ทำไมคนไทยจึงรักรถปิกอัพ?

ผมจั่วหัวเรียกแขกไว้อย่างนั้น อันที่จริงแล้วเหตุผลที่เราเลือกใช้รถปิกอัพนั้น อาจไม่ใช่เพราะรักหรือหลง แต่เพราะสถานการณ์บังคับ ไอ้ครั้นที่ผมจะขึ้นหัวข้อบทความว่า “ทำไมสภาพความเป็นอยู่แบบไทยๆ จึงบังคับให้คนต้องเลือกรถปิกอัพ” ก็จะฟังดูไม่ค่อยจับใจ ทั้งที่ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มันก็คือความจริงนี่หว่า ส่วนการเขียนว่าทำไมรถกระบะเป็นที่นิยมของคนไทยนั้น เพื่อนชาวสื่อมวลชนรถยนต์ค่ายอื่นก็เอาไปตั้งเป็นชื่อบทความเรียบร้อยแล้วน่ะสิ

...

คุณผู้อ่านครับ รถปิกอัพนั้นเป็นยานพาหนะรูปแบบที่คนไทยเลือกซื้อมากที่สุดแบบหนึ่ง ถ้าเอามือหยิบรถจดทะเบียนใหม่ในประเทศมาแบบสุ่มๆ สัก 10 คัน อย่างน้อย 4 คันในนั้นจะเป็นรถปิกอัพ รองลงมาคือพวกรถ SUV และครอสโอเวอร์ ซึ่งน่าจะมีไม่เกิน 3 คัน และที่เหลือเป็นส่วนผสมระหว่างรถเก๋ง 4/5 ประตู รถตู้และรถอื่นๆ ล่าสุด ผู้เขียนก็โดนน้องในทีมตัวเองเนี่ยละ ปั่นจนซื้อรถปิกอัพป้ายแดง สีแดง และตั้งชื่อมันว่า นังแดง ไปเรียบร้อย เพราะหลายคนบอกว่าเอารถมาทดสอบหลายๆ คัน ไม่เจ๋งเท่าเป็นเจ้าของจริงสักคัน เอ้า ซื้อก็ซื้อวะ ทั้งที่ความจริงหากเราเชื่อในความคิดแบบนั้น คนทำสื่อรถคงหมดโอกาสแสดงความเห็นแหละ ใครมันจะไปรวยจนซื้อรถทุกคันที่จะเอามาทำคอนเทนต์ได้ฟระ

ทำไมคนไทยรักรถปิกอัพ? มันก็มีเหตุผลอยู่หลายประการ ซึ่งผมคงไม่ไปเอาผลวิจัยมหาวิทยาลัยระดับโลกที่ไหนมาเขียน แต่ตั้งข้อสังเกตจากการที่ทำงานด้านนี้มากว่าทศวรรษ ได้ทดสอบรถปิกอัพปีละหลายรุ่น คุยกับเจ้าของรถมากมาย รวมถึงใช้เอง ลองสังเกต ผมคิดว่ามันมีเหตุผลดังนี้ครับ

****1. ความง่ายในการปรับตัวรถให้เข้ากับอาชีพ****

คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้รวยล้นฟ้า ผมกับคุณผู้อ่านส่วนใหญ่น่าจะเหมือนกัน คือ เราหยุดทำงานเมื่อไร เดือนต่อไปอาจอดตาย วันนี้คุณทำงานองค์กรใหญ่ สัปดาห์หน้าคุณอาจกลายเป็นพ่อค้าเสื้อผ้าออนไลน์ หรือเปิดร้านอาหารเล็กๆ ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สมัยนี้บางท่านอาจจะทำทั้งสามอาชีพที่ผมว่าไปพร้อมๆ กันก็ได้ แล้วถ้าคุณสามารถมีรถได้เพียงคันเดียวในชีวิต มันก็ต้องเป็นรถปิกอัพใช่ไหม ที่ขับไปทำงานบริษัทช่วงกลางวันได้ กลางคืนมีเวลาเอารถไปทำ Grab Car หารายได้เสริม เช้ามืดวิ่งไปตลาด เอาหมู เนื้อ ไก่ อาหารทะเลใส่ลัง ไปลงที่ร้านอาหารเล็กๆ ที่ภรรยาหรือญาติของคุณทำอยู่ บางวันอาจต้องวิ่งไปบรรทุกเสื้อผ้ามือสองจากอินเดีย บังกลาเทศ หรือจีน แล้วเอามาไลฟ์ขายบน TikTok

...

ลองจินตภาพตามว่า คุณพยายามเอาอีโคคาร์คันหนึ่งมาทำงานเหล่านี้ ผมว่าก็คงสู้รถปิกอัพไม่ได้ เรื่องการบรรทุกของรถ 7 ที่นั่งค่ายญี่ปุ่นประกอบอินโดฯ อาจทำได้ใกล้เคียงทุกอย่าง แต่นึกภาพการเอาลังน้ำแข็งใส่ปลาใส่กุ้ง กลิ่นคาวติดพรมแน่ๆ หรือจะไปบรรทุกผลไม้จากตลาด บางทีก็ได้ของแถมเป็นรังมดคันไฟหรือสัตว์ไม่พึงประสงค์ เจ้าพวกนี้ได้แตะพรมนุ่มๆ ของรถคุณเมื่อไร มันจะ Fall in love แล้วก็วิ่งเข้าหลืบนู้นซอกนี้ วันดีคืนดีคลานมาตามเบาะ ไต่กางเกงแล้วเข้าไปโจมตีถึงร่องทวารหนัก ก็เกิดขึ้นกับผมมาแล้ว (ผมยังสาปแช่งคนต้นเหตุจนทุกวันนี้) แต่ถ้าเป็นรถปิกอัพ คุณแค่โยนขึ้นกระบะท้าย อะไรเลอะก็ฉีดน้ำล้างจบๆ ไป ถ้าจะบรรทุกของที่ห้ามเปียก เรียกหาแครี่บอยหลังคาไฟเบอร์ หรือซื้อผ้าใบม้วนละสองพันบาทมาก็จบ หรือใครเงินเหลือเยอะ จะเอาฝาเลื่อนสวยๆ Mountaintop ก็ได้

...

****2. ความทนทานทรหด****

รถปิกอัพอาจจะไม่ได้ทนทานตายยากทุกรุ่นทุกยี่ห้อ แต่อย่างน้อยถ้าเราไม่นับพวกรถติด Defect แล้วละก็ จุดประสงค์ในการพัฒนารถปิกอัพ มีแก่นก็คือความทนทานต่อการทารุณกรรม ในขั้นตอนการทดสอบระหว่างวิจัยและพัฒนารถ ทีมวิศวกรก็ต้องทดสอบโดยทำสิ่งที่ลูกค้าพวกเขาทำ ใส่ของเต็มท้าย บรรทุกหนัก วิ่งบนถนนลูกรัง ถนนหิน ไต่เขา กระแทกแรงๆ ลุยน้ำลึก รถต้องไม่พัง..คือเสื่อมสภาพระยะยาวมันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่ยิ่งเสื่อมช้า ลูกค้ายิ่งชอบ

...

ยิ่งหากเป็นรถเจ้าตลาดที่คนมักบอกว่า ขี้เหนียวอุปกรณ์หรือไม่มีอะไรทันสมัย แล้วยังตั้งราคาแพง ผมจะบอกว่า ความแพงสามารถมาได้ทั้งในรูปของอุปกรณ์ และมาในรูปของความทนทานของวัสดุ เหล็ก พลาสติก ยางต่างๆ เพราะวัสดุดีๆ ไม่ได้มอบมาให้ฟรีโดยซัพพลายเออร์ คุณจึงพบว่าในบางระดับราคา เจ้าตลาดยอดขายอันดับต้นนี่อุปกรณ์อย่างแห้ง แต่ขายได้เดือนละเกินหมื่นคัน และพบรถมีปัญหาไม่มากเท่าค่ายอินดี้ล้ำยุคของเล่นเยอะ นี่ไม่ได้เชียร์ให้ใครซื้อค่ายไหนนะ แค่จะบอกว่าความทนของรถ มีต้นทุนของมัน และมีภาระระยะยาวผูกติดตัวผู้ผลิต ถ้าวันหนึ่งปิกอัพเจ้าตลาดผลิตรถออกมาแล้วจุกจิก ปัญหาเยอะเป็นวงกว้าง เมื่อนั้นพวกเขาก็ตาย ในขณะเดียวกัน ค่ายอินดี้เน้นของล้ำยุคก็ไม่ได้ผิด เพราะถ้าทำรถออกมาทนเท่าเจ้าตลาด ของเล่นเท่าเจ้าตลาด คนก็ซื้อเจ้าตลาดอยู่ดี จึงต้องฉีกตัวเองออกไป แล้วให้รสนิยมของผู้บริโภคทำหน้าที่ในการเลือก

แต่ที่แน่ๆ สมมติว่าคุณเอารถเก๋งของค่ายนั้นๆ มาเทียบกับรถกระบะของค่ายเดียวกัน คุณว่าคุณจะเอารถแบบไหนใส่ของหนัก 500 กิโลกรัม วิ่งลุยน้ำ ลุยถนนลูกรังยาวๆ เข้าไปถึงถิ่นทุรกันดาร มันก็ต้องรถกระบะ ซึ่งชิ้นส่วนช่วงล่างบึ้บบั้บ ตัวถังแชสซีส์ออนเฟรม ยางแก้มหนาๆ แล้วประเทศไทยก็ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ พัทยา หรือตัวเมืองเชียงใหม่ เรามีถนนที่ยังอยู่ในสภาพทรมานรถอยู่ในประเทศนี้อีกเยอะ..ไม่ต้องอะไรมาก แค่พระรามสาม วิ่งทุกวัน รถยุโรปบางคัน 20,000 กิโลเมตร ลูกหมากก็ฉีกแล้ว รถปิกอัพไม่ค่อยกลัวอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเป็นอันตรายจากฟากฟ้า เช่น ที่มักเกิดแถวๆพระรามสอง อันนั้นจะเก๋งหรือปิกอัพก็ซวยได้เท่ากัน

****3. ความง่ายในการบำรุงรักษา****

บำรุงรักษาง่าย ไม่ได้แปลว่า วันนึงแม่ยายคุณสามารถเปิดฝากระโปรงรถ เปิดฝาเครื่อง แก้วาล์ว ไล่ข้าง เก็บสายไฟบลูทูธเองได้ และไม่ได้แปลว่ารถไม่มีความซับซ้อน เพราะระบบไฟฟ้าบนรถปิกอัพสมัยนี้ ไม่ได้ล้าสมัยกว่ารถเก๋งเครื่องสันดาปในราคาที่เท่าๆ กัน และจุดที่ต้องคอยดูแล ก็ไม่ได้น้อยกว่าอีโคคาร์คันละห้าหกแสนบาท แต่สิ่งที่พูดถึงสำหรับความง่ายนี้ ก็มีความเอี่ยวกับการใช้งานอยู่ เพราะหลายชิ้นส่วนในรถปิกอัพ ออกแบบมาเผื่อการใช้งานที่ต้องวิ่งทำรอบวันละหลายร้อยกิโลเมตร วัสดุ ชิ้นส่วน และปรัชญาในการออกแบบเครื่องยนต์ จึงมักมุ่งไปที่การไม่ต้องคอยเปิดเช็กนั่นเช็กนี่จนบ่อยเกินจำเป็น (แต่ไม่ใช่ใช้ทิ้งขว้างแล้วหวังให้มันอยู่รอด)

การออกแบบเพื่อการบำรุงรักษา อาจรวมถึงการพยายามออกแบบส่วนต่างๆ ของรถให้เข้าถึงได้ง่ายโดยเจ้าของรถ หรือสามารถเข้าใจและซ่อมแซมได้ง่าย ด้วยความรู้ช่างระดับพื้นฐาน เพราะรถปิกอัพคันหนึ่งอาจต้องวิ่งไปทั่วประเทศ ไปยังที่ซึ่งอาจไม่มีอู่ มีแต่ช่างซ่อมคูโบต้ากับเครื่องมือเท่าที่จะอำนวย

ความง่ายในการบำรุงรักษา ยังมาในรูปของการที่มีศูนย์บริการทั่วประเทศ ชนิดที่ว่าหากไม่ชอบหน้าศูนย์ในจังหวัดสักแห่ง ก็มีศูนย์อื่นอยู่ห่างออกไปให้เลือก หรือหากไม่นิยมเข้าศูนย์ อยากเซฟเงิน อู่นอกก็มีให้พึ่งพาได้เยอะ คุณลองขับดูอู่รถตามต่างจังหวัดดูได้ครับ รถยี่ห้อไหนจอดเยอะ ไม่ได้แปลว่ายี่ห้อนั้นเจ๊งเยอะครับ แต่มีคนใช้เยอะ และคนเหล่านั้นเชื่อว่าช่างอู่นั้นซ่อมรถรุ่นนั้นได้ แล้วมันก็เกื้อหนุนกันไปมาตรงที่ ยิ่งรถรุ่นไหนขายได้เยอะ ช่างอู่ก็มีอารมณ์ที่จะอยากเรียนรู้วิธีการซ่อม อยากลงทุนจับอะไหล่มารอในสต๊อก เพราะมีคนรอใช้บริการเยอะ

****4. ตัวรถที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับลูกค้าหลายแบบ****

รถปิกอัพคือรถที่มีกลุ่มลูกค้ากว้างหลากหลาย จะหญิง ชาย ทอม เกย์ ก็ใช้ได้เหมือนกัน หมดยุคแล้วที่ว่าผู้หญิงขับรถปิกอัพดูแล้วไม่เข้าบุคลิก นี่คือยุคหญิงไทยแกร่งได้แม้นไร้ผัว เพราะบางทีผัวบางคนก็ไม่ได้สร้างรายได้มากเท่ารถหนึ่งคัน พวงมาลัยกระบะยุคนี้ ไม่ได้หนักไปกว่ารถยุโรปยุค 90s บางรุ่น ซึ่งตอนนั้นคุณแม่พวกคุณก็ขับกันได้ไม่บ่น เรื่องขนาดตัวใหญ่ กะระยะลำบาก เอ้า ไม่ยาก กระบะตัวท็อปๆ บางเจ้าก็มีกล้องรอบคันมาแก้ปัญหาจุดนี้ให้

คุณอยากจ่ายน้อย? อยากหรู? กระบะตอบได้หมด ลองดูอย่าง Ford ซึ่งมีตั้งแต่กระบะใช้งานทั่วไปราคาหลักแสน อย่างรุ่น XLS ไปจนถึงกระบะที่ไม่น่าเรียกว่ารถพาณิชย์ และไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแบบรถกระบะทั่วไปเลย อย่าง Ranger Raptor V6 กระบะบ้าพลังจากโรงงานม้าเกือบ 4 ร้อยตัว ราคาเกือบสองล้านบาท หากนำรถสองคันนี้มาจอดข้างกัน คุณจะเห็นความน่ากลัวในแง่การตลาดว่า คุณสามารถปรับรถตัวถังเดียวให้รองรับกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขนาดไหน

อยากได้ความหรู อยากได้เบาะปรับไฟฟ้า Adaptive Cruise Control หรืออะไรทำนองนี้ ก็มีให้ ถ้างบประมาณคุณมีล้านต้นๆ แต่สำหรับคนทั่วไปที่อยากได้รถไว้ใช้งาน กระบะสมัยนี้แค่รุ่นธรรมดา คุณจ่ายเงิน 6-7 แสนบาท เลือกกระบะเตี้ยสักรุ่นที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ แค่นี้ก็ใช้งานได้สบายเท้า ไม่ต้องเอาของเล่นไฟฟ้าเยอะๆ มาให้มันเสียภายหลัง ความสูงใต้ท้องใกล้เคียงกับพวก Corolla Cross แล้ว บางคนอาจจะบอกว่าปิกอัพของแท้ต้องเกียร์ธรรมดา อันที่จริงจะบอกว่า เมื่อ Toyota เริ่มขายรถ Revo Z Edition ตัวเตี้ยเกียร์อัตโนมัติ ลูกค้าเกียร์ธรรมดารุ่นเก่าโดดมาจับรถเกียร์ออโต้เยอะมาก เรียกได้ว่าครึ่งต่อครึ่ง และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกียร์อัตโนมัติสมัยนี้ สูญเสียกำลังในระบบขับเคลื่อนน้อยลงกว่า 20 ปีก่อนมาก ทำงานไว และให้อัตราเร่งที่ไม่เป็นรองรุ่นเกียร์ธรรมดาเหมือนในอดีต อาจแพ้แค่ตอนชิงไฟ แต่ลอยลำแล้ว เกียร์ธรรมดาระวังหลังไว้นะ

การปรับปรุงรถเพื่อความสบาย และขยายความหรูตามกำลังทรัพย์หลายระดับ ทำให้รถปิกอัพกลายเป็นรถประเภทที่มีตัวเลือกด้านจำนวนที่นั่ง อุปกรณ์มาตรฐาน ระบบส่งกำลัง ขับสอง/ขับสี่ ซอยรุ่นย่อยถี่ยิบ จนเวลาเปิดตัวใหม่แต่ละที กว่าจะพิมพ์รุ่น/ราคาจบ รัสเซียเลิกรบกับยูเครนก่อน คนทำข่าวเหนื่อยเป็นบ้า แต่ลูกค้าได้ประโยชน์ เพราะสามารถเลือกรถแบบที่ตรงใจตัวเองได้มาก โดยจ่ายเงินน้อยสุดเท่าที่จำเป็น

****5. มันแต่งสนุกมาก ****

ข้อสุดท้ายนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นข้อหนึ่งที่ทำให้ผมชื่นชอบรถปิกอัพ ก็เพราะความที่รถปิกอัพมียอดขายต่อเดือนสูง คนซื้อใช้เยอะ บริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ทำของแต่ง ล้อสวยๆ ชุดอัปเกรดช่วงล่าง แหนบ สปริง ก็อยากทำออกมาขาย เพราะทำออกมาเท่าไรก็ขายได้ ผมมาจากโลกของรถเก๋ง ซึ่งรถรุ่นที่ผมใช้บางคัน ของแต่งราคาแพงมาก หรือแย่กว่านั้นก็คือไม่มีของเลย เพราะไม่ใช่รุ่นที่ตลาดสนใจ เวลาจะทำรถแต่ละทีต้องไปกราบช่าง กราบคนทำ เพราะมีคนเชี่ยวชาญรถรุ่นนั้นไม่เยอะ แต่พอเป็นรถปิกอัพ อยากทำเครื่อง อยากจูน มีคนทำให้เยอะแยะ อยากได้ของแต่งชิ้นไหนก็มีของหลายเกรดให้เลือก

ของแต่งที่ใช้ได้ดี ไม่จำเป็นต้องราคาแพงเสมอไป แต่ของเทพที่ใส่แล้วเพื่อนร้องว้าว ก็มีให้เลือกถ้าคุณมีเงินเหลือ อยากจะซื้อรถราคาแปดแสน มาแต่งหนึ่งล้านบาทก็ทำได้ หรือแต่งสองแสนบาทแล้วขับดีๆ ก็แล้วแต่จะเลือก สายซิ่ง อยากทำเครื่อง มีช่างเครื่อง ช่างจูน ให้เลือกมากมาย เอาแบบที่คุยแล้วถูกคอชอบใจกันได้ เครื่องยนต์รถกระบะสมัยนี้ ลำพังเอาเครื่องเดิมๆ มา Remap ก็เห็นผลกันได้ตั้งแต่ 15-20 แรงม้า ในพวกที่ทำยากๆ ไปจนถึงพวกที่ช่างชอบพูดว่าเอาเท้าสะกิดก็แรง อย่างพวก D-Max 1.9 กับ 3.0 นั่นก็มี อยากเปลี่ยนเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ จีน ไทย ฝรั่ง มาตรวัดต่างๆ ของแท้ ของเลียนแบบ ระบบเบรกตรงรุ่น ดัดแปลง มีหมดสำหรับงบทุกระดับ จะเอา 200, 300 หรือ 400 ม้า ช่างไทยทำได้

ถ้าคุณไปถามชาติอื่นในอาเซียน คุณจะรู้ว่าปิกอัพแต่งต้องคนไทย เราเป็นเจ้าแห่งการเล่นกับกระบะ 1 ตันมานาน และจะยังคงเป็นไปอีกนานเท่านาน ส่วนคนที่ไม่เน้นเรื่องแรง ก็ยังมีสายเน้นสวย เน้นเนียน หรือเน้นใส่ยางโต ยกสูง ออฟโรด ใส่เครื่องกว้าน ทำเป็นรถลุยป่า หรือแต่งแบบเอาทั้งแรง ทั้งช่วงล่าง ทั้งยกสูง กลายเป็นรถแรลลี่ครอสคันทรี่ ก็มีคนทำให้ได้และทำได้ดีด้วย เพียงแต่ว่าทั้งหมดนี้ คุณต้องเลือกอู่ที่ไว้ใจได้ และต้องเข้าใจว่าบางครั้งการจะได้ของที่ดี ก็มากับค่าใช้จ่าย และบางครั้งการโมดิฟายแบบไม่คิดให้ถ้วนถี่ ก็จะเป็นการพังรถทางอ้อมได้เช่นกัน

นี่คือ 5 ข้อ ที่ผมเขียนแล้วแชร์ความคิดกับพวกท่าน ว่าทำไมคนไทยถึงรักรถกระบะ ตราบใดที่เสน่ห์ 5 ข้อนี้ยังคงอยู่ ผมคิดว่ารถปิกอัพก็จะยังเป็นขวัญใจของคนไทยต่อไป จะเป็นเศรษฐีขี่ Raptor ซื้อซีฟู้ดใส่ท้ายกลับไปฝากลูก หรือคุณน้าขี่ Revo บรรทุกผลไม้ไปส่งร้านแลกค่าจ้าง ลงท้ายก็มีกระบะท้ายเหมือนกัน อีกห้าปีรถกระบะอาจมีแบตเตอรี่ มีมอเตอร์ อีกสิบปีมันอาจจะขับตัวมันเองได้ แต่ท้ายสุดรถที่มีท้ายไว้ขนของอย่างที่คุณเห็น มันจะอยู่ไปอีกนานเท่านาน.

Pan Paitoonpong