บทความที่แล้วผมทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ในงานมหกรรมจัดแสดงรถยนต์ที่เซี่ยงไฮ้ Auto Shanghai 2023 นั้น ผมได้มีโอกาสไปเดินดูรถในบูธอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ BYD อย่างเดียว แต่ด้วยความที่บริเวณจัดงานมีพื้นที่ใหญ่โตแบบเอา Impact Challenger ของบ้านเรามาคูณ 4 แถมมีการแบ่งเป็นชั้น 1 และ 2 อีกต่างหาก
ผมจึงต้องเลือกว่าจะวิ่งดูอะไรบ้าง..ต้องวิ่งจริงๆ เพราะจำนวนยี่ห้อรถที่ขายในจีนนั้นมีมากกว่าไทยเป็นเท่าตัวเลยก็ว่าได้ ผมอาจจะคิดผิด แต่เลือกที่จะไปเดินดูรถสัญชาติจีนรุ่นที่ยังไม่มีการขายในไทยอย่างเป็นทางการ
ข้อแรกเลย ก็คืออยากดูว่าวิวัฒนาการรถของพี่จีนตอนนี้ ไปถึงไหนกันแล้ว และสอง คือมีความเชื่อมั่นว่าสักยี่ห้อละ..ต้องมาเกยหาดที่บ้านเราในไม่กี่ปีอย่างแน่นอน สิ่งที่ทำให้มอเตอร์โชว์ในจีนแตกต่างจากที่อื่นในโลกคือความหลากหลายและการแข่งขันจากรถจีนนั่นละครับ
เมื่อรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนด้านภาษีสำหรับรถประเภท NEV-New Energy Vehicle ซึ่งประกอบไปด้วยรถไฟฟ้าล้วน (BEV) รถไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) และรถไฟฟ้าแบบมีเครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟเพิ่มพิสัยทำการ (EREV) รถพวกนี้นอกจากจะได้ส่วนลดต่างๆ แล้ว ยังมีอิสระจากเคอร์ฟิว ซึ่งถ้าเป็นรถสันดาปปกติ ถ้าจะวิ่งเข้าเมือง จะมีการบังคับว่าทะเบียนไหนเข้าเมืองได้วันคู่/วันคี่ ซึ่งพวกรถ NEV ทั้งหลายจะไม่ถูกผูกมัดด้วยข้อจำกัดนี้ ผลที่ตามมาคือ บริษัทรถจีนไม่ว่าจะเป็นของรัฐ หรือ Start Up หน้าใหม่ ต่างก็แข่งกันทำรถพลังงานทางเลือกแปลกใหม่มากมาย บางเจ้านี่ผมขยี้ตาอ่านยี่ห้อแล้วสาบานว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ในสัปดาห์นี้ก็จะมาเขียนเล่าแชร์ให้ท่านฟังกันครับ
...
***BAIC GROUP***
เจ้านี้ เป็นรัฐวิสาหกิจจีน มีฐานทัพอยู่ที่เมืองปักกิ่ง มียอดขายรวมอยู่ประมาณอันดับ 6 หรือ 7 ในประเทศจีน มีรถที่ขายอยู่ในเครือเยอะแยะ รวมถึง Foton รถกระบะ/รถบรรทุกที่คนไทยบางส่วนรู้จักกันดี ในด้านของรถใช้งานทั่วไป ทาง BAIC ก็มีแบรนด์ชื่อจำง่ายๆ ว่า Beijing จะเรียกว่าปักกิ่งตามลิ้นไทยก็กลัวจะสับสนกับขนมยุค 90s รถอย่าง Beijing X7 นี้ เป็นรถแบบที่ยังยืนอยู่ระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่ กล่าวคือ
ตัวรถนั้นเกิดมาเป็นรถเบนซิน รุ่นดั้งเดิมใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเบนซิน เทอร์โบ 191 แรงม้า แล้วภายหลังก็มีรุ่น PHEV ตามออกมา คุณเห็นหน้าตามันแล้ว อาจจะนึกถึง MG VS แต่ X7 นั้นเป็นรถคนละคัน ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกัน และมีขนาดโตพอๆ กับ Honda CR-V
นอกจากแบรนด์ Beijing แล้ว ทาง BAIC Group ก็แตกแขนงยี่ห้อใหม่ชื่อ
“Arcfox” ออกมาในปี 2019 เพื่อเน้นทำตลาดแต่รถ EV ล้วนๆ และรถสีดำคันที่คุณเห็นนี้ก็คือ Arcfox Alpha S รถที่มีขนาดตัวยาวเกือบห้าเมตร ใหญ่กว่า Accord บ้านเรา ซึ่งจุดเด่นของรถรุ่นนี้คือ ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารต่างๆ ในรถนั้น ทาง Arcfox จับมือกับ Huawei ช่วยกันทำออกมา และเห็นหน้าตาอย่างนี้ Alpha S นี่ขายมาสามปีแล้วนะครับ ไม่ใช่รถใหม่ถอดด้าม ในด้านขุมพลังขับเคลื่อน ก็มีตั้งแต่มอเตอร์เดี่ยว 221 แรงม้า ไปจนถึง 2 มอเตอร์ 652 แรงม้า วิ่งได้ไกล 702 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
แต่ที่น่าสนใจคือเจ้า Arcfox Kaola คือ..คาโอล่านะครับ ไม่ใช่โคอาล่า รถหน้าตาน่ารักที่จู่ๆ Arcfox ก็ทำออกมาทั้งที่ปกติขายแต่รถหน้าโหดอย่าง Alpha S กับ Alpha T จุดขายของ Kaola คือ การตั้งใจออกแบบมาเพื่อเป็นรถสำหรับรองรับคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกครับ เบาะหลังทำมารองรับ Child Seat มีโต๊ะสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อม
พับเก็บได้อยู่ที่เบาะแถวหลัง อีกทั้งยังมีกล้องตรวจจับหน้าเด็ก ซึ่งจะติดเอาไว้หลังเบาะคนขับ เวลาเด็กหลับ ระบบปรับอากาศจะปรับอุณหภูมิและทิศทางลมเพื่อให้เด็กสบายตัว มีกล่องอุ่นร้อนและกล่องเก็บความเย็นให้ที่คอนโซลกลาง ถ้าคุณแม่เหนื่อยกับลูกมาก ก็กางเบาะฝั่งคนนั่งแล้วนอนยาวเป็นเตียงได้..เอากับเขาสิ
...
***CHANG’AN AUTOMOBILE***
รัฐวิสาหกิจผลิตยานยนต์จากจีนที่โตมาจากเมืองฉงชิ่ง ปัจจุบันถือว่าเป็นค่ายรถจีนที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 4 จากยอดขายปีละ 2 ล้านคัน “ฉางอัน” เคยมาขายในไทยภายใต้การดูแลของกลุ่มตันจงแห่งสิงคโปร์ แต่ล่าสุดระหว่างงานโชว์รถที่เซี่ยงไฮ้ บริษัทแม่เขาก็ประกาศว่าจะลงทุน 9,800 ล้านบาท ตั้งโรงงานประกอบรถ New Energy ทั้งสามประเภท ผลิตพวงมาลัยขวา ป้อนตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และเอเชียพวงมาลัยขวาที่เหลือ ดังนั้นจึงมีความน่าสนใจว่าพวกเขามีอะไรให้เราบ้าง
...
Chang’an ขายรถหลายแบบ แต่มีการเปิดแบรนด์ย่อยที่เรียกว่า Shenlan ออกมา
โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง CATL (บริษัทผลิตแบตเตอรี่จีน) กับ Huawei และ
Chang’an New Energy โดยพวกเขาสร้างแพลตฟอร์ม EPA1 ออกมาไว้ใช้เฉพาะรถ New Energy เท่านั้น เริ่มต้นด้วย SL03 ซึ่งเป็นรถเก๋งขนาดตัวสูสีกับ Camry โฉมปัจจุบันและยาวกว่า Tesla Model 3 ประมาณ 10 ซม. รถรุ่นนี้ มีแต่แบบขับเคลื่อนล้อหลัง และวางมอเตอร์ขับเคลื่อนเอาไว้ด้านหลัง มีให้เลือกทั้งเวอร์ชัน BEV ไฟฟ้าล้วนๆ 218 แรงม้า วิ่งได้ไกล 700 กิโลเมตร
...
เวอร์ชัน Performance ที่เพิ่มพลังมอเตอร์เป็น 258 แรงม้า ลดขนาดแบตเตอรี่และพิสัยลงเหลือ 500 กิโลเมตร และเวอร์ชัน EREV ที่ใช้แบตเตอรี่ความจุน้อยลง แต่มีถังน้ำมัน และมีเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรทำหน้าที่ปั่นไฟอย่างเดียว เติมเต็มถังแล้ววิ่งได้ไกล 1,200 กิโลเมตร แถมยังมีค่าตัวถูกกว่ารุ่น BEV เสียอีก นอกจากนี้ก็ยังมีรุ่นที่เป็น FCEV (Hydrogen Fuel Cell) ด้วย แต่ราคาจะแพงมากจนซื้อรุ่น EREV ได้ 4 คันภายใน มาในสไตล์เรียบร้อย เอาทุกความบันเทิงไปอยู่บนจอกลางขนาด 14.6 นิ้ว ซึ่งแม้จะหมุนจอแนวตั้งแบบ BYD ไม่ได้ แต่คุณสามารถเอียงจอไปหาคนขับ หรือหาผู้โดยสารได้ขึ้นอยู่ว่าใครเป็นใหญ่ในรถคันนั้น
ถัดจาก SL03 ก็ยังมีรถอีกรุ่นที่เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อต้นปี เป็นครอสโอเวอร์/SUV รุ่น
S7 ซึ่งมีขนาดตัวใกล้เคียงกับ CR-V หน้าตาดูดุดันไม่หยอก มากับล้ออัลลอยขอบ
20 นิ้ว ภายในมีจอหันแบบเดียวกับ SL03 และมีให้เลือกทั้งแบบ BEV ชาร์จไฟอย่างเดียว 258 แรงม้า กับแบบ EREV ที่มี 238 แรงม้า ถ้า Chang’an ตั้งหลักในไทยได้ภายใน 1-1.5 ปีนี้ มีสิทธิ์ที่เราจะได้ขับรถรุ่นนี้กันครับ
***HIPHI***
อย่าเพิ่งอ่านผิดนะครับ ยี่ห้อของเขาอ่านว่า ฮายฟาย อย่าไปอ่านผิดเป็นสระอีแล้วหน้าแตกคาบูธแบบผม HiPhi นี่ คือตัวแทนของ Start Up หน้าใหม่ในโลก EV จีน โดยเป็นแบรนด์ในเครือบริษัท Human Horizons ซึ่งมีคุณ ติ่ง เหลย เป็นผู้ก่อตั้ง นับเป็นรถยี่ห้ออายุน้อยมากเพราะเพิ่งถือกำเนิดเมื่อปี 2019 นี่เอง แล้วก็ไม่ได้ขายรถเยอะครับ ตกปีละ 4,000-5,000 คันเท่านั้น เพราะเขาเน้นขายคนรวย ราคารถจะแพงกว่าพวก Shenlan EV ถึงสามเท่า แต่ความเด่นของ HiPhi คือ ทำรถออกมากี่รุ่นกี่คัน ทุกคันดูเหมือนรถต้นแบบ ไม่ก็จะมีรูปทรงที่หลุดโลกไปเลย ราวกับว่าตอนเด็กๆ คุณติ่ง เหลยแกอาจจะฝังใจที่คนต่างชาติดูถูกดีไซน์รถจีนกระมังครับ พอมาเปิดบริษัทรถของตัวเอง ก็คงตบบ่าดีไซเนอร์แล้วบอกว่า “ตบมันให้เละเลยน้อง”
HiPhi X เป็นครอสโอเวอร์ 7 ประตูและเป็นรถรุ่นแรกของค่ายที่เริ่มขายในปี 2021
ถามว่าดูยังไง 7 ประตู ก็ประตูคู่หน้าเปิดแบบปกติ 2 บาน ประตูคู่หลังเปิดไปทางข้างหลังรถ 2 บาน และท่อนบนของประตูหลัง จะเปิดออกแบบปีกนก (Gullwing) อีกสองบาน และบานฝากระโปรงท้ายอีกหนึ่ง ซึ่งแบบนี้ทาง HiPhi เรียกว่าเป็น NT Doors ครับ เวลาเปิดประตูออกทุกบานราวกับหุ่นยนต์กำลังจะแปลงร่าง
ขุมพลังขับเคลื่อนเป็นแบบไฟฟ้าล้วน มอเตอร์เดี่ยว 268 แรงม้า และมอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ 536 แรงม้า กับแบตเตอรี่ 96 kWh และนอกจากจะเป็นรถที่ดูล้ำยุคแล้ว ยังเป็นรถรุ่นแรกในจีนที่ติดตั้งระบบสื่อสารแบบ 5G/V2X ใช้งานได้จริงด้วย
รถรุ่นต่อมาคือ HiPhi Z ซึ่งมีรูปโฉมชนิดที่ทำให้รุ่น X กลายเป็นรถเรียบร้อยสุภาพภายในทันที มันคือ Nissan GT-R R35 ที่กินหมี กินหุ่นยนต์โวลทรอนเข้าไปทั้งตัวแล้วออกมาเป็นรูปทรงแบบที่จะเรียกว่าสวยก็ขัดปากอยู่ พอจะบอกว่าเป็นรถสปอร์ต มันก็ไม่ใช่ เพราะนี่คือรถผู้บริหารครับ! ตัวยาว 5.3 เมตร กว้าง 2 เมตร และหนัก 2.9 ตัน ประตูรถคู่หลังจะเปิดสวิงออกไปทางด้านหลัง แต่ไม่มีหลังคา Gullwing แบบรุ่น X นะครับ
ภายในรถทันสมัย มี HiPhi Bot ซึ่งเป็นระบบ AI ตอบโต้กับคนขับ สามารถรับคำสั่งจากคุณแล้วทำตามได้ บนรถนั้นมีกล้อง 13 ตัว เซนเซอร์ 34 ตัว เรดาร์ 17 ชุด จะเรียกมันว่ายาน Star Destroyer ก็คงไม่โม้เกิน และด้วยพลังม้า 600 ตัวในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มันสามารถพาคุณ “วาร์ป” ด้วยอัตราเร่ง 0-100 ภายในเวลาแค่ 3.8 วินาที เป็นยักษ์ตัวยาว น่ากลัว ทันสมัย และยังมีลูกเล่นไฟ LED หน้าและหลังนับพันดวง สามารถแสดงผลเป็นแอนิเมชันสีได้ ผมว่านี่คือรถที่เอาวันเวลา 10 ปีข้างหน้ามาให้เราดูในวันนี้เลยละครับ ดีไซน์ไม่เกรงใจใครเลยจริงๆ
รถรุ่นล่าสุดของค่าย HiPhi คือรุ่น Y ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์ขนาดกลาง ขนาดตัวเล็กลงมาเมื่อเทียบกับรุ่น X แต่กระนั้นก็ยังยาว 4.9 เมตรนะครับ ประตูแบบ NT Doors ซีกหลังเปิดแบบปีกนกยาวไปถึงช่วงหลังคา มีสองระดับพลังคือ 336 และ 504 แรงม้า กับแบตเตอรี่ซึ่งใช้ขนาด 76.6 kWh ของ BYD กับ 115 kWh ของ CATL ซึ่งอย่างหลังนี่จะวิ่งได้ไกลถึง 800 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC เมื่อชาร์จเต็ม นี่คือรถรุ่นที่คุณติ่งเหลยแกหมายมั่นจะเอาไปลุยตลาดยุโรปในปี 2024 ส่วนสำหรับเมืองไทย ผมคิดว่าคงได้แค่ฝันครับ เพราะให้ลองนึกภาพรถแดนมังกรราคา 5-6 ล้านบาท ถูกละ..มีคนซื้อ แต่จำนวนคนที่ซื้อไม่น่าจะมากพอให้เปิดไลน์ผลิตเวอร์ชันพวงมาลัยขวาได้ อยากขับ? ไปเช่าที่จีนก่อนนะครับ
***HONGQI***
ชื่อนี้อ่านว่า หงฉีนะครับ เป็นบริษัทผลิตรถระดับหรูของจีน ซึ่งอยู่ในเครือ FAW Group ที่เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน Hongqi เป็นบริษัทผลิตรถเก๋งเจ้าแรกของประเทศตั้งแต่ช่วงปี 1959 แล้ว และเคยเป็นรถสำหรับพวกสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่รัฐ และทหาร จนเลิกกิจการไปในปี 1981 แล้วกลับมาอีกรอบใน 9 ปีถัดมา โดยบางครั้งก็เอารถของต่างประเทศมาผลิตแปะยี่ห้อของตัวเอง เช่น Audi 100, Lincoln Town Car หรือ Toyota Crown Majesta มาพักหลังๆ นี้ เริ่มผลิตรถของตัวเอง มีดีไซน์แบบของตัวเองในแบบที่ดูก็รู้ว่ารับอิทธิพลทางใจมาจากใคร
รถของ Hongqi หลายรุ่นมักมาในสไตล์เอาใจผู้ใหญ่ หรือพวกที่มีโชเฟอร์ขับให้
อย่างเช่น Hongqi H9 นี้ เป็นรถระดับเดียวกับ Mercedes-Benz S-Class มีทั้งรุ่นฐานล้อสั้น และฐานล้อยาว มีภายในที่เห็นแล้วนึกถึงแดชบอร์ดของรถค่ายดาวสามแฉก มีเครื่องยนต์แบบ 2.0 ลิตรเทอร์โบ แบบ Mild-Hybrid 48V 252 แรงม้า กับรุ่น 3.0 ลิตร V6 ซุปเปอร์ชาร์จ 283 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์คลัตช์คู่ Hongqi
เป็นรถประเภทโลกเก่ากึ่งใหม่อีกยี่ห้อหนึ่ง ที่ยังดูจะเน้นการขายรถเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ แม้จะเริ่มมีรถที่เป็นแบบ NEV มาบ้างแล้วก็ตาม ส่วนจะมาไทยหรือไม่นั้น คิดว่าโอกาสน้อยมากครับ เพราะถ้ามา ราคาก็ไม่น่าจะถูก
***LEAPMOTOR***
ชื่อนี้ไม่คุ้นหูคนไทยแน่นอน ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกในชีวิตที่งานนี้ละครับ
Leapmotor เป็นบริษัทเอกชน Start-up จีนหน้าใหม่ ซึ่งเพิ่งก่อตั้งในปี 2015
นี้เอง และเพิ่งจะมีรถจำหน่ายจริงจังมาได้ 4 ปี ปกติเขาจะทำพวกรถขนาดเล็ก เช่นรุ่น S01 หรือ T03 แต่ในปี 2021 ก็ได้เปิดตัวรถรุ่น C11 ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์ 5 ที่นั่ง ขนาดตัวพอๆ กับ CR-V ทาง Leapmotor นี่ก็บ้าเทคโนโลยีชิป เช่นเดียวกับรถจีนยุคใหม่ทั้งหมดครับ แน่นอนว่านอกจากมีชิปเซต Qualcomm Snapdragon 8155 ในการคุมสมองกลต่างๆ แล้ว ตัวรถก็จะมี AI ที่มี Codename ว่า Lingxin01 ซึ่งพัฒนาร่วมกับบริษัท Dahua และชิป Huawei Kirin A1 ซึ่งทำให้รถรุ่นนี้สามารถขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติได้ถึง Level 3 C11 เป็นรถไฟฟ้า ที่มีพลังตั้งแต่ 270-540 แรงม้า และล่าสุด ก็มีรุ่น EREV ใช้แบตเตอรี่เล็กลงแต่ติดเครื่องยนต์สันดาปภายในไว้ปั่นไฟ วิ่งแบบ EV mode ได้ 170 กิโลเมตร ส่วนที่เหลือก็ให้น้ำมันในถังพาไป
รถรุ่นที่ใหม่กว่านั้น ก็คือ Leapmotor C01 รถสี่ประตูสำหรับผู้บริหารตัวยาว 5
เมตร ซึ่งใช้มอเตอร์ 268/540 แรงม้า รวมถึงวิศวกรรมการขับเคลื่อนจาก C11 แต่แบตเตอรี่จะเป็นแบบ Cell-to-Chassis ติดตั้งเข้ากับตัวถังโดยไม่ต้องใช้ Battery Case มีพิสัยทำการ 500-717 กิโลเมตรขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดของแบตเตอรี่ที่เลือก ที่เมืองจีนนี้ หลายค่ายมักจะไม่ยึดอยู่กับแบตเตอรี่ความจุเพียงระดับเดียว บางรุ่นแบ่งซอยออกไป 4-5 ระดับความจุแบตเตอรี่ แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก
***XPENG***
มาถึงบริษัทสุดท้ายกับคอลัมน์สัปดาห์นี้ เรามาดูกันที่ XPeng ซึ่งคุณจะเรียกว่า เอ็กซ์เพ็งแบบฝรั่ง หรือเอ็กซ์เพ้งแบบไทยๆ ก็แล้วแต่ถนัด บริษัทกวางเจาเสี่ยวผิงมอเตอร์ส์ หรือ XPeng Motors นี้ มีสถานภาพปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชน จดเปิดบริษัทตั้งแต่ปี 2014 โดยมีเอี่ยวกับบริษัทใหญ่อย่าง Alibaba, Xiaomi กับ Foxconn และ IDG Capital ด้วย
พวกเขาเพิ่งผลิตรถรุ่นแรกขายเมื่อปี 2018 นี้เองกับรุ่น G3 SUV และโฟกัสที่การผลิตรถในกลุ่ม New Energy Vehicle เท่านั้น และรถที่เห็นอยู่นี้คือ XPeng P7i ซึ่งเป็นรถซีดานพิกัดโตสุดของทางค่าย เผยโฉมและขายครั้งแรกในปี 2020 ตัวโตกว่า Tesla Model 3 แต่ทางบริษัทวางหมากให้เป็นตัวขายแข่งกันกับ Model 3 มีรุ่นมอเตอร์เดี่ยว 263 แรงม้า กับมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 424 แรงม้าให้เลือก
พิสัยทำการของรถมีตั้งแต่ 562-700 กิโลเมตร ตามแต่แบตเตอรี่ที่เลือก ทว่าเร็วๆ นี้ทาง XPeng จับมือกับ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีน เพื่อเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่แบบ LFP ซึ่งอาจส่งผลให้พิสัยการวิ่งน้อยลงเหลือ 480 กิโลเมตรแต่ได้ความปลอดภัย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น จุดเด่นอีกประการของ P7i คือ ประตูคู่หน้าจะสวิงขึ้นเป็นแบบ Scissor doors เหมือน Lamborghini แต่ประตูคู่หลังเปิดแบบปกติ ระบบปฏิบัติการในรถ ชิปประมวลผลหลักเป็น NVIDIA DRIVE AGX อนาคตของแบรนด์ XPeng ในไทย ยังไม่แน่ชัด แบรนด์นี้เคยส่งออกรถไปขายที่นอร์เวย์ แต่ขายรุ่น G3 SUV ได้แค่ 221 คัน โฟกัสของการขายอาจจะยังอยู่ที่ในบ้านเกิดก่อน ซึ่งก็น่าเสียดายเพราะหน้าตาแบบนี้ มาไทย ถ้าราคาดีก็น่าจะมีคนอยากจับจองไม่น้อยเลย
และนี่ก็คือ หลากรสชาติกับรถสัญชาติจีน เท่าที่ผมเดินด้อมๆ มองๆ ดูในงาน Auto
Shanghai 2023 โดยรวมแล้ว ถือว่าประเทศนี้พัฒนาเรื่องดีไซน์ กับระบบสื่อสารของรถยนต์ไปได้รวดเร็วมาก ผมอาจยังฟันธงไม่ได้ว่า จีนกับญี่ปุ่น
ใครจะเป็นผู้ชนะในการชิงความเป็นแชมป์ยอดขายบนโลก แต่พอทราบได้ว่า วันเวลาที่ญี่ปุ่นเจ้าใหญ่จะนิ่งเฉยๆ แล้วหัวเราะในความช่างก๊อปของรถจีนนั้น..ได้หมดลงอย่างสิ้นเชิงแล้วครับ ไม่ถีบตัวพัฒนาหนีกรงเล็บมังกรเสียตั้งแต่วันนี้ อีกไม่เกิน 7 ปี ลำบากแน่นอนครับ.
Pan Paitoonpong