ในปี 1967 ขณะที่ Toyota มุ่งไปสู่สายการผลิตรถยนต์ราคาประหยัดสำหรับตลาดมวลชน เช่น Corolla และ Corona แบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาลีต่างสนุกสนานไปกับยุคทองของซุปเปอร์คาร์ Ferrari เปิดตัว 275 GTB, ส่วนแบรนด์กระทิงเปลี่ยวก็มีรถสปอร์ตวางกลางคันแรกอย่าง Lamborghini Miura ที่เพิ่งเปิดตัว และต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นซุปเปอร์คาร์คันแรกของโลก ในขณะที่ Maserati, Fiat และ Alfa Romeo ล้วนแล้วแต่มุ่งไปสู่การสร้างรถสปอร์ต GT Gran Tourer ในห้วงเวลานั้น โลกแห่งยนตรกรรมจะไม่มีวันลืม Jaguar E-Type ที่นุ่มนวลและมีส่วนหน้าที่ยาวเหยียด สำหรับ Porsche การวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้นของพวกเยอรมัน ก่อกำเนิดบรรพบุรุษของ 911 ที่อยู่ยั้งยืนยงและได้รับความนิยมตราบจนทุกวันนี้.....
...
57 ปีก่อน Toyota ไม่ได้มุ่งไปที่การผลิตรถสมรรถนะสูง หลักการสำคัญของบริษัทญี่ปุ่นแห่งนี้ แม้กระทั่งตอนที่บริษัทถือกำเนิดในปี 1937 ก็คือ การสร้างรถยนต์ที่ทนทานและใช้งานได้อย่างจริงจัง เพื่อให้ลูกค้าได้รู้สึกเพลิดเพลิน ปลอดภัย และพกพาสิ่งที่พวกเขาต้องการติดตัวไปด้วย แนวทางการสร้างรถครอบครัวจะไม่ให้เคียงกับรถขับเล่นอย่างซุปเปอร์คาร์ ช่วงปี 1965 Toyota กลับมีแนวคิดในการสร้างรถสปอร์ตที่จะพิสูจน์ว่า รถญี่ปุ่นก็มีทั้งความหรูหราและสมรรถนะได้ ดังนั้น โครงการรถสปอร์ตสองที่นั่ง Toyota 2000GT จึงเริ่มต้นขึ้น
...
Toyota ร่วมมือกับ Yamaha พันธมิตรเก่าแก่ที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับแต่งเครื่องยนต์ หลังจากนั้น รถสปอร์ตรุ่น 2000GT ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ปี 1965 ผู้ชมจำนวนมากจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาชมรถสปอร์ตสองที่นั่งคันแรกของแบรนด์สามห่วง 2000GT เป็นรถคูเป้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถสปอร์ตในฝั่งยุโรปช่วงยุค 60 ระบบกันสะเทือนหลัง และส่วนประกอบแชสซีนั้นกลายเป็นที่ยอมรับของนักเลงรถ Lotus เครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบ ขนาด 2.0 ลิตร เหมือนกับของ Aston Martin หรือ Jaguar แน่นอนว่าการออกแบบที่ลงตัวทำให้หลายคนตกตะลึง ส่วนหน้าที่ยาวขึ้นจนแทบไม่มีตะเข็บ ฝากระโปรงหน้าแบบบานพับเล็กๆ ที่เป็นหัวใจของ 2000GT การออกแบบที่มีความแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น หลังคาแบบ double-bubble ของ Zagato-esk ส่วนท้ายที่โค้งมน ผลลัพธ์ที่ได้คือ รถสปอร์ตที่สวยงามอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นรถที่หลายคนมองว่าเป็นหนึ่งในรถคลาสสิกที่ดูดีที่สุดเท่าที่ Toyota เคยสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสายลับ 007 นั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรุ่นเปิดประทุนในหนังเจมส์บอนด์ตอน You Only Live Twice
...
Toyota 2000GT ถูกสร้างขึ้นเพียง 337 คัน จำนวนการผลิตอันน้อยนิดเกิดจากต้นทุนที่สูงมากกว่ารถครอบครัวทั่วไป ทำให้รถมีราคาที่ค่อนข้างสูงตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และด้วยจำนวนรถในสายการผลิตไม่ถึง 400 คัน ทำให้ 2000GT กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยานยนต์ที่แท้จริง สีขาว Pegasus White สำหรับรุ่นพวงมาลัยขวา ถือเป็นรถสปอร์ตที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับ Aston Martin DB5 ในภาพยนตร์เจมส์บอนด์ ตอน “You Only Live Twice” แม้จะปรากฏตัวเพียงแวบเดียวในหนัง และต้องมีการดัดแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะการหั่นหลังคาออก เพื่อให้ ฌอน คอนเนอรี ลงไปนั่งขับได้อย่างไม่อึดอัดมากนัก
...
Toyota 2000GT ออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1967 ถือเป็นรถสปอร์ตตัวจริงคันแรกที่พัฒนาโดยชาวเอเชีย และเป็นซุปเปอร์คลาสสิกคาร์ที่บรรดานักวิจารณ์ปากกล้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ปลายยุค 60 กล่าวยกย่อง อีก 57 ปีต่อมา 2000GT ยังคงเปล่งประกายความงามและความภาคภูมิใจในการครอบครอง มันเป็นรถที่เร็ว งดงาม และหายากมาก การออกแบบและปรับแต่งรถรุ่นนี้ ถือเป็นยุคใหม่ของ Toyota ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่มีการขับขี่ง่ายๆ ราคาถูก แข็งแรงทนทาน
2000GT ได้รับคำชื่นชมในด้านเทคนิคของระบบส่งกำลังและความสวยงามของการออกแบบ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบรถยนต์ในยุคนั้น ด้วยระบบกันสะเทือนแบบอิสระ 4 ล้อ ล้อแมกนีเซียมอัลลอยด์ขนาด 15 นิ้ว วิทยุค้นหาสัญญาณแบบใหม่ นาฬิกาจับเวลาสำหรับการแข่งขัน พร้อมด้วยรายละเอียดภายนอกและภายในที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานยนต์คลาสสิกในยุค 60 เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมคาร์บูเรเตอร์ Solex สามตัว ผลิตกำลังสูงสุด 152 แรงม้า กำลังเครื่องยนต์ถูกส่งไปยังล้อผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ช่วยให้รถมีความเร็วเกือบ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในแง่มุมของประสบการณ์การขับขี่ 2000GT นั้นเทียบได้กับ Porsche 911 ของเยอรมันด้วยซ้ำ Toyota ไม่เคยอ้างว่านี่เป็นรถที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารถยนต์ญี่ปุ่น แต่ในความจริง 2000GT เป็นความปรารถนาที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผู้เล่นรถยนต์คลาสสิกทั่วโลก
2000GT Coupe เปิดตัวครั้งแรกในฐานะรถต้นแบบที่มีรูปทรงน่าตื่นตะลึง ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 12 เมื่อปลายปี ค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) เป็นรถที่ Toyota พัฒนาร่วมกับ Yamaha ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่ร่ำรวย ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีที่ Toyota ลงมือผลิตจริง แม้จะผลิตออกขายในจำนวนเพียงน้อยนิด ก็ยังดีกว่าเป็นได้แค่รถต้นแบบ เครื่องยนต์ 6 สูบ กำลัง 152 แรงม้า ของ 2000GT วิ่งจากโรงงานออกสู่ตลาดรถหรูในประเทศญี่ปุ่นด้วยรถยนต์รุ่นพิเศษของ Toyota ในฤดูใบไม้ผลิปี 1967 การประกอบแบบแฮนด์เมด เครื่องยนต์ถูกส่งตรงไปยัง Yamaha เพื่อปรับตั้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และกำลังจากกระบอกสูบทั้งหกตัว แคมชาร์ปคู่ DOHC ซึ่งยกเครื่องยนต์รุ่นนี้มาจากเครื่องรุ่นท็อปของ Toyota Crown
เกียร์และส่วนประกอบระบบขับเคลื่อนอยู่เหนือความล้ำสมัยในยุค 60 แต่ในยุคนั้น Toyota มีแค่เกียร์เดียวที่สามารถรองรับแรงบิดได้ดีก็คือ FA 4 สปีด จากรถบรรทุกเล็กของ Toyota แต่เมื่อมาถึงสายการผลิต เกียร์ของ 2000GT กลับกลายเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีดที่ซิงโครไนซ์กำลังจากเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ มันเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับเครื่องยนต์ที่จูนโดย Yamaha ซึ่งลากได้ถึง 7,000 รอบต่อนาที เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปที่ติดตั้งเข้ามา ถือเป็นรถยนต์คันแรกของญี่ปุ่นที่ติดตั้งเฟือง differential โดยมีอัตราส่วน 4.38:1 2000GT เป็นรถยนต์คันแรกของ Toyota ที่ใช้ดิสก์เบรกสี่ล้อ บริษัท Dunlop รับผิดชอบเรื่องการทำระบบเบรก
ตัวเลขสมรรถนะของ Toyota 2000GT เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประสิทธิภาพของ 2000GT อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตฝั่งยุโรป มันเป็นรถที่มีชีวิตชีวา ด้วยมาตรฐานร่วมสมัยของงานประกอบ แม้ว่าห้องโดยสารแบบสองที่นั่ง (ออกแบบมาสำหรับลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มีรูปร่างเล็ก) จะมีขนาดกะทัดรัดเกินไปสำหรับหุ่นของเศรษฐีในอเมริกาและยุโรปที่หนักถึงร้อยกว่ากิโล และเพื่อถ่ายทำหนังเจมส์บอนด์ จึงมีการดัดแปลงเป็น 2000GT ให้กลายรถเปิดประทุนเพื่อใช้ประกอบฉากในภาพยนตร์ 007 ตอน You Only Live Twice ซึ่งถ่ายทำในญี่ปุ่น ปัจจุบัน Toyota 2000GT เป็นรถญี่ปุ่นระดับสะสมขึ้นหิ้ง มันถูกสร้างขึ้นมาแค่เพียง 351 คันเท่านั้น และมีมูลค่าการขายเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐในการประมูล
2000GT สมกับชื่อ Grand Turismo เนื่องจากช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงระดับโลกของ Yamaha ได้สร้างคุณภาพระดับมาสเตอร์พีซในส่วนของเครื่องยนต์ สำหรับช่างฝีมืออีกกลุ่มของ Toyota สร้างสรรค์แผงหน้าปัดและคอนโซลด้วยไม้โรสวูด รวมถึงการหุ้มรอบวงพวงมาลัยและหัวเกียร์ด้วยไม้มะฮอกกานีคุณภาพสูง งานตกแต่งภายในทั้งหมดถูกยกระดับด้วยโครเมียม ไม่เว้นแม้แต่กรอบมาตรวัดต่างๆ ทำให้ดูเหมือนนาฬิการาคาแพงที่ประดับประดาบนแผงหน้าปัด เบาะนั่งแบบสปอร์ตสไตล์ Tex-Mex แบบเจาะรูสีดำในยุคนั้น มันเทียบเท่ากับอุปกรณ์ในรถสปอร์ตรุ่นใหม่ของอิตาลีเลยทีเดียว.