน

ถึงแม้ตัวรถจะยาวห้าเมตรกว่า แต่ฐานล้อของ Century ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับพวก S-Class คือแค่ราวสามเมตร สั้นกว่า S-Class 140 ตัวฐานล้อยาวถึง 10 เซนติเมตร พอนั่งไปแล้วคนสูง 180 กว่าๆอย่างผมก็รู้สึกว่าเหยียดขาไม่ได้มากอย่างที่คิด แต่ภายใต้รูปแบบที่ดูธรรมดานั้น หัวหมอนเบาะหน้าซ้ายสามารถพับลง เพื่อให้เจ้านายเบาะหลังมองไปข้างหน้าแล้วโล่งตา ผ้าม่านที่ติดประตู นุ่มและสัมผัสได้ว่าเป็นผ้าไม่กระจอก ส่วนกลางของเบาะหน้าซ้ายสามารถเปิดทะลุเพื่อให้เจ้านายเอาเท้าแหย่ทะลุเบาะไปพักบนเบาะหน้าได้ แม้ว่ามันอาจจะดูทรมานตาและจมูกโชเฟอร์แค่ไหนก็ตาม คุณดูแอร์แถวสองสิครับ ไม่ได้ติดตั้งต่ำแบบเป่าเข่าและไข่ แต่อยู่ในระดับเดียวกับแอร์ปกติผู้โดยสารตอนหน้า และมีแอร์บนหลังคา ตรงแอร์กลางนั้น กางลงมา จะเป็นจอโทรทัศน์ และมีโทรศัพท์ติดรถให้ แม้แต่ดวงไฟบนหลังคาที่ผมนึกว่าติดตายตัว แต่จริงๆแล้วหมุนปรับทิศทางได้ ที่เสา C-Pillar มีแผ่นบางๆปิด กางออกมาเป็นกระจกแต่งหน้า ให้เจ้านายเช็คว่าไม่มีอะไรติดปาก ก่อนลงไปพบสื่อฯ

และแม้ว่าสวิตช์จะหน้าตาเหมือน Camry แต่คุณลองเปิด ลองปิด และปรับ จับ เลื่อนอวัยวะต่างๆภายใน Century คุณจะค่อยๆรับรู้ว่าความแพงมันไปอยู่ตรงไหน แล้วคุณลองคิดถึงค่านิยม “ความดีงาม” ในทัศนคติของชาวญี่ปุ่นแบบอนุรักษ์นิยมดู คุณจะยิ่งเข้าใจ คนญี่ปุ่นไม่ชอบคนคุยโทรศัพท์มือถือในรถไฟรถบัส ไม่ชอบคนที่เสียงดังในที่ที่ไม่ควรดัง ไม่นับการตะโกนอิรัชเชียมาเสะในร้านอาหารซึ่งผมเจอครั้งแรกก็วิ่งหนีออกจากร้านนึกว่าบริกรจะรุมกระทืบ ความดีแบบคนญี่ปุ่นคือ ทำตัวให้ดีโดยการใส่ใจในการใช้ชีวิต การทำงาน ให้ความสนใจกับรายละเอียดเล็กๆ แล้วเฝ้ารอให้คนมาสัมผัส คนญี่ปุ่นรุ่นป้าเคยสอนผมว่า “ยิ่งคุณพูดว่าตัวเองดีให้คนอื่นฟังมากเท่าไหร่ ความดีที่แท้จริงในตัวคุณก็น้อยลงเท่านั้น” ซึ่งคติของป้าอาจใช้ไม่ได้กับการตลาดในยุคทุนนิยม แต่มันสอนให้คน “ทำให้ดี” มากกว่า “พูดเพียงเพื่อให้ดูดี” ความหรูหราของ Century จึงหรูเหมือนไม่กล้าอวดชาวบ้านเพราะกลัวโดนด่า แต่แอบซ่อนความพิถีพิถันเอาไว้ในทุกจุดที่ทำได้ ไม่ให้คนที่ซื้อ Century โดนคนใช้ Crown กับ Mark II แอบเม้าท์ว่าเสียค่าโง่..ถึงโง่ก็ต้องถามว่าโง่อย่างไรถึงมีเงินซื้อรถ 11-12 ล้านเยนได้

ผมไม่เคยมีโอกาสได้นั่งตอนเครื่อง 1GZ-FE เบ่งพลัง 280 ม้าของมันอย่างเต็มพิกัด เพราะถนนบนเกาะนั้นมีกล้องเยอะ แต่ผมขอให้พี่โชเฟอร์ลองกดแบบเร่งแซงปกติ ก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นเครื่องประเภทกดนิดๆก็พุ่ง ใช้แรงบิดเป็นตัวสร้างพลัง ไม่ได้เน้นรอบจัด ที่สำคัญคือความนุ่มและเงียบ ถ้าคุณคิดว่า Lexus LS400 คือที่สุดแห่งความเงียบแล้ว Century คือเงียบกว่า เก็บเสียงดีกว่า เพราะสิ่งที่ Toyota เอาไปใช้สร้างความเงียบใน LS400 ปี 1989 ก็มาอยู่ใน Century ปี 1997 นี้ และในรถระดับนี้คำว่าการเซฟต้นทุน ไม่อยู่ในหัวคนสร้างอยู่แล้ว

ในชีวิตนี้ หากคุณมีโอกาสได้นั่ง ได้สัมผัส หรือโชคดีจนได้เป็นเจ้าของ Century สักคัน นั่นคือ คุณได้ประสบการณ์ชีวิตกับรถหรู ในอุดมคติอนุรักษ์นิยมแบบชาวอาทิตย์อุทัย 100% เป็นสิ่งที่คุณควรวางอคติกับสวิตช์ Camry ลงสัก 10 นาทีแล้วเพ่งมองให้ลึกไปอีก แล้วจะเข้าใจว่าบางครั้ง ความพิสูจน์ตัวเองว่าหรู ก็คือการตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถ แม้ในส่วน ที่อาจไม่มีใครในโลกมองเห็นเลยก็ตาม


Pan Paitoonpong