2565 กำลังจะลาจาก นับเป็นปีที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มเบา บางลง เริ่มต้นปีด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ามากมายหลายแบรนด์จากประเทศจีนที่เริ่มทะลักเข้ามาทำตลาดในไทย การจัดตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มทุนทั้งไทยและจีนที่ร่วมมือกัน เป็นทิศทางที่ดีในการถือกำเนิดของรถยนต์พลังงานสะอาดในไทย
แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ภาครัฐของไทย ควรสนับสนุนให้บริษัทไทยที่มีศักยภาพในประเทศ ลงมือผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยขายเองบ้าง การรับงานเป็นแค่มือประกอบมาช้านานแล้ว ทำให้เราไม่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรกเริ่มของการเปลี่ยนผ่านเป็นได้แค่รถคันที่สองในบ้านเท่านั้น การใช้งานที่ยังไม่สะดวกสบายเท่ากับรถยนต์สันดาปภายใน ทำให้ต้องใช้เวลาในการขยับขยายสถานีชาร์จให้เพียงพอต่อความต้องการ เรายังเห็นคนที่ไปถึงจุดชาร์จตามเวลาที่ลงไว้ในแอป แต่กลับชาร์จไฟไม่ได้ เพราะมีรถที่หมดเวลาชาร์จไปแล้ว แต่เจ้าของไม่ยอมเลื่อนรถออกจากจุดชาร์จ หรือไปถึงสถานีชาร์จไฟแต่พบว่ามันใช้งานไม่ได้!
รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในพร้อมระบบพลังงานผสมแบบไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด แม้จะยังปล่อยมลพิษออกมาอยู่บ้าง แต่การใช้งานก็พบว่ามีความสะดวกสบายและช่วยทำให้อากาศสะอาดขึ้นบ้าง (ไม่มากก็น้อย) ส่วนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง ก็จะอยู่กับเราไปจนถึงปี 2575 และจะค่อยๆ ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน อีก 20 ปีก็ยังจะมีรถที่ใช้น้ำมันวิ่งกันอยู่บนถนนในไทย แต่จำนวนของรถเหล่านี้จะเหลือน้อยลงจนไม่ส่งผลกระทบกับสภาพอากาศ และนี่คือการรวบรวมรถทดสอบที่ขับแล้วรู้สึกประทับใจในปี 2565 ครับ....
รถที่ขับแล้วรู้สึกดี ในปี 2565
BMW X3 xDrive 30e
Nissan Navara Black Edition
MG4 Electric
Lexus NX450h+ F Sport
Mercedes-Benz C220d W206
Mercedes-AMG GLA35
BYD ATTO 3
BMW X7 xDrive 40d
Toyota Mirai
Honda Civic RS e:HEV
Ford Ranger Raptor
Audi S3 Sportback
Audi RS Q3 Sportback
Toyota Hilux REVO D Z-Edition 2.4 A/T
Nissan Kicks e:Power
Mercedes-AMG CLS53 Facelift 2022
Mercedes-Benz EQS500 4Matic
...
BMW X3 xDrive 30e
BMW X3 xDrive30e M Sport Plug in Hybrid (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคา 3,799,000 บาท ชาร์จไฟจนเต็มวิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ ไกล 30 กิโลเมตร รุ่นปรับโฉม LCI life cycle impulse จัดเต็มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบช่วยขับใน X3 เวอร์ชันสุดท้ายก่อนเปลี่ยนโฉม ภายในที่หรูหรา มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทางของ BMW Harman Kardon (S688A) เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพด้านความคมชัดและพลังของเสียงเบส เสียงที่ขับออกมาจากลำโพงของ Harman ทำให้นึกถึงระบบเสียงระดับพรีเมียมที่ติดตั้งในบ้าน Harman Kardon (S688A) ระบบปฏิบัติการ iDRIVE เวอร์ชัน OS7 X3 xDrive30e M Sport จัดระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive และระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า eDrive ของ BMW ระบบปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด Sport Steptronic กำลังจากระบบไฟฟ้าสูงสุดที่ 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้า โดยส่งพลังลงสู่ล้อทั้งสี่ รวมถึงโหมดการขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ประหยัดน้ำมัน และลดมลภาวะ จุดเด่นก็คือ ความกว้างของพื้นที่เบาะคู่หน้าและห้องเก็บสัมภาระหลัง การทรงตัวและอัตราเร่ง ความสบายเมื่อขับเดินทางไกลและระบบความปลอดภัยที่รุดหน้า
เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นนี้ มีกำลังรวมสูงสุด 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ลงมาที่ระดับ 35.7 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 64 กรัมต่อกิโลเมตร เมื่อรวมการใช้พลังงานทั้งสองรูปแบบ X3 xDrive30e M Sport มีอัตราการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 17.92 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อ 100 กิโลเมตร ส่วนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน มาพร้อมกับเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ใหม่ล่าสุด BMW เคลมว่า เมื่อขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนทำระยะทางได้ 47 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC เมื่อทดสอบจริง ทำได้ประมาณ 28-30 กิโลเมตร ส่วนแรงบิดรวมสูงสุดของทั้งสองระบบอยู่ที่ 420 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
G01 LCI เป็นเอสยูวีไซส์กลางที่มีแชสซีที่ปรับสมดุลของแชสซีได้อย่างดีเยี่ยม รวมไปถึงการกระจายน้ำหนักในอัตราส่วนหน้า-หลังที่เท่ากันบนตัวเลข 50/50 ส่งผลไปถึงการวิ่งทั้งทางตรงและทางโค้งที่มีอาการโคลงตัวไม่มาก นอกจากนี้ ยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive กลไกขับเคลื่อนทุกล้อเวอร์ชันล่าสุดของ BMW ที่ปรับปรุงมาเพื่อแก้ทางมวยกับ Mercedes Benz GLC300e Plug in Hybrid ที่มีระบบ 4Matic กับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Audi Q5 Ultra Quattro ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ xDRIVE ของ X3 30e มีการปรุงแต่งประสิทธิภาพให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยความคาดหวังของผู้บริหารของ BMW ว่า X3 ทั้งรุ่นเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จะเป็นยานยนต์ off-road สายพันธุ์แท้ที่ตอบสนองการใช้งานอันหลากหลายของลูกค้าได้ดีขึ้น
Nissan Navara KC Calibre E 7AT Black Edition
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อผลักดันรถปิกอัพ Navara เข้าสู่สงครามในตลาดรถกระบะของไทย และต้องทำให้มันมีมากกว่าหน้าตาที่ดูดี Navara รุ่น KC Calibre E 7AT Black Edition 2022 ราคาเริ่มต้น 849,000 บาท มาพร้อมกับการควบคุมที่ดีขึ้น เก็บเสียงดีขึ้น และมีรูปลักษณ์ที่ลงตัวกับชุดแต่ง Black Edition โดยเฉพาะรถตัวถังสีขาวที่ตัดกับสติกเกอร์สีดำ พร้อมลวดลายที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ชุดตกแต่งพิเศษสีดำ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว สีดำ พร้อมลายกราฟิก Black Edition รอบคัน กระจังหน้า Interlock สีดำ พร้อมไฟหน้าแบบ Quad-Eye LED และไฟ Daytime
เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ ความจุ 2,298 ซีซี ให้กำลัง 140 กิโลวัตต์ หรือ 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดจัดเต็มถึง 450 นิวตันเมตร หรือ 45.9 กิโลกรัมเมตร ที่ 1,500-2,000 รอบต่อนาที มากพอที่จะส่งแรงบิดลงไปตะกุยล้อหลัง เพื่อเอาตัวรอดในเส้นทางออฟโรด ความจุถังเชื้อเพลิงดีเซล 80 ลิตร มีค่ามาตรฐานมลพิษค่อนข้างต่ำอยู่ที่ EURO-4 ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ แบบ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล เทคโนโลยีกล้องมองภาพรอบทิศทาง (IAVM) พร้อมระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD) วิทยุหน้าจอสัมผัส 8" พร้อม NissanConnect เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว (TCS) ระบบช่วยในการขับบนทางลาดชัน (HSA)
...
ระบบรองรับของ Navara Facelift Black Edition มาพร้อมกับสมรรถนะของการขับขี่แบบออฟโรด ด้วยการออกแบบความสูงจากพื้นทำมุมเข้าหากันที่ 31 องศา มุมออก 25.6 องศา สามารถขับผ่านน้ำท่วมขังหรือหลุมบ่อที่มีความลึก 450 มิลลิเมตร รวมถึงความสามารถในการไต่พื้นที่ลาดชัน 51 องศา ช่วงล่างด้านหน้าแบบดับเบิลวิชโบนบวกเหล็กกันโคลงหน้า ด้านหลังแบบแหนบซ้อน ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก ส่วนด้านหลังยังคงใช้ดรัมเบรกพร้อมตัวช่วยเช่นระบบป้องกันล้อล็อก ABS / EBD / BA สำหรับการขับขี่บนพื้นที่ทุรกันดาร เช่น การลุยทราย โคลน ลุยลำธารที่มีระดับน้ำเฉียดๆ 1 เมตร ปีนขึ้นที่สูงชัน หรือลงในเส้นทางลาดชัน Navara ระบบ HDC ควบคุมการวิ่งลงทางลาดชัน โดยยังคงความเร็วต่ำสำหรับการขับลงเนินชัน ระบบ HAS ระบบออกตัวบนทางลาดชัน
MG4 Electric
ไดนามิกที่ดีของ MG4 เริ่มจาก Global Performance รถยนต์ไฟฟ้า MG4 Electric วางมอเตอร์ขับเคลื่อนเอาไว้ที่เพลาล้อหลัง ช่วงล่างอิสระทั้งสี่ล้อ โดยเฉพาะช่วงล่างหลังที่เป็นแบบดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่นั้นทำให้การควบคุมส่วนท้ายของรถมีอาการที่ค่อนข้างเป็นกลาง แบตเตอรี่วางอยู่ใต้พื้นของห้องโดยสาร มีการเฉลี่ยน้ำหนักของอุปกรณ์ในระบบขับเคลื่อนให้กระจายทั่วทั้งคันได้อย่างสมดุลตามตัวเลขที่แจ้งมา (หน้า 50% หลัง 50%) แพลตฟอร์มไฟฟ้า nebula pure electric platform ที่ SAIC แจ้งว่า พัฒนามาเพื่อใช้ในยานยนต์พลังงานไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการออกแบบรูปลักษณ์ได้ค่อนข้างอิสระ มีพื้นที่เบาะหลังกว้าง จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารถยนต์สันดาปภายใน
MG4 Electric รุ่น ราคา X 969,000 บาท
MG4 Electric รุ่น D ราคา 869,000 บาท
MG4 EV มีจำหน่ายในรุ่น X และ D โดยทั้งสองรุ่นนี้มีมอเตอร์ตัวเดียวติดตั้งอยู่ที่ด้านหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน สร้างกำลังได้ 125 กิโลวัตต์ หรือ 170 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร (184 ปอนด์-ฟุต) แบตเตอรี่ขนาด 50.8 kWh ชาร์จไฟจนเต็มทำระยะทาง 425 กิโลเมตร (WLTP ที่ 218 ไมล์) MG4 EV เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.7 วินาที และบรรลุความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประสบการณ์การขับของ MG4 ในสนามทดสอบนั้นดีมาก เมื่อเร่งความเร็วก็มีแค่เสียงวี้ดของมอเตอร์ไฟฟ้า มันเงียบและได้รับการขัดเกลาปรับแต่งช่วงล่างมาดี แรงบิดที่ฉับไวและตอบสนองการเร่งความเร็ว คุณภาพการขับนั้นสะดวกสบาย และความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับ EV ที่ขับเคลื่อนล้อหน้าคือแชสซีที่ขับเคลื่อนล้อหลังให้การควบคุมที่โดดเด่นจนเพื่อนสื่อบางสำนักถึงกับเอ่ยปากชม การบังคับเลี้ยวก็ยังมีระดับความรู้สึกที่ดีแม้จะเบาไปนิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าล้อหน้าช่วยทำหน้าที่บังคับเลี้ยวเท่านั้นแทนที่จะต้องส่งกำลังแบบ bZ4X โดยรวมแล้ว MG4 ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเบา (น้ำหนักรถ 1,685 กิโลกรัม ถือว่าพอดีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไซส์นี้)
...
Lexus NX 450h+ F Sport
ราคา 4,320,000 บาท ของ NX450h+ F Sport แพงระยับดับจิตกันเลยทีเดียว แต่ในความแพงนั้น คุณจะได้ประสิทธิภาพที่แตกต่างไปจากรถยุโรปในจุดของความสบายและไดนามิกที่ไม่แตกต่างไปจากพวกตราดาว สี่ห่วง หรือตราใบพัด NX ใหม่ สวยงามกว่าเดิม โดยเฉพาะเสาท้ายที่ออกแบบได้อย่างลงตัว มันมาพร้อมเรือนร่างที่ดูสปอร์ต จริงๆ แล้วรุ่น F Sport ดูเป็นรถวัยรุ่นมากกว่าจะเป็นยานพาหนะของชายสูงวัยหรือหญิงวัยกลางคน ความหรูของห้องโดยสาร ช่วงล่างซึ่งเป็นที่มาของความนุ่มนวล นั่งขับหรือโดยสารได้อย่างสบายตัว ขอชมว่าปรับตั้งค่าการทำงานของโช้คและสปริง AVS Adaptive Variable Suspension ได้ดีมาก เหนือชั้นกว่ารถยุโรปคู่แข่งทั้งความสบายและการยึดเกาะ ถ้าไม่นับกันที่แรงบิด NX450h+ ทั้ง Premium ที่ผมเคยนำมาทดสอบเมื่อสองเดือนก่อน และ F Sport ที่ถือเป็นรถรุ่นสูงสุดของโมเดล NX ทั้งสองรุ่น ให้ความรู้สึกที่คล้ายกัน
แหล่งพลังงานที่ทำให้ NX รุ่นเสียบปลั๊กชาร์จวิ่งได้ไกลประมาณ 60 กิโลเมตร (เคลมมา 73 กิโลเมตร) โดยไม่ติดเครื่องยนต์ก็คือ แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ความจุสูงของระบบปลั๊กอินฯ ส่งผลให้แบตเตอรี่ ผลิตพลังงานรวมได้ถึง 18.1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ขับด้วยระบบไฟฟ้าได้ระยะทางไกลพอสมควร รวมทั้งให้สมรรถนะด้านอัตราเร่งที่ดี ตัวแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นห้องโดยสาร ช่วยดึงจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำเพื่อความเสถียร NX450h+ F Sport ไม่ได้มีแรงบิดเท่ากับ BMW X3 xDRIVE 30e Plug in Hybrid ราคา 3,659,000 บาท หรือแม้แต่สายหล่อบ้าพลังอย่าง GLC300e Plug in Hybrid ราคา 3,749,000 บาท ทั้งสองรุ่นเป็นรุ่นท็อปสุดที่ขายในไทย แต่ก็ยังมีราคาถูกกว่ารุ่นท็อปสุดของ NX อย่าง NX450h+ F Sport ที่มีค่าตัวทะยานไปถึง 4,320,000 บาท
...
ระบบส่งกำลังของ NX450h+ F Sport วิศวกรของ Lexus ออกแบบเพลาส่งกำลังไฮบริด พัฒนามาเพื่อถ่ายเทแรงบิดของเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ตัวนี้โดยเฉพาะ โดยจะส่งกำลังขับจากเครื่องยนต์ ผ่านรางเกียร์ที่ปรับปรุงใหม่ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่คอยเสริมแรง ทำให้ได้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดี รวมทั้งความเงียบจากวัสดุป้องกันเสียง ลองวิ่ง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ห้องโดยสารอย่างเงียบ และจะเริ่มมีเสียงยางก็ต่อเมื่อวิ่งอยู่บนทางปูนเท่านั้น ถ้าวิ่งทางลาดยางถือว่าเงียบเอาเรื่อง เป็นรถที่เก็บเสียงได้ดีตามมาตรฐานของ Lexus สมรรถนะที่เร้าใจเมื่อใช้โหมด Sport + ระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 นี้ มีกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุ 2.5 ลิตร พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบเกียร์ มีสมองกลที่คอยควบคุมการทำงานให้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว กำลังแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่สอดประสานกับแรงบิดจากเครื่องยนต์ ผ่านเทคโนโลยีการควบคุมแหล่งพลังงานที่ล้ำสมัย ทำให้มันเป็นรถที่วิ่งได้อย่างเนียนตา แถมยังเร่งความเร็วได้ดีกว่า NX300h เจนแรกอย่างชัดเจน
Mercedes-Benz C220d W206
ขอต้อนรับสู่โลกใหม่ที่อุดมไปด้วยระบบดิจิทัลอันก้าวล้ำและมีประสิทธิภาพ (มากยิ่งขึ้น) นี่คือ Mercedes-Benz New C-Class ใหม่ รหัสตัวถัง W206 รถซีดานไซส์เล็กรุ่นล่าสุดที่ครบทั้งความไฮเทคและสมรรถนะ ทั้งสองอย่างถูกควบรวมเข้าด้วยกัน เพื่อการเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง BMW Series-3 กับ Audi A4 การสร้างขอบเขตของความสะดวกสบายที่พร้อมรองรับโลกแห่งอนาคต ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงระบบขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก New C-Class เป็นรถ Mercedes-Benz ซีรีส์คลาสสิกรุ่นแรกที่ใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเทคโนโลยี Mild Hybrid 48 โวลต์ นอกจากนั้น ยังมีการปรับมาตรฐานการขับของรถรุ่นนี้ให้สูงขึ้น และเนื่องจาก C-Class เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีปริมาณการผลิตสูงสุดของแบรนด์ตราดาว การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ส่วนหนึ่ง ก่อนที่ C-Class จะกลายเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (ในอนาคตอันใกล้) Mercedes-Benz C-Class Sedan รุ่นใหม่ เดินทางมาถึงตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในช่วงกลางปี 2022 ด้วยภาพลักษณ์ที่ยังคงยึดโยงกับคำขวัญเดิมๆ นั่นก็คือ ความเป็น Baby S-Class นั่นเอง
ขุมกำลังดีเซลขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่ประจำการอยู่ใน New C-Class W206 CKD ราคา 2,990,000 บาท นั่นก็คือ เครื่องยนต์ Mercedes-Benz OM 654 M รุ่นดัดแปลง พร้อม ISG Mild Hybrid 48V ซึ่งช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อย CO2 ลง 13 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 24 แรงม้า (201 แรงม้า 440 นิวตันเมตร) เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล OM 651 สำหรับ OM 654 เป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบแถวเรียงสี่สูบ ความจุ 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี อัดอากาศด้วยเทอร์โบเดี่ยวรุ่นแรกในตระกูลเครื่องยนต์ใหม่ของ Mercedes น้ำหนัก 168 กิโลกรัม ถือเป็นเครื่องดีเซลที่มีประสิทธิภาพรุ่นสุดท้าย ก่อนที่รถยนต์ทั้งหมดของแบรนด์ตราดาวจะเปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
C-Class ใหม่รุ่น C220d AMG Dynamic ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมทางเลือกด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลมที่เป็นออปชันเสริม (Air Matic) ส่วนประกอบหลักของระบบกันสะเทือนที่กำหนดค่าแบบไดนามิก คือ เพลาสี่ลิงก์ที่ด้านหน้าและเพลามัลติลิงก์ที่ด้านหลัง ติดตั้งกับเฟรมย่อย ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตของ New C-Class AMG Line เป็นพื้นฐานของระบบกันสะเทือนในยานยนต์ระดับสูงของแบรนด์ตราดาว เน้นความสะดวกสบายในการขับเคลื่อนและเสียงการทำงานที่ลดลง การควบคุมทิศทางที่คล่องตัว และความสนุกสนานในการขับ
Mercedes-AMG GLA35 4Matic
เสียงท่อคำรามตามรอบเครื่องที่ถูกดันให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเสียงหวิดของเทอร์โบก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน AMG GLA35 กระโจนผ่าน 6,500 รอบอย่างว่องไว เกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดทำงานเนียนเหลือกำลังลาก จากการที่มีคลัตช์ถึงสองชุด เทคนิคการจูนอัตราทดให้กับเกียร์ 8 สปีด ทำให้ AMG GLA35 มีความจัดจ้านตั้งแต่ต้นยันปลาย ที่เกียร์ 6 รถก็ยังมีแรงดึงหนักหนาเอาเรื่อง การเร่งความเร็วทำได้ดีแทบจะไม่แตกต่างไปจาก AMG CLA35 ที่ผมเคยขับทดสอบเมื่อปีที่แล้ว การลดหรือเพิ่มเกียร์ผ่าน Paddle Shift หลังพวงมาลัย คุณจะค้นพบว่าเกียร์ตอบสนองได้ดีมากและมีระบบป้องกันการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่ไม่สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันเกียร์กระจายอีกต่างหาก
เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบชาร์จแปรผัน twin-scroll turbocharger รหัสเครื่องยนต์ M260 ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมระบบ CAMTRONIC variable valve control จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดแรงดันสูง piezo injectors multi-spark ignition ผลิตกำลังได้ 225 กิโลวัตต์ หรือ 306 แรงม้า กับแรงบิด 400 นิวตันเมตร แจกจ่ายแรงฉุดลากให้กับล้อทั้งสี่ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่เชื่อมต่อกับเกียร์ทวินคลัตช์ 8 สปีด AMG SPEEDSHIFT DCT 8 Speed dual-clutch transmission โหมดการขับเคลื่อนปรับผ่านปุ่ม DYNAMIC SELECT พร้อมโปรแกรมใหม่ 'Slippery' เริ่มจาก Comfort, Sport, Sport + และ Individual ที่ผู้ขับสามารถปรับตั้งการทำงานและการตอบสนองแบบแยกย่อยของเครื่องยนต์ เกียร์ และพวงมาลัยไฟฟ้า ตัวเลขสมรรถนะ Mercedes-AMG GLA35 4MATIC เร่งจากหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. ใน 5 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ที่ 250 กม./ชม. ไม่มีสตรัทบาร์ค้ำยันเหมือนใน AMG CLA 35
อาการหิวกระหายความเร็วของ AMG คันเล็กรุ่นนี้ดูเหมือนจะไม่มีวันหมด ตราบใดที่คุณยังมีเชื้อเพลิงเหลืออยู่ในถัง เมื่อเทอร์โบกระหน่ำพลังบูสต์ รถยิ่งดูเหมือนเร็วและแรงมากยิ่งขึ้น การเร่งจาก 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาไม่นาน เครื่อง AMG M260 ไม่ได้ดิบและมุทะลุดุดันเท่ากับเครื่อง 5 สูบใน RS Q3 ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์สายพันธุ์มอเตอร์สปอร์ตที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Audi แต่วิศวกรใน affalterbach นั้นใส่ความพอดีมาให้ในเครื่องยนต์รุ่นนี้ กำลังของมันจึงไม่ได้ล้นมากจนทำให้ต้องใช้เบรกหนักๆ ไปตลอดทาง แรงบิด 400 นิวตันเมตร ทำออกมาพอดิบพอดีกับความต้องการ แรงกว่านี้ก็ควบคุมได้ยาก กำลัง 225 กิโลวัตต์ในรถยนต์ไซส์เล็กที่มีน้ำหนัก 1.6 ตัน เหมาะกับมือธรรมดาที่ไม่ได้มีทักษะในการควบคุมมากนัก มันเป็นรถที่ขับง่ายและมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ ยิ่งขับเร็วก็ยิ่งแรง เสมือนความเร็วใหม่เข้ามาทดแทนความเร็วเก่าอยู่ตลอดเวลา แค่คาเท้าไว้ในองศาที่ลึกหน่อยก็ต้องคอยเบรกกันอย่างระมัดระวังเพราะมันพุ่งเข้าหาท้ายรถคันหน้าเร็วจี๋ อัตราสิ้นเปลืองทำได้ 10.5 กิโลเมตรต่อลิตร ราคา 3,190,000 บาท คุณจะได้รถอเนกประสงค์สไตล์สปอร์ตที่ขับใช้งานได้ดีเลยทีเดียว มันไม่มีแม้แต่ Panoramic Roof เครื่องเสียงงั้นๆ และมีแค่เบาะกับเข็มขัดนิรภัยเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างไปจาก GLA รุ่นมาตรฐาน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่กดคันเร่ง AMG GLA35 คันเล็กกะทัดรัด น่ารักน่าชัง จะแสดงให้เห็นถึงความพอดีบนความสนุกที่หาได้ยากในรถยนต์ครอสโอเวอร์ไซส์เล็ก
BYD ATTO 3
รถยนต์ไฟฟ้า Atto 3 ใช้แพลตฟอร์ม BYD e-Platform 3.0 แบบใหม่ ซึ่งเปิดตัวใน BYD Dolphin (BYD EA1) เป็นรุ่นแรก แพลตฟอร์มนี้ บรรจุแบตเตอรี่ BYD Blade ที่มีการเคลมว่า “มีความปลอดภัยเป็นพิเศษ” พร้อมปั๊มของเหลวเพื่อระบายความร้อน การระบายความร้อนมีเสียงการทำงานเบามาก แทบจะไม่ได้ยิน แบตฯ standard range ขนาด 49.92 kWh และ extended range ขนาด 60.48 kWh ทั้งสองความจุ ทำอัตราเร่งเท่ากันที่ 0-100 กม./ชม. ใน 7.3 วินาที ชาร์จเต็มวิ่งไกล 430-500 กิโลเมตร นับเป็นระยะทางในพารามิเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มใหม่ของ BYD คุณภาพการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะงานประกอบของ Atto3 นั้นใช้ได้เลยทีเดียว วิธีการทดสอบงานประกอบของรถยนต์ง่ายๆ ก็คือ ดูรอยต่อ ตะเข็บ ช่องระยะห่าง และให้ลองเปิดและปิดประตูดูความกระชับ น้ำหนักของการปิดและเสียง รอยต่อระยะห่างของขอบประตู ฝากระโปรง ฝาท้ายไฟฟ้า Atto3 มีการเปิด-ปิดประตูที่ใกล้เคียงกับ Audi รุ่นเล็กเลยทีเดียว (Q2 / A1 / A3) ขนาดของประตูบานใหญ่บ่งบอกถึงคุณภาพงานสร้างทั่วไปและความรู้สึกที่หนาแน่นและแข็งแรงในขณะที่เปิดและปิดเป็นอย่างดี
การขับสั้นๆ ในสนามทดสอบ Atto 3 สร้างความประทับใจ จากพลังแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้าในการเร่งความเร็ว ระบบช่วยขับและระบบรักษาเสถียรภาพ กับการเซตช่วงล่างและพวงมาลัย ทำให้ Atto 3 มอบการขับที่มั่นใจและสมดุลพร้อมคุณภาพการขับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในรถยนต์ไฟฟ้าของเซกเมนต์นี้ แม้แต่แมวดีและเฮียเม้งก็สู้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ชัดเจนว่าทั้งตำแหน่งของการนั่งขับ การควบคุมทิศทาง อัตราเร่ง เบรก และความคล่องตัวขณะเลี้ยวกลับลำด้วยมุมที่แคบเหลือเชื่อ Atto 3 ถูกสร้างอย่างพิถีพิถัน เพื่อทำให้มันเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่สะดวกสบายและใช้งานได้ง่าย การสนับสนุนความสบายในการขับที่ดีงาม คือความจริงที่ว่าระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิงก์ที่ด้านหลังนั้นเหนือกว่าคานแข็งทอร์ชั่นบีม เป็นความสบายในการขับและมั่นคงเมื่อใช้ความเร็วสูง ส่วนหนึ่งเกิดจากยาง Atlas Batman A51 ซึ่งที่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจ เป็นยางที่ติดตั้งอยู่ในรถทดสอบ ด้วยยางชื่อแปลกประหลาด แต่ให้การขับที่นุ่มนวล ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนของ Atto 3 ได้ดีเลยทีเดียว
อัตราเร่งที่ทำได้ 7.3 วินาที โดยรวมแล้วมันเป็นรถที่ให้ความรู้สึกว่องไวและเบา กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาพร้อมจะกระโจนไปข้างหน้าทันทีที่กดคันเร่งซึ่งต้องระวังให้ดีๆ ดูเหมือนว่า Atto 3 จะมีน้ำหนัก 1,750 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าสมดุลกับขนาดตัวถังและแรงม้า/แรงบิด ราคาของรถยนต์ไฟฟ้า BYD Atto 3 ที่เปิดค่าตัวมา 1,199,900 ไม่เกินความคาดหมายไปไกลนัก ราคาที่ถูกกว่าแมว ORA Goodcat GT แถมยังมีการควบคุมที่แม่นยำกว่าทำให้ Atto 3 แซงหน้าแมวไฟฟ้าและเฮียกวง MG ZS EV ไปไกลลิบทั้งในด้านไดนามิก ความสบายของเบาะหลังและระยะทางในการใช้งาน BYD Atto 3 นับเป็นหนึ่งในยานยนต์พลังงานไฟฟ้าราคาพอรับได้ที่มีประสิทธิภาพดี การควบคุมที่เที่ยงตรงใช้ได้ จากพวงมาลัยที่เหนือกว่ารถคู่แข่ง รวมถึงสมรรถนะในด้านการเร่งความเร็วที่ดีกว่ารถคู่แข่งกับการทำระยะทางเมื่อชาร์จไฟจนเต็ม ทำให้ Atto 3 ขึ้นทำเนียบครอสโอเวอร์ไฟฟ้าที่มีความน่าใช้มากที่สุดในช่วงปลายปี 2022
BMW X7 xDrive 40d
เครื่องยนต์ดีเซล TwinPower Turbo แถวเรียง 6 สูบ 3.0 ลิตร กระบอกสูบละ 500 ซีซี. อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ มีแรงบิดมากถึง 620 นิวตันเมตร เป็นแรงบิดแบบ Flat-torque ที่นักขับชื่นชอบ ผสานกับประสิทธิภาพของการทดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF-8 สปีด ซึ่งเป็นระบบส่งกำลังแบบ Steptronic 8 อัตราทด ส่งแรงบิดแบบอัตราทดผกผันไปยังล้อทั้งสี่ ด้วย xDrive โดยเฉพาะแรงบิดของล้อคู่หน้าที่ส่งผ่านมาจากชุด transfer case ที่ต่อเชื่อมกับเกียร์ 8 สปีด ชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ กระจายแรงบิดไปยังล้อคู่หลังผ่านเพลากลางและเฟืองท้าย ระบบรองรับ Adaptive Air Suspension ผ่องถ่ายการยึดเกาะ ด้วยการทรงตัวที่สมดุลในย่านความเร็วสูง เครื่องยนต์ดีเซลมีความสุภาพและเงียบในย่านความเร็วต่ำ แต่ก็พร้อมจะพุ่งทะยานหากคันเร่งถูกกระตุ้น ด้วยแรงบิดมหาศาล เอสยูวีเรือธงตราใบพัดคันนี้จะกลายร่างเป็นรถที่มีอัตราเร่งดุเดือด ขัดแย้งกับเรือนร่างที่ใหญ่โตและน้ำหนักที่มากถึง 2.3 ตัน
เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 6 กระบอกสูบ รหัส B57D30 ความจุ 3.0 ลิตร (2,993 ซีซี.) เครื่องยนต์วางตามยาวขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบ xDRIVE โดยออกแบบให้วางอยู่ในระดับที่ต่ำเพื่อลดค่า CG การลดจุดศูนย์ถ่วงลง รวมถึงการกระจายน้ำหนักที่สมมาตร เพื่อทำให้รถมีการทรงตัวที่ดีขึ้น ขนาดความกว้างกระบอกสูบ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 90.0 มิลลิเมตร บล็อกเครื่องยนต์ใช้อะลูมิเนียม ฝาสูบแบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป DOHC 4 วาล์วต่อสูบ อัตราส่วนกำลังอัด 16.5:1 ระบบอัดอากาศเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ติดตั้งเทอร์โบแปรผันตัวเดียวโดดๆ พร้อมชุดลดอุณหภูมิไอดีอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบยิงตรงคอมมอนเรลไดเรคอินเจคชั่น หัวฉีดแรงดันสูง Piezo มีแรงดันในระบบ 2,500 บาร์ ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ที่ 2,000-2,500 รอบต่อนาที ตัวเลขสมรรถนะของ X7 xDRIVE 40d M Sport เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เคลมมาจากหน้าโรงงานทำได้ 13 กิโลเมตรต่อลิตร ขับจริงทั้งในและนอกเมืองทำได้ 8.5-10.2 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าประหยัดใช้ได้เลยทีเดียว เมื่อเทียบกับขนาดที่ใหญ่โตของตัวถังและน้ำหนักรถที่มากถึง 2,300 กิโลกรัม ส่วนอัตราการปล่อย CO2 ทำได้ที่ 198 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เป็นเครื่องดีเซล 6 สูบ ยุคใหม่ที่มีความสะอาดพอใช้ได้เลยละครับ
การยึดเกาะ ความปราดเปรียว และเสถียรภาพความนิ่ง ไดนามิกของการขับเคลื่อนในการรักษาทิศทางของ X7 ตกอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW xDrive เวอร์ชันล่าสุดใน X7 สามารถแยกแรงบิดในการขับระหว่างล้อหน้าและล้อหลังมากยิ่งขึ้น แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ตามความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การขับและสภาพถนน ความเร็ว มุมเลี้ยว เพื่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น xDrive ส่งกำลังเต็มที่ไปยังล้อหลังได้อย่างสมบูรณ์ 100% ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการแรงฉุดลากแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือในขณะที่ทะยานเต็มกำลังบนไฮเวย์ ฟังก์ชัน Auto Start Stop และฟังก์ชัน Coasting ที่ใช้ร่วมกับเกียร์ Steptronic 8 สปีดใน BMW X7 ใหม่ ทำงานผ่านข้อมูลที่ได้รับจากระบบนำทางและจากข้อมูลที่ให้มาโดยกล้องหน้าของระบบช่วยเหลือการขับขี่ Active Guard มาตรฐาน ด้วยวิธีนี้ สามารถป้องกันการดับเครื่องยนต์ที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ เช่น เมื่อหยุดชั่วครู่ที่ทางแยกหรือวงเวียน การเคลื่อนตัวของรถคันข้างหน้าได้รับการบันทึกเพื่อกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับฟังก์ชัน Auto Start Stop เพื่อหยุดและสตาร์ตเครื่องยนต์ ฟังก์ชัน Coasting สามารถใช้งานได้เมื่อเลือกโหมด ECO Pro หรือ COMFORT โดยใช้สวิตช์ Driving Experience Control การแยกส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบส่งกำลังจะเกิดขึ้นในสถานการณ์การขับขี่ที่ประสิทธิภาพและความสะดวกสบายจะไม่ลดลง หากยกคันเร่งกะทันหัน ระบบส่งกำลังจะยังเชื่อมต่ออยู่เพื่อให้สามารถใช้การเบรกของเครื่องยนต์เพื่อรองรับการชะลอตัว ด้วยเหตุผลเดียวกัน ระบบจะตัดการเชื่อมต่อของระบบส่งกำลังเมื่อเข้าใกล้ทางแยกหรือรถคันข้างหน้า
BMW X7 xDrive 40d รุ่นประกอบในประเทศ หรือ CKD ที่โรงงาน BMW ในจังหวัดระยอง ราคา 6,199,000 บาท การยึดเกาะ ความปราดเปรียว และเสถียรภาพด้านความนิ่ง บวกไดนามิกของการขับเคลื่อนนั้นดีงาม การรักษาแรงบิดของล้อใน X7 ตกอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW xDrive เวอร์ชันล่าสุด ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน สามารถแยกแรงบิดในการขับระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้กว้างมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ทำงานแม่นยำและรวดเร็วขึ้น ตามความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การขับและสภาพถนน ความเร็ว มุมเลี้ยว เพื่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น xDrive สามารถส่งกำลังเต็มที่ไปยังล้อหลังได้อย่างสมบูรณ์ 100% ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการแรงฉุดลากแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือในขณะที่ทะยานเต็มกำลังบนไฮเวย์นั้นทำได้อย่างยอดเยี่ยม นับเป็นเอสยูวีฟูลไซส์ที่ขับได้ถึงใจเอามากๆ เลยทีเดียว
Toyota Mirai
Toyota MIRAI FCEV เป็นยานยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่สะอาดมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า เพราะการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสีเขียวที่ได้มาจากการสังเคราะห์พลังงานแสงอาทิตย์และน้ำ โดยมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ สิ่งที่ MIRAI ปลดปล่อยออกมาจากท่อระบายท้ายก็คือน้ำ หรือ H2O นับเป็นยานยนต์พลังงานสะอาดรุ่นที่สอง ซึ่งพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ไม่สร้างมลภาวะของ Toyota สำหรับ MIRAI ถูกนำมาจัดแสดง ณ โซนจัดแสดง Future Expo บริเวณเมกาเว็บ (Megaweb) ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 การเปิดตัว MIRAI รุ่นใหม่เมื่อสามปีที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก MIRAI แสดงออกถึงความก้าวหน้าในระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ของ Toyota ในด้านของการพัฒนายานยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน
ขั้นตอนการใช้งานของ Toyota MIRAI
1 ไฮโดรเจนถูกเติมให้กับ MIRAI ที่สถานีเติมเชื้อเพลิง โดยมีขั้นตอนและระยะเวลาในการเติมเท่ากับรถยนต์ปกติที่เติมน้ำมัน
2 ไฮโดรเจนถูกเก็บในถังแรงดันสูง 700 บาร์ ถังเชื้อเพลิงผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีความแข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบา ชั้นในของถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจน บุด้วย polyamide resin ช่วยป้องกันการรั่วไหลของไฮโดรเจนก่อนที่จะส่งไปยังเซลล์เชื้อเพลิงที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้า
3 ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ของ MIRAI เหนี่ยวนำออกซิเจนสู่เซลล์เชื้อเพลิง เมื่อออกซิเจนและไฮโดรเจนผสมกัน จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ความร้อนและน้ำ กระแสไฟฟ้าจะถูกลำเลียงไปป้อนพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 160 แรงม้า ขณะที่น้ำสะอาดซึ่งเป็นของเหลวที่ถูกปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่สร้างผลกระทบใดๆ ให้กับสิ่งแวดล้อม
4 แบตเตอรี่แบบพิเศษของ MIRAI ช่วยเสริมกำลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเมื่อผู้ขับกดคันเร่งอย่างรุนแรง ในช่วงความเร็วต่ำ แบตเตอรี่จะป้อนไฟเข้าสู่มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนโดยยังไม่ต้องพึ่งพาไฮโดรเจน เมื่อคนขับเหยียบเบรกหรือยกคันเร่ง ระบบ regenerative จะเริ่มวัฏจักรของการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่
ระบบขับเคลื่อนของ Toyota MIRAI เป็นหนึ่งในระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ก้าวล้ำและใช้งานได้จริง ถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนผ่านการทดสอบการชนปะทะ ทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง เพื่อทำให้มั่นใจว่าไฮโดรเจนจะไม่รั่วไหลออกมาแม้เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง MIRAI ยังติดตั้งแบตเตอรี่แบบ nickel metal hydride ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟให้กับมอเตอร์เมื่อขับใช้งานในย่านความเร็วต่ำ และช่วยเสริมอัตราเร่งเมื่อผู้ขับกดคันเร่งลงจนสุด สำหรับ MIRAI รุ่นแรก มีกำลัง 152 แรงม้า แรงบิด 335 นิวตันเมตร เมื่อเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจนเต็มถังจะวิ่งได้ระยะทางประมาณ 502 กิโลเมตร ไกลกว่ารถไฟฟ้าในยุคนี้อย่างเห็นได้ชัด สำหรับ MIRAI รุ่นที่สอง ด้วยกำลังที่มากกว่าและระยะการขับขี่ที่ไกลกว่า ใช้เซลล์เชื้อเพลิงขนาด 650 โวลต์ที่เล็กกว่าและเบากว่า ซึ่งให้กำลัง 128 กิโลวัตต์ ตามข้อมูลของ Toyota รถรุ่นใหม่ มีกำลังเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับ MIRAI รุ่นก่อน ถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสามถัง ทำระยะทางได้ไกลเกือบ 800 กิโลเมตร จากการขยายความจุของถังเก็บไฮโดรเจน รวมถึงการติดตั้งถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเพิ่มเติมเพื่อการกระจายน้ำหนักให้มีความสมดุล
หากคุณเคยขับรถ EV การขับ Mirai แทบจะไม่แตกต่างกัน ระบบส่งกำลังที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ตอบสนองอย่างรวดเร็ว แรงบิดเกิดขึ้นทันทีที่กดคันเร่ง เกือบจะฉับพลันทันที ทำให้ตัวเลขที่ยกมานั้นดูดีงาม Toyota Mirai มีให้ทั้งความนวลและอัตราเร่ง แทบจะไม่แตกต่างไปจากแรงม้าและแรงบิดของ Lexus ES300h มากนัก มันอาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ เมื่อมอเตอร์ประสิทธิภาพสูงเทแรงบิดลงไปยังล้อขับเคลื่อน แรงบิดทั้งหมดไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว การถ่ายเทพลังงานที่เนียนนวลของเกียร์ มีส่วนช่วยทำให้การขับ Mirai คล้าย Lexus ES300h แม้ว่ามันจะมีน้ำหนักมากกว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องสันดาปภายใน ICE ก็ตาม ส่วนการทำงานทั้งหมดของระบบส่งกำลังและล้อยาง เกิดขึ้นในแบบเกือบเงียบเช่นกัน Mirai เงียบยิ่งกว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปเนื่องจากใช้วัสดุซับเสียงเกรดเดียวกับ Lexus นับเป็นอนาคตที่รุดหน้าของยานยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งจะเข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาปภายในอีกไม่นานนับต่อจากนี้
Honda Civic e:HEV RS
ทุกวันนี้มีรถดีๆ มากมายที่ขายในประเทศไทย และหนึ่งในนั้นก็คือ Honda Civic นี่คือซีดานขนาดกะทัดรัดที่มีขนาดตัวถังใหญ่โตขึ้นทุกที จนแทบจะกลายเป็น Accord ไปแล้ว หลังจากออกขายได้ไม่นานนัก Civic รุ่นใหม่ก็ถูกปรับระบบส่งกำลังใหม่หมด จากที่เคยใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร สี่สูบ เทอร์โบ ก็ถูกยกเลิกไปแล้วกลายมาเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ โดยมีการเสียบแทนที่ด้วยพลังงานผสมแบบไฮบริดหรือ e:HEV นั่นดูเหมือนจะทำให้ดูแย่ลง และอาจทำให้ความสนุกของการขับ New Civic หมดไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ Honda ต้องการทำให้กับลูกค้า Civic e:HEV มีระบบส่งกำลังที่ทั้งแรงและประหยัด บวกกับช่วงล่างและพวงมาลัยที่มีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้รุ่นไฮบริดขับได้อย่างโดดเด่น มันดีกว่ารุ่น 1.5 เทอร์โบ อย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นความเงียบ พลังงานในรูปแบบของแรงบิดสำหรับการเร่งความเร็วเพื่อแซงและความมาดมั่นของช่วงล่างเมื่อใช้ความเร็วสูง Honda Civic e:HEV RS ราคา 1,259,000 บาท (คันทดสอบ)
เครื่องยนต์พลังงานผสม เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC 1,993 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 81.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 96.7 มิลลิเมตร ระบบจ่ายเชื้อเพลิง Direct Injection ฝาสูบแบบ Atkinson Cycle เครื่องยนต์เพียวๆ ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตร เสริมแรงบิดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบเกียร์ กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร แต่กำลังรวมทั้งสองระบบ ทาง Honda ไม่ได้แจ้งตัวเลขมาให้ เครื่องยนต์วางตามขวาง ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน E-CVT เป็นระบบเกียร์แบบเดียวกับ Honda Accord Hybrid แต่มีการปรับปรุงการทำงานใหม่ แบตเตอรี่ในระบบ Hybrid ที่ใช้จ่ายไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Lithium-ion ความจุ 1.0 KWh ชุด Intelligent Power Unit (IPU) ยกระดับการทำงานใหม่หมด ในจุดนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก โดยปรับการทำงานร่วมกับ Power Control Unit (PCU) ที่ควบคุมการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ตัวเลขสมรรถนะ เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnet Electric Motor 2 ตัว ประกอบด้วยมอเตอร์ปั่นไฟหรือ Generator และมอเตอร์เสริมแรงบิดสำหรับขับเคลื่อนร่วมกับเครื่องยนต์ กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000–6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0-2,000 รอบต่อนาที Honda เคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 25.0 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ขับจริงด้วยโหมดสปอร์ตบนเส้นทางภูเขา ใช้ความเร็วต่อเนื่อง ทำได้ 18.2 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 96 กรัม/กิโลเมตร
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากการทดสอบก็คือ เครื่องยนต์ไฮบริด 2.0 ลิตร ที่มีมอเตอร์อยู่ในระบบเกียร์ E-CVT (Electrical Continuously Variable Transmission) ทำงานได้ดีขึ้น ดีกว่าเครื่อง 1.5 เทอร์โบอย่างชัดเจน ทั้งอัตราเร่งและการบริหารเชื้อเพลิง แม้จะใช้ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ระบบส่งกำลังแบบ CVT ใน Civic e:HEV ได้รับการปรับตั้งใหม่หมด เพื่อปรับให้เกียร์ที่มีมอเตอร์เสริมแรงตอบสนองได้เร็วและเทแรงบิดได้ดีกว่าเดิม มีการลดอาการย้วยของเกียร์แบบสายพานพูเลย์ สมรรถนะด้านอัตราทดที่แปรผันได้ สอดรับกับแรงม้าและแรงบิดของเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เกียร์ E-CVT หรือเกียร์อัตราทดต่อเนื่องแปรผันใน Civic e:HEV ยังเพิ่มความสะดวกในการใช้งานด้วยการติดตั้งแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift มาให้หลังพวงมาลัย Paddle ใน Civic e:HEV กลายเป็นระบบ regenerative braking ที่ปรับการหน่วงได้หลายระดับเพื่อชาร์จกลับพลังงานไฟฟ้า
Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor ตัวใหม่ ราคา 1,869,000 บาท ยังเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ permanent all-wheel-drive system 4A -4WD drivetrain ใช้ชุดคลัตช์ Borg Warner ที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างหลากหลาย ทั้งขับสองล้อหลังในสถานการณ์ปกติ และขับเคลื่อนสี่ล้อทั้ง Low และ High โดยแยกการส่งแรงบิดไปยังด้านหน้า/ด้านหลังด้วยสมองกลไฟฟ้า ถือเป็นจุดเด่นเพราะเป็นสิ่งที่ Raptor รุ่นเก่าไม่สามารถทำได้ และจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องขับฝ่าทางวิบากออฟโรด ระบบกระจายแรงบิดที่เรียกว่า Torque On Demand ในเจเนอเรชันล่าสุดนี้ ยังสามารถล็อกเฟืองทดกำลังหน้า-หลังร่วมกันได้อย่างเต็มที่ เพื่อการกระจายแรงบิดของการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้ความเร็วสูง (4H) นอกจากนี้ ยังสามารถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 2H ได้เหมือนรถกระบะขับหลังทั่วไป สำหรับการลุยทางโหดที่ต้องใช้ความเร็วต่ำในโหมดขับสี่แบบ 4L ด้วย locking front and rear differentials ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แชสซีใหม่ที่หนาบึ้กของ Raptor Next Gen ออกแบบมาเพื่อรับงานหนัก เอาไปขับลุยไม่ต้องกลัวบิดหรือแตก แชสซีได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง มีความแกร่งมากพอที่จะรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับบนทางวิบาก ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงก์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อกทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง ช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถ
เครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร เป็นสัตว์ร้ายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง กำลัง 391 แรงม้า และแรงบิด 583 นิวตันเมตร เพียงพอที่จะทำให้นักล่ารุ่นใหม่กระฉับกระเฉงมากกว่าเดิม ซึ่งเท่ากับกำลังเพิ่มขึ้น 85 เปอร์เซ็นต์ และแรงบิดเพิ่มขึ้น 16.6% เครื่องยนต์นี้ทรงพลังและตอบสนองได้ดี โดยมีเสียงท่อระบายท้ายที่กระหึ่มหนักแน่นน่าประทับใจ เครื่องยนต์ Ecoboost เร่งความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง จากการทำงานของระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่-เทอร์โบหนึ่งตัว รับผิดชอบในการอัดไอดีของกระบอกสูบทั้งสามตำแหน่ง มันสามารถป้อนอากาศได้อย่างรวดเร็วโดยมีอาการรอรอบเพียงเล็กน้อย เพื่อให้แรงดันบูสต์เพิ่มขึ้น เมื่อจุดติด Raptor Next Gen จะพุ่งทะยานแหวกกระแสลมอย่างมุ่งมั่นพร้อมๆ กับเข็มวัดระดับเชื้อเพลิงที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อัตราสิ้นเปลือง 6.8 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อใช้ความเร็ว 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เป็นมิตรต่อคนที่กระเป๋าบาง และเมื่อปรับโหมดขับเคลื่อนให้ตอบสนองอย่างเต็มประสิทธิภาพใน Sport Mode พร้อมๆ กับการใช้คันเร่งอย่างต่อเนื่องเพื่อขับในย่านความเร็วสูง อัตราสิ้นเปลืองก็จะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ
ระบบบังคับเลี้ยวของ Raptor Next Gen คือที่สุดของพวงมาลัยรถกระบะที่มีขายในไทย ซึ่งใช้ส่วนประกอบต่างๆ กับส่วนที่เหลือของรถ Ranger โดยได้รับความช่วยเหลือจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกับเซนเซอร์สปีดความเร็วและโหมดขับเคลื่อน เมื่อใช้ความเร็วสูง พวงมาลัยของ Raptor Next Gen ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากพวงมาลัยรถกระบะทุกยี่ห้อในไทย แม้แต่ Ranger ตัวใหม่ก็ยังมีพวงมาลัยที่ตอบสนองได้ไม่ดีเท่า สัมผัสเชื่อมต่อกันมากขึ้นในโค้ง น้ำหนักที่หน่วงกำลังดีในแต่ละโหมดขับเคลื่อน มันใช้ฮาร์ดแวร์เดียวกัน แต่ได้รับการปรับแต่งให้แตกต่างออกไป ด้วยอัตราทดของแร็คที่ช้ากว่าเล็กน้อย ความรู้สึกในการบังคับเลี้ยวมีประโยชน์มากขณะทำความเร็ว ทั้งบนถนนและทางวิบาก พร้อมการตอบสนองและความมีชีวิตชีวาที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟีลลิ่งของพวงมาลัยในรถรุ่นเก่า
การมีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่และโช้คอัพระดับเทพบวกกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่มาดมั่นเป็นสูตรสำเร็จที่ Raptor ให้ความสำคัญ การขับเร็วจี๋บนผิวทางลูกรังถือเป็นประสบการณ์พิเศษ คุณสามารถขับด้วยความเร็วสูงใน Raptor ได้อย่างสนุกสนาน โดยภาพรวม Raptor ใหม่ มีความสมดุลที่ทำให้ควบคุมได้ง่าย แค่ระวังเรื่องขนาดและพื้นที่รอบตัวเท่านั้น จุดประสงค์ของการใช้เบรกขนาดใหญ่เป็นเรื่องที่ดี แต่น้ำหนักตัวน้องๆ ช้างพลายก็ควรจะเผื่อระยะเบรกเอาไว้บ้าง มวลที่ใหญ่โตต้องการพื้นที่ด้านหน้าในการเบรกมากกว่ารถที่เบากว่า ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวคอยควบคุมให้รถอยู่บนเส้นทาง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณทำได้อย่างถูกต้อง คุณสามารถเข้าโค้งได้เร็วและออกจากปลายโค้งด้วยส่วนท้ายที่เริ่มบานออกด้านข้าง แค่ยกคันเร่งและขยับพวงมาลัยไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับส่วนท้ายที่กำลังบาน อาการโอเวอร์สเตียร์ของนักล่าตัวใหม่แก้ได้ง่าย แต่ความเร็วต้องไม่ล้นมากจนเกินไป
Audi S3 Sportback Quattro
ตัวถัง Sportback สร้างขึ้นจากงานประกอบเน้นความประณีต แค่ปิดประตูก็รู้ว่าเสียงความแน่นของบานนั้นต่างไปจาก BMW หรือ Mercedes-Benz แต่ก็ใกล้เคียงหรือคล้ายกับ Lexus แพลตฟอร์มของ S3 ห่อหุ้มห้องโดยสารที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด มันมาพร้อมระบบดิจิทัล MMI การเชื่อมต่อแบบใหม่ และระบบช่วยเหลือผู้ขับล้ำอนาคต คุณสามารถสั่งซื้อ S3 รุ่นใหม่ในไทยได้แล้วตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ด้วยค่าตัวที่ 3,550,000 บาท มันเป็นรถเล็กที่มีราคาแพงกว่า BMW 330e M Sport ถึง 601,000 บาท แพงกว่า Mercedes-Benz C350e AMG Dynamic 200,000 บาท แต่ถูกกว่า Lexus IS300h F Sport 340,000 บาท เนื่องจากคู่ต่อสู้เหล่านั้นไม่มีรถ Hatchback ที่เข้ามาขายในไทย ทำให้ Audi S3 และ RS3 กลายเป็นรถยนต์ที่มีความเป็นเอกเทศ เป็นรถเล็กจากยุโรปที่สวยงามและทรงพลัง น่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับรถยนต์ Luxury ตัวถังซีดานสี่ประตู แต่ส่วนท้ายที่สวยงามของ Audi S3 Sportback Quattro กับฟีลลิ่งดุดันเวลากระแทกคันเร่ง ก็อาจทำให้ลูกค้าของ BMW และ Mercedes-Benz เปลี่ยนใจได้ง่ายๆ
ต้นกำลังที่อยู่ภายใต้ฝากระโปรงของโมเดล S3 ใหม่ คือ เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง ความจุ 2.0 ลิตร 1984 ซีซี. พร้อมระบบเชื้อเพลิง TFSI ให้กำลังสูงถึง 290 แรงม้า แอบแปลกใจว่าสเปกนอกของ S3 ใหม่นั้นมีกำลังมากถึง 310 แรงม้า แต่พอเข้าไทย แรงม้าถูกหั่นออกไปเหลือแค่ 290 ตัว ผู้บริหารของแบรนด์สี่ห่วงชี้แจงว่า การทอนแรงม้าลงเล็กน้อยเพื่อตัวเลขการปล่อย CO2 ส่วนแรงบิดสูงสุดยังเท่าเดิมที่ 400 นิวตันเมตร (295 lb-ft) เป็นแรงฉุดลากที่เหมาะสมกับการเร่งความเร็วจากรอบกลางๆ ไปจนถึงรอบสูงสุด เครื่องยนต์ให้ประสิทธิภาพในด้านอัตราเร่งที่ดี มันเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น สำหรับการไต่ขึ้นสู่ความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีถนนที่กว้างและโล่งมากพอที่จะบรรลุสู่ความเร็วสูงสุด ส่วนตัวเลขการปล่อย CO2 เพียงแค่ 178 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตรก็ถือว่าสะอาดพอตัว
ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ Quattro ของ Audi ระหว่างการทดลองขับ จากการควบคุมที่ทำให้รถมีน้ำหนักเบา ทำให้ระบบส่งกำลังไม่ต้องรับภารกรรมมากเกินไป กลายเป็นความกระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้น และส่งเสียงดังในโหมด Dynamic ในย่านความเร็วสูง การบังคับเลี้ยวที่หนักหน่วงใน S3 นั้นให้การตอบสนองที่ดี ออกตัวเร็วๆ จากจุดหยุดนิ่งหรือเร่งแซงรถช้ามีอาการเทอร์โบแล็กไม่มากนัก เมื่อขับในโหมดสูงสุดมันเร่งความเร็วคอร์เตอร์ไมล์ใน 12.9 วินาที ที่ 173 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยความเร็วขนาดนั้นส่วนหน้าของรถก็ยังนิ่งสนิท อาการโคลงตัวน้อย มันพุ่งเข้าหาหัวโค้งด้วยความหิวกระหายและมาดมั่น เหนือชั้นกว่ารถขับหน้าหรือขับหลังพลังสูงทั้งปวงที่เคยเป็นคู่แข่ง เอาเข้าจริงๆ ผมชอบมันมากกว่า TT RS ที่มีพลังงานมากกว่า แต่ก็ควบคุมได้ไม่เนียนตาเท่า S3 Sportback อาจเป็นเพราะแรงม้าแรงบิดที่มีความสมดุลกับขนาดตัวถังและน้ำหนักมวลรวม รวมถึงการจูนระบบรองรับที่เฉียบคมเพื่อสอดรับกับการทำความเร็ว
Audi RS Q3 Sportback
Audi Sport กับการปรุงแต่งรถครอสโอเวอร์บ้าพลัง RS Q3 Sportback รถอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดประสิทธิภาพสูง ในรูปแบบตัวถัง Sportback 5 ประตู ที่พกพาประสิทธิภาพมาเต็มเหนี่ยว ทั้งแรงม้า พลังในการพุ่งทะยาน การทรงตัวที่มีเสถียรภาพ และความสะดวกสบายไฮเทคของอุปกรณ์ที่ทันสมัย 19 กุมภาพันธ์ 2021 RS Q3 Sportbck เดินทางมาถึงประเทศไทย กับชิ้นงานตกแต่งตัวถัง Black Edition ภายใต้ฝากระโปรง คุณจะพบกับตำนานที่ยังมีลมหายใจ นี่คือเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงที่ดีที่สุดในตระกูล RS เครื่องเบนซินคลาสสิกที่มีพัฒนาการยาวนานกว่า 30 ปี แบบ 5 กระบอกสูบ ความจุ 2.5 ลิตร ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ ขุมกำลังจากมันสมองและความเชี่ยวชาญของวิศวกรในเมืองอิงโกลสตัดท์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Audi Sport เครื่องยนต์รุ่นนี้ ปั่นกำลังได้มากถึง 294 กิโลวัตต์ หรือ 400 แรงม้า แรงบิดจัดเต็มมากถึง 480 นิวตันเมตร เกินพอสำหรับรถที่มีขนาดสูสีกับ Honda HR-V การส่งกำลังแรงบิดลงล้อทั้งสี่ เทแรงบิดผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ S tronic 7 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ความเสถียรที่เกิดจากความสมดุลของการทดกำลังลงล้อทั้งสี่ เป็น Quattro เวอร์ชันล่าสุด ที่สามารถผกผันแรงบิดไปยังล้อแต่ละข้างเพื่อสร้างเสถียรภาพสูงสุดขณะทำความเร็ว RS Q3 ปล่อย CO2 214 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร แรงบิดสูงสุดมาตั้งแต่ 1,950 รอบต่อนาที ไปจนถึง 5,850 รอบต่อนาที
ตัวเลขสมรรถนะของ Audi RS Q3 เร่งจากหยุดนิ่งจนถึง 100 กม./ชม. ใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ในต่างประเทศ คุณสามารถซื้อแพ็กเกจแบบจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อปลดล็อกความเร็วให้ไหลไปถึง 280 กม./ชม. ขุมกำลัง 5 สูบ 20 วาล์ว นับเป็นเครื่องยนต์ในตำนานของ Audi Sport Quattro และคว้ารางวัล Engine of The Year ถึง 9 ครั้ง การันตีถึงความเจ๋งของระบบขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี เครื่องยนต์วางตามขวางขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมเทอร์โบแปรผันที่ถูกพัฒนาและปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่ผ่านมาเครื่องยนต์รุ่นนี้ได้ผ่านการปรับแต่งในหลายขั้นตอน และมีประสิทธิภาพจนสามารถครองตำแหน่งเครื่องยนต์ยอดเยี่ยม ถึง 9 ปีติดต่อกัน สำหรับลำดับการจุดระเบิดแบบเฉพาะ 1-2-4-5-3 และเลขคี่ของกระบอกสูบทำให้ได้จังหวะพิเศษ พร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ ระบบไอเสีย RS ให้เสียงเฉพาะของเครื่องยนต์ห้าสูบ และระบบไอเสีย RS sport ที่เป็นอุปกรณ์เสริมให้เสียงที่คมชัดยิ่งขึ้น ระบบไอเสียที่ถูกปรับแต่งใหม่หมด พร้อมตัวกรองอนุภาคใหม่ล่าสุดเพื่อลด Co2 มีการแยกท่อระบายออกเป็นสองชุด พร้อมบายพาสวาว์ลที่ให้เสียงท่อสไตล์สปอร์ตที่ดุดัน การแยกท่อระบายออกจากกัน เพื่อทำให้การระบายไอเสียคล่องขึ้น Audi พยายามอธิบายว่า RS Q3 มีเสียงท่อที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของรถยนต์ในเวอร์ชัน RS ในขณะที่ระบบไอเสียแบบ RS Sport ที่เข้ามาขายในไทย จะได้ปลายท่อสีดำ ซึ่งส่งเสียงคำรามผสมผสานกับการตั้งค่าในโหมดการขับแบบใหม่ เช่น โหมด RS1 และโหมด RS2 วาล์วบายพาสในท่อจะเปิดออกจนสุด มอบเสียงที่เต็มไปด้วยพลังคล้ายเสียงเครื่องยนต์ V8 ที่ดังกระหึ่ม พร้อมเสียงระเบิดปะทุเวลาเปลี่ยนเกียร์ หรือยกคันเร่ง เกียร์ทวินคลัตช์มีการปรับตั้งอัตราทดให้สอดคล้องกับการทำความเร็วและความประหยัดไปพร้อมๆ กัน
การทำงานของเครื่องยนต์ห้าสูบได้รับการปรับแต่งเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะใช้งานในเมืองด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำ ในย่าน 1,500-2,000 รอบต่อนาที หรือเอาลงไปอัดในพีระเซอร์กิตด้วยโหมด RS1 ความยืดหยุ่นของเครื่อง 5 สูบ นั้นน่าประทับใจ ขั้นตอนการทำงานเริ่มจากเทอร์โบชาร์จเจอร์ อัดอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้ด้วยแรงดันสูงสุดถึง 1.35 บาร์ ส่วนชุดลดอุณหภูมิไอดีหรืออินเตอร์คูลเลอร์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดอุณหภูมิเพื่อให้บรรลุความเข้มข้นของออกซิเจนสูงสุด สำหรับการจุดระเบิดที่สมบูรณ์เพื่อสร้างพลังงาน เพลาลูกเบี้ยวไอดีและไอเสียแบบแปรผัน ที่ฝั่งไอเสีย ระบบวาล์วยกของ Audi หรือ Audi valvelift system (AVS) จะเปลี่ยนระยะเวลาเปิดของวาล์ว การเปิดขึ้นอยู่กับองศาของคันเร่งและความเร็วรอบเครื่องยนต์ในสองระดับ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงใช้หัวฉีดไฟฟ้าแบบใหม่ สามารถฉีดเชื้อเพลิงเข้าทางช่องไอดีโดยตรง ตามความต้องการของเครื่องยนต์ ผสานกับระยะเวลาและลักษณะของการฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง หัวฉีดไฟฟ้าสามารถปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องยนต์ตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงรอบสูงสุด
ใน RS Q3 แรงบิดจากเครื่องยนต์ส่งผ่านไปยังเกียร์คลัตช์คู่ S tronic 7 สปีด แล้วถ่ายลงไปยังระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบถาวร Quattro เกียร์ต่ำในตำแหน่งเกียร์ 1-2-3 ของเกียร์คลัตช์คู่ให้ความรู้สึกสั้นและกระชับในแบบไดนามิก ในขณะที่เกียร์ 7 ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ในย่านความเร็วเดินทาง (ที่ถูกกฎหมาย) เพื่อลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อใช้โหมดสูงสุดและขับเร็วขึ้น เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนความร้อนที่ดีของระบบเกียร์ขณะใช้งานในรอบเครื่องยนต์สูงอย่างต่อเนื่อง น้ำมันเกียร์ เฟืองดอกจอก กับเพลาประกอบ มีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม น้อยกว่าเกียร์รุ่นที่ผ่านมา พร้อมระบบหล่อลื่นที่สมบูรณ์แบบของเกียร์ทวินคลัตช์ คุณสามารถสั่งงานให้เกียร์ S tronic 7 สปีด ทำงานโดยอัตโนมัติ หรือเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองในรูปแบบเกียร์ธรรมดาหรือแมนนวล การเปลี่ยนอัตราทดจะตอบสนองอย่างรวดเร็วผ่านคันเกียร์ที่ถูกดันไปด้านซ้าย หรือใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift โปรแกรมการขับขี่โหมดอัตโนมัติ ในโหมด D เครื่องยนต์ 5 สูบสายโหด ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานปกติประจำวัน โดยเฉพาะการขับในเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น มันจะเงียบเมื่อใช้รอบต่ำ และคำรามอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อกระแทกคันเร่ง โหมด S เกียร์จะตอบสนองเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ด้วยการเตรียมความพร้อมในการเร่งความเร็ว การเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงทำได้เร็วและไหลลื่นสุดๆ
Toyota Hilux REVO D Z-Edition 2.4 A/T
ดีไซน์ภายนอกของเตี้ยหน้าหล่อ REVO D Z Edition 4x2 2.4 Mid AT หน้าตาก็เหมือน REVO รุ่นมาตรฐานทั่วไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่สิ่งที่แปลกใหม่กลับซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตัวถัง เริ่มจากไฟหน้า Bi-Beam LED มาพร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติระบบ Follow-Me-Home ระบบไฟหน้าปรับสูงต่ำ เฉพาะรุ่น 2.4 Mid และ Mid AT เรียกว่าจ่ายแพงขึ้นก็ได้ของที่ครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้น ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding กระจังหน้าสีดำเมทัลลิกและโครเมียม โป่งล้อ Wide Body ทำให้ล้อ 17 นิ้วลาย 10 ก้านคู่ ดูเล็กลงไปเลย เพราะมีซุ้มล้อใหญ่แต่ล้อและยางไม่ได้เต็มซุ้ม ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะใช้งานได้จริง ไม่ต้องมาวิ่งย่องๆ หยอดเพราะล้อโตยางเตี้ย เสี่ยงต่อยางฉีกล้อคดอีกต่างหาก กระจกมองข้างสีดำปรับไฟฟ้าติดตั้งเลนส์ไฟเลี้ยวภายใน ที่ปัดน้ำฝันแบบหน่วงเวลา และปรับตั้งเวลาได้ มือจับที่เปิดประตูสีดำ สัญลักษณ์ Hilux และสติกเกอร์ Toyota 60 Year in Thailand บั้นท้ายเรียบง่ายเน้นการใช้งานพวกบรรทุกสัมภาระต่างๆ กระบะท้ายไม่มีวัสดุกันกระแทกติดมาให้คงต้องหาติดเอง ไฟท้ายแนวตั้งหลอดไฟสองแบบทั้ง LED และหลอดไส้ ไฟเบรกดวงที่สามอยู่เหนือมือจับที่เปิดฝาท้ายพลาสติกสีดำ น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่รถกระบะรุ่นนี้ไม่มีกล้องมองหลังพร้อมเซนเซอร์ ทำให้การขับถอยหลังต้องใช้ความระมัดระวังและไม่สะดวกเท่าที่ควร หากอยากติดกล้องมองหลังก็สามารถหาติดตั้งได้ทั่วไป แต่ Toyota น่าจะติดมาให้มากกว่าจะให้ลูกค้าไปหาติดเอง Toyota Hilux REVO D Double Cab Z Edition 4×2 2.4 Mid AT ราคา 805,000 (คันทดสอบ)
เทคโนโลยี Economy with Superior Thermal Efficient Combustion หรือ ESTEC หัวฉีดคอมมอนเรลไดเรคอินเจคชันที่มีแรงดัน 1,350 บาร์ พ่วงเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Thermo Swing Wall Insulation Technology (TSWIN) คือการชุบหัวลูกสูบด้วย silica-reinforced porous anodized aluminum (SiRPA) ลดการสูญเสียการหล่อเย็นลูกสูบก่อนการจุดระเบิดได้ 30% เทอร์โบชาร์จแบบแปรผัน มีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เทอร์โบชุดใหม่นี้มีความเล็กกว่ารุ่นเดิมราวๆ 30% การปรับปรุงทำให้มีแรงบิดสูงสุดในช่วงที่กว้างขึ้นมากกว่าเดิม แรงดันอากาศจากเทอร์โบยังเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ง่ายขึ้น เปลี่ยนแปลงท่อทางเดินอากาศในเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อลดการสูญเสียกำลังในจังหวะดูด ทำให้มีประสิทธิภาพในการดูดอากาศดีขึ้น 10%
ขั้นตอนการจุดระเบิด มีการปรับการสั่งจ่ายน้ำมันให้เหมาะสม โดยเฉพาะการปรับการสั่งจ่ายน้ำมันและเวลาที่จ่ายน้ำมัน เพื่อให้เกิดการจุดระเบิดที่สมบูรณ์แบบเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดทำได้ 400 นิวตันเมตร ไอ้แรงบิดที่ว่าเนี่ยแหละครับที่ทำให้เตี้ย REVO D รุ่นนี้ขับสนุกใช้ได้ แม้จะไม่แรงเท่า Hilux GR 2.8 แต่กำลังและการพุ่งทะยานของ 2GD-FTV (High) ด้วยแรงบิด 400 นิวตันเมตร มีส่วนช่วยทำให้รถคล่องตัวมากทั้งในและนอกเมือง เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ดีเซลเทอร์โบ เดินเบาแล้วมีเสียงการทำงานเบากว่า 1 GD-FTV จากขนาดตัวเครื่องที่โตกว่า ความกะทัดรัดของ 2 GD-FTV ยังทำให้ประหยัดเชื้อเพลิง ขับเรื่อยๆ ทำได้ 14.5 กิโลเมตรต่อลิตร อันนี้ดีเลยทีเดียว และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นสปอร์ตโหมด (Power Mode) แล้วกดคันเร่งอย่างต่อเนื่อง ลากขึ้นลงบนเนินเขาแถบมวกเหล็กจนมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยสปีดความเร็วน้องๆ รถมูลนิธิ ผมทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 12.2 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่แนะนำให้ขับด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองดังกล่าวนะครับ
Nissan Kicks e:Power
สำหรับคนที่ชอบรถประหยัดและมีการตอบสนองที่ดี C-HR และ Kicks ดูจะเหมาะกับการขับที่เน้นสมรรถนะทั้งการเร่งความเร็วและความประหยัดที่ควบคู่กันไป ลูกค้าใหม่ที่ได้ลองขับ ก็จะรู้ว่า Kicks เป็นรถที่ขับสนุกและมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่โดดเด่นและการเร่งจากจุดหยุดนิ่งนั้นทำได้ดี ขับเรื่อยๆ ในเมือง ก็เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันไม่แพ้เจ้าตลาดอย่าง Corolla Cross Hybrid และ Honda HR-V e:HEV ยิ่งถ้าใช้ระบบหน่วงชาร์จให้เป็นด้วยการฝึกเบรกบ้าง อัตราการสิ้นเปลืองยิ่งจะดีขึ้น อุปกรณ์บางอย่างไม่มี เช่น ช่องแอร์หลัง ฝาท้ายเปิดด้วยไฟฟ้า แต่ด้วยราคาใหม่ที่ถูกลงเป็นแสนทำให้มีจุดที่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน Kicks MY2022 มีกล้องรอบคัน (Honda HR-V ไม่มี) และ Auto Brake Hold/เบรกมือไฟฟ้า (ซึ่ง Corolla Cross ไม่มี) มันคือรถที่มีข้อดีหลายอย่าง แต่ต้องต่อสู้อยู่ในกลุ่มของลูกค้าที่ส่วนใหญ่เทใจไปให้กับ Toyota Corolla Cross กับ Honda HR-V สองปีผ่านไป ความพยายามประชาสัมพันธ์เชิงบวกของ Nissan ดูจะมีความหวังมากกกว่าเดิมเมื่อ Nissan เปิดตัว Kicks ใหม่ โมเดลปี 2022 พร้อมราคาที่ลดลงเป็นแสน นั่นทำให้ความสนใจกลับมาทันที Nissan Kicks AUTECH ราคา 949,000 บาท (คันทดสอบ)
ระบบขับเคลื่อนกึ่งไฟฟ้าของมันทำให้ไม่ต้องมานั่งชาร์จพลังงาน เพราะใช้เครื่องยนต์เป็นเครื่องปั่นไฟในตัวเอาไปเก็บในแบตฯ แล้วแปลงพลังงานไฟฟ้าถ่ายเทตรงๆ ไปยังมอเตอร์ขับเคลื่อน Nissan Kicks MY2022 เป็นรถยนต์คอมแพ็กครอสโอเวอร์ที่มีการปรับปรุงใหม่ให้โดนใจมากกว่าเดิม ในเวอร์ชันของปี 2022 มาพร้อมเทคโนโลยี e:power เจเนอเรชัน 2 (2nd Generation e-POWER) ระบบขับเคลื่อนกึ่งรถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ต้องพึ่งพาการชาร์จไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่จากภายนอก อัตราเร่งตีนต้นจิ้ดใช้ได้ และมีช่วงล่างกับพวงมาลัยที่ทำให้ขับสนุก ส่วนจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่หรือไม่ ก็น่าจะอยู่ที่ว่า คุณไม่ต้องไปกลัวว่าแบตฯ จะหมดกลางทาง หากมีน้ำมันเหลืออยู่ในถังมากพอ ก็ไปต่อได้เลย อัตราสิ้นเปลือง ขับเร็ว 15 กิโลเมตรต่อลิตร ขับเรื่อยๆ 17 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อน้ำมันใกล้หมดก็เข้าสถานีบริการเชื้อเพลิง ใช้เวลาเติมแค่ 2 นาที ก็เต็มถังออกไปวิ่งต่อได้อีก 500 กิโลเมตร โดยไม่ต้องรอชาร์จเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งต้องใช้เวลาในการชาร์จไฟ 1-2 ชั่วโมง
เครื่องยนต์สันดาปภายในของระบบอี-พาวเวอร์ รับหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟใส่แบตฯ ขุมกำลังขนาดเล็กนี้ ถูกกำหนดให้มีการทำงานในรอบเครื่องที่เหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับรถยนต์ไฮบริดใกล้เคียงกับ Toyota Corolla Cross เครื่องยนต์ HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร 3 สูบแถวเรียง DOHC (Double Overhead Camshaft) 12 วาล์ว ทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ต่อพ่วงไปยังส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าหลัก เช่น เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) มอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (Nm) แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 2.06 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) จำนวน 4 โมดูล 96 เซลล์ เร่งความเร็วราบรื่น เงียบใช้ได้ และการประหยัดน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ Nissan เคลมอัตราประหยัดน้ำมันถึง 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร ขับจริงอย่างที่บอกว่า ถ้าขับเร็วก็กิน 15 กิโลลิตร ขับเรื่อยๆ ขยายไปได้ถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร
การทรงตัวในย่านความเร็วสูงจากโช้คอัพและสปริง รวมถึงคานแข็งที่เซตมาใช้ได้ในระบบรองรับด้านหลัง Kicks วิ่งในย่านความเร็วสูงได้อย่างมั่นคง การไต่ระดับความเร็วหรือการเร่งแซงจาก 120 ไปจนถึง 150 ว่องไวใช้ได้ แต่ความเร็วที่ทะลุผ่าน 150 ไปแล้วจะไต่เข้าไปในย่าน 160-180 นั้นจะค่อยๆ ช้าลง ไม่ขึ้นเร็วเหมือนช่วงออกตัว ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผมไม่มีโอกาสได้ลอง มันเร็วเกินไปที่จะขับด้วยความเร็วสูงในรถไซส์เล็ก แต่เพื่อนสื่อบอกว่า ไปถึงย่านสูงสุดก็ยังนิ่งใช้ได้ ไม่เสียวสันหลังเหมือนรถแบรนด์คู่แข่งบางรุ่นที่แหว่งตั้งแต่เกิน 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จุดนี้พอขับด้วยความเร็วปกติ 110-120 จะควบคุมรถได้สบายจนแทบจะหลับละครับเพราะแอร์พี่เค้าเย็นเหลือเกิน
ชุด Inverter ใหม่ ทำให้น้ำหนักที่ตกบนคานหน้าเบาลง ในขณะที่ด้านหลังของรถนั้น แบตเตอรี่ติดรถ มีการเพิ่มความจุจาก 1.57kWh เป็น 2.06kWh วิ่งมอเตอร์เพียวๆ ทำระยะทางได้ 3.5 กิโลเมตร มากกว่าคู่แข่งไฮบริดในระดับเดียวกันเล็กน้อย คู่แข่งที่เป็นไฮบริดแท้ๆ จะมีความจุไฟแบตเตอรี่แค่ 1.0-1.36kWh ทำให้ระบบขับเคลื่อน e-Power ของ Kicks ที่ใช้เครื่องยนต์ปั่นกระแสไฟ มีจุดเด่นในเรื่องระยะทาง สามารถวิ่งได้ในโหมด EV ด้วยความเร็วต่ำโดยเครื่องยนต์ยังคงหลับอยู่ การวิ่งด้วยไฟฟ้าไกลกว่ารถไฮบริดคู่แข่งคืออีกหนึ่งจุดเด่น คุณสามารถกดปุ่ม EV เพื่อบังคับให้รถวิ่งแบบเครื่องไม่ติดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะเหลือน้อย กดปุ่ม EV ค้างเอาไว้ 3 วินาที เพื่อสั่งการให้เครื่องติดชาร์จไฟให้เกือบเต็มก่อนขับด้วย EV Mode ได้เช่นกัน แต่การจะใช้ปุ่ม EV กระทำสิ่งใดๆ ได้นั้น ต้องอยู่ในโหมด SPORT หรือ ECO ซะก่อน ในจุดนี้ Nissan ควรจะปรับให้สั่งทำงานในโหมดปกติได้ จะเข้าใจง่ายกว่านี้ การวิ่งด้วยความเร็วต่ำจากการทำงานของมอเตอร์มีแค่เสียงหวี่เบาๆ เหมือนแมลงตัวเล็กกำลังกระพือปีก เหมาะกับการไหลตามสภาพการจราจรในช่วงเย็นของกรุงเทพฯ แต่ถ้าออกมาทางไกลแบบนี้ ผมชอบระเบิดพลังงานเพื่อดูการตอบสนองด้านกำลังและการทรงตัว พอรู้เรื่องว่าใช้ได้ดีพอๆ กับคู่แข่งแล้วก็กลับมาขับด้วยความเร็วปกติ จนกว่าถนนจะกลับมาโล่งถึงจะเติมความเร็วขึ้นไปอีกเพื่อไปให้ทันกับแสงในโลเคชันที่เลือกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง
Mercedes-AMG CLS53 Facelift 2022
ระบบส่งกำลังซึ่งเป็นที่มาของความสนุกและความบันเทิงหลังพวงมาลัย ความสามารถในการทำความเร็วและการบริหารจัดการกับพลังงาน เครื่องยนต์เบนซินจากการปรับแต่งของแผนกมอเตอร์สปอร์ต AMG ที่ประจำการอยู่ในรถสปอร์ตรหัส 53 เป็นแบบแถวเรียง 6 กระบอกสูบ รหัส M256 อัดอากาศด้วยเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ เป็นเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ตราดาว ระบบ EQ Boost ใช้ไดสตาร์ตทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ตด้วย ISG มอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลัง 16 กิโลวัตต์ กับแรงบิด 250 นิวตันเมตร โดยวางแทรกอยู่ในชุดเกียร์ 9G-Tronic คอยเสริมแรงและรับหน้าที่ส่งกำลังไฟฟ้าไปหมุนปั๊มน้ำกับคอมเพรสเซอร์แอร์ ทำให้ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้สายพานหน้าเครื่องยนต์อีกต่อไป ช่วยลดกำลังที่สูญเสียไปกับแรงเสียดทาน ช่วยทำให้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงของ AMG มีขนาดที่สั้นลง เมื่อทำงานร่วมแกนกับระบบไฮบริดจิ๋วขนาด 48 โวลต์ E-Compressor หรือที่ Mercedes เรียกว่า EQ Boost ช่วยลดอาการรอรอบ หรือเทอร์โบแลคได้ดี เมื่อกดคันเร่งเต็มที่ แรงบิดสูงสุดจะมาเร็วมากในเวลาแค่ 0.2 วินาที ตั้งแต่ยังไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาที แรงบิดก็เทออกมาจนเกือบหมดแล้ว
เครื่องยนต์ Mercedes-Benz M256 มีระบบสตาร์ตเตอร์-อัลเทอร์เนเตอร์ (ISG) ที่ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์อัตโนมัติ ต่อเชื่อมกับระบบไฟฟ้าออนบอร์ด 48V ISG ยึดติดกับเพลาข้อเหวี่ยงอย่างแน่นหนา และแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างเพลาขับกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน 48V ที่มีปริมาณพลังงานเกือบ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระบบไฟฟ้า 48V จ่ายไฟให้กับปั๊มน้ำไฟฟ้าและคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ระบบอัดอากาศเป็นคุณสมบัติหลักของเครื่องยนต์ M256 เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ twin-scroll turbocharger พร้อมท่อร่วมไอเสียที่หุ้มฉนวน คอมเพรสเซอร์ไฟฟ้าเพิ่มเติม (eZV) ที่รวมอยู่ในระบบไฟฟ้า 48 โวลต์ คอมเพรสเซอร์เสริมไฟฟ้า ขจัดเอฟเฟกต์ของอาการเทอร์โบแล็ก ครีบเทอร์ไบน์สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 70,000 รอบต่อนาที ภายใน 300 มิลลิวินาที เป็นเทอร์โบไฟฟ้าที่มีศักยภาพสูง
เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียงเทอร์โบคู่ รหัส M256 ใน AMG CLS53 ใช้ฝาสูบแบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป DOHC 4 วาล์วต่อสูบ = 24 วาล์ว ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5:1 กำลังสูงสุดมากถึง 435 แรงม้า ที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร หรือ 52.98 กิโลกรัม/เมตร ในย่าน 1,800-5,800 รอบต่อนาที ระบบ EQ Boost Assist ทำงานร่วมกับ EQ Boost Starter Generator กำลัง 16 กิโลวัตต์ หรือ 22 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ 25.45 กิโลกรัม/เมตร แบตฯ ลิเทียมไอออนความจุ 48V เสริมอัตราเร่งด้วยการป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ที่ฝังอยู่ในเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G-Tronic ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ all-wheel drive ชุดกระจายแรงบิด fully variable torque distribution เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ ทวินเทอร์โบหรือเทอร์โบคู่พร้อมชุดลดอุณหภูมิไอดีอินเตอร์คูลเลอร์ตัวนี้ สร้างกำลังได้มากถึง 320 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร สมรรถนะของ CLS 53 AMG เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 8.7 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร อัตราการปล่อย CO2 200 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร
จุดเด่นของ CLS 53 ก็คือ ความเป็นรถของคนที่ค่อนข้างมีอายุ วัยรุ่นส่วนใหญ่ หันไปหา C43 รุ่นพิเศษก่อนปิดไลน์ผลิต หรือ E53 Coupe คูเป้คันโตที่ดูดี มากกว่าจะเทใจให้กับรถซาลูนที่ดูสูงวัย สัมผัสของ AMG CLS แตกต่างจากรถสปอร์ตพลังสูงทั่วไป เป็นรถที่ถูกปรับให้นั่งขับได้สบายตัว เงียบใช้ได้ในโหมดที่เหมาะสมกับการขับในเมือง ช่วงล่างไม่ได้แข็งเหมือน AMG ตระกูล GT เครื่องยนต์ V8 แต่เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงก็ดึงหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน สำหรับ CLS เวอร์ชัน 53 คือรุ่นสูงสุดโดยไม่มีรุ่น 63 อีกต่อไป ตัวถังสีดำได้รับความนิยมมากที่สุดในไทย ตามด้วยสีขาวที่เห็นได้น้อยกว่ามาก มีเจ้าของ 53 บางคนเอาไปติดสติกเกอร์สีเทาด้าน หรือดำด้าน ก็ยิ่งทำให้รถดูดุดันมากยิ่งขึ้น สัญลักษณ์ Turbo 4Matic+ แจ้งเตือนรถรอบข้างให้รับรู้ถึงขุมกำลัง AMG ที่มีระบบอัดอากาศและการขับเคลื่อนทุกล้อ สปอยเลอร์หลังทรงตูดเป็ดก็ดูดี โดยไม่จำเป็นจะต้องติดวิงหลังที่ดูเหมือนรถซิ่งวัยรุ่นมากเกินไป เป็นรถซาลูนของเศรษฐีที่ชอบความเรียบง่ายและไม่ชอบความฉูดฉาด เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว ผมทะยานผ่านชายหาดแถวสามร้อยยอดมุ่งหน้าไปทางที่ทำการอุทยาน โดยพยายามขับแบบประคองไม่ใช้ความเร็วสูงเนื่องจากเข้าเขตอุทยานที่มีชุมชน หัวโค้งของทางในแถบนั้นคือจุดที่เบรกแสดงศักยภาพออกมา คนที่ครอบครอง CLS 53 บางคนที่ต้องการความสุดในด้านพลังของการหยุดยั้งมักจะเปลี่ยนเป็นเบรก AMG 6-8 พอต คาร์ลิปเปอร์สีแดงพร้อมจานเบรกเจาะรูระบายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เบรกเดิมๆ ก็เอาอยู่ แต่ก็ต้องเบรกเร็วกว่าเดิมเพื่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพของเบรกแบบ 4 พอต ก็พอใช้งานได้ แต่ถ้าติดนิสัยไปไวกว่าคนอื่น ชอบเบรกหนักๆ ไม่ชอบเลียเบรก ก็ควรจะเปลี่ยนเบรกที่ใหญ่กว่าและสามารถรองรับการขับเร็วโดยเฉพาะการเอาลงไปอัดในสนามแข่งรถ
Mercedes-Benz EQS 500 4MATIC
เมื่อพูดถึงยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและคู่แข่งที่สามารถเบ่งระยะทางได้ไกลเป็นพิเศษ Model S ของอีลอนและเหล่าบรรดาสาวกผู้ภักดี (แต่ไม่มีเงินซื้อ!) ที่ปรับโฉมแล้ว มีงานประกอบภายในไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าที่ควร หากคุณต้องการรถ "ของจริง" ที่สามารถซื้อ "ตอนนี้" ได้ คุณจะต้องเลือกรถที่มีช่วงการชาร์จที่สั้นกว่า และทำระยะทางได้ไกลมากพอที่จะวิ่งไปถึงจุดหมาย BMW i7 ทำระยะทาง เฉียดๆ 600 กิโลเมตรนั้นไกลมาก Audi RS e-Tron GT ทำได้ 504 กิโลเมตร และ Taycan ของ Porsche ก็ทำระยะทางได้แค่ 484 กิโลเมตร ทั้งหมดทำระยะทางได้ใกล้กว่า EQS500 4Matic ที่เบ่งบานระยะทางได้ไกลกว่ามาก ระยะทาง 600 กิโลเมตรของ BMW และ 484 กิโลเมตรของ Porsche พลังงานไฟฟ้า อาจไม่น่าประทับใจเท่า Mercedes EQS ที่วิ่งได้เฉียดๆ 700 กิโลเมตร ส่วนการตกแต่งภายของ i7 ที่ดูแตกต่างไปจากความไฮเปอร์ของ EQS ด้วยการใช้แรงจูงใจจากงานตกแต่งภายในสไตล์โรงหนังเคลื่อนที่กับราคาที่ถูกกว่า (7,599,000 บาท) สำหรับ EQS500 4Matic รุ่นประกอบในประเทศ มีการติดตั้งระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพน่าประทับใจ ทำให้ยืดระยะทำการได้ไกลกว่าแบรนด์ตราใบพัดหรือม้าคะนองจากสตุดการ์ด หรือแม้แต่สุดหล่อสี่ห่วง หน้าจอสาระบันเทิงขนาดใหญ่ยักษ์ที่บรรจุสารพัดฟังก์ชันจนใช้งานไม่หมด ในจุดนี้ EQS ยังเป็นรถที่ทำคะแนนได้สูสีกับ i7 แต่ไม่ใช่ที่ราคาค่าตัว!
Mercedes-Benz Thailand จัดซาลูนหรู EQS 500 4MATIC มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic กำลัง 330kW หรือ 449 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 828 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า มอเตอร์ด้านหน้าและด้านหลังจำนวนสองตัว ทำงานผ่านระบบเฉลี่ยแรงบิดด้วยซอฟต์แวร์แบบใหม่ในชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic เพื่อเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียงแค่ 4.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชม. ด้วยราคาในรุ่น CKD ประกอบในประเทศที่ 7,900,000 บาท แพงกว่าคู่แข่งอย่าง BMW i7 301,000 บาท
EQS ใหม่น่าจะได้รับรางวัลด้านความลู่ลมหรือแอร์โรไดนามิก ด้วยตัวเลขสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศแค่ 0.20 (cd 0.20) การตกแต่งภายในที่ทันสมัยและยอดเยี่ยมในด้านเทคโนโลยี รวมถึงรางวัลด้านประสิทธิภาพการใช้งานระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ด้วยจอแสดงผลแดชบอร์ดแบบพาโนรามาและการตกแต่งที่หรูหราตามสไตล์เรือธงไฟฟ้าของแบรนด์ตราดาว สำหรับการจัดอันดับ WLTP อย่างเป็นทางการนั้น EQ500 4Matic รุ่นประกอบในประเทศ สามารถวิ่งได้ไกลถึง 700 กิโลเมตร นี่คือยานไฟฟ้าตัวพ่อรุ่นพื้นฐาน ซึ่งมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ที่จุไฟได้มากกว่ารถคู่แข่งอย่าง Audi e-Tron GT หรือแม้แต่ Porsche Taycan และ Teala Model S แม้จะมีอัตราเร่งตีนต้นเป็นรองคู่แข่งอย่าง Model S แต่ความสามารถในการทำระยะทางมากถึงกว่า 700 กิโลเมตร กลายเป็นจุดแข็งที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพของการใช้งานยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในยุคแรกเริ่ม
EQS500 4Matic กับชุดแต่งเสริมความหล่อแบบใหม่ที่นำมาใช้ในยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Mercedes-Benz ซาลูนหรูที่มีขนาดตัวถังสูสีกับ CLS มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 108.4kWh รองรับการชาร์จ DC 200kW และสามารถชาร์จไฟใส่แบตเตอรี่ จาก 10% ถึง 80% ใน 31 นาที แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เก็บประจุไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ 0.6kWh เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา และช่วยให้ EQS 500 4MATIC วิ่งได้ไกลประมาณ 678 กม. (WLTP) ระบบชาร์จไฟ ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC 11kW ชาร์จไฟจาก 0-100% ใน 11 ชั่วโมง 30 นาที ชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC Fast Charging หรือการชาร์จแบบด่วนได้ 207 kW ชาร์จไฟฟ้าจาก 10-80% ใน 32 นาที หัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo
MBUX Hyperscreen ของ EQS เป็นไฮไลต์จอแสดงผลขนาดยักษ์ที่สมบูรณ์แบบที่เชื่อมโยงกับงานตกแต่งภายในได้อย่างกลมกลืนและสวยงาม หน้าจอมอนิเตอร์โค้งขนาดใหญ่นี้ ครอบคลุมจากเสาหน้าด้านซ้ายถึงขวา ดูเหมือนว่าหน้าจอสามตำแหน่งจะรวมเป็นหนึ่งเดียวเมื่ออยู่ใต้ฝาครอบกระจกเดียวกัน จอแสดงผล OLED ขนาด 12.3 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า มีพื้นที่แสดงผลและพื้นที่ควบคุมของตัวเอง ฟังก์ชันด้านความบันเทิงพร้อมระบบรักษาความปลอดภัย ตามระเบียบกฎหมายเฉพาะบางประเทศ Mercedes-EQ ใช้ตรรกะการทำงานที่ชาญฉลาดของกล้องภายใน หากกล้องตรวจพบว่าคนขับกำลังดูหน้าจอของผู้โดยสารด้านหน้า กล้องจะหรี่แสงบนจอภาพโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการเสียสมาธิของคนขับ
ซอฟต์แวร์ที่ปรับเปลี่ยนได้ MBUX จะปรับระบบอินโฟเทนเมนต์ให้เข้ากับผู้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และให้คำแนะนำส่วนบุคคลสำหรับระบบสาระบันเทิง ความสะดวกสบาย และฟังก์ชันต่างๆ ของรถ ด้วย zero layer แอปพลิเคชันที่สำคัญจะถูกนำเสนอในระดับบนสุด ภายในขอบเขตของการมองเห็นจากสายตาของคนขับเสมอ ทำงานขึ้นตรงตามสถานการณ์และบริบทของการขับเพื่อความปลอดภัย ระบบช่วยเหลือผู้ขับรุ่นล่าสุด มีฟังก์ชันช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบใหม่ เช่น การเตือน microsleep เพิ่มเติมจาก ATTENTION ASSIST โดยระบบ จะทำการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของเปลือกตาของคนขับ ผ่านกล้องบนจอแสดงผลของคนขับ (ใช้ได้เฉพาะกับ MBUX Hyperscreen) จอแสดงผลสำหรับคนขับจะแสดงการทำงานของระบบช่วยเหลือในการขับขี่ในมุมมองแบบเต็มหน้าจอที่เข้าใจได้ง่าย
การติดตั้งแผงหน้าปัดมาตรฐานของ EQS นั้นคล้ายกับของ S-Class ใหม่ โดยมีแผงหน้าจอสามตำแหน่งที่กว้างขวาง ซึ่งขยายความกว้างของห้องโดยสารให้ดูใหญ่โตเกินความเป็นจริง หน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว และคลัสเตอร์เกจมาตรวัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว ที่ปรับการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย การออกแบบห้องโดยสารของ EQS แตกต่างจาก S-Class อย่างเห็นได้ชัด รูปทรงปีกของแผงหน้าปัด ช่องระบายอากาศสไตล์เทอร์ไบน์อันน่าทึ่งที่มุมทั้งสองข้างของแดชบอร์ดส่วนบน ช่องระบายอากาศบางเฉียบ พื้นที่เปิดโล่งมากมายใต้คอนโซลกลางสำหรับเก็บของกระจุกกระจิก และแผงประตูที่อุดมไปด้วยสวิตช์ปรับตั้งกระจก ม่านไฟฟ้าและเบาะนั่ง เป็นเอกลักษณ์ของรถรุ่นเรือธงที่จะต้องมีแผงประตูอลังการ การออกแบบห้องโดยสารของ EQS นั้นดูดีที่สุดในโทนสีอ่อน แม้ว่ารถทดสอบใช้หนังสีเทาที่นุ่มนิ่มนั่งสบาย วัสดุพวกไม้มีการเคลือบผิวป้องกันรอยขีดข่วน
จอภาพ Hyperscreen แทนที่แผงหน้าปัดทั้งหมดด้วยแผงกระจก Gorilla Glass ขนาด 56 นิ้วขนาดใหญ่ที่มีจอแสดงผลสามแบบแยกกัน: แผงมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว, หน้าจอสัมผัส OLED ส่วนกลางขนาด 17.7 นิ้ว และหน้าจอสัมผัส OLED ขนาด 12.3 นิ้วที่ด้านหน้าผู้โดยสารตอนหน้า หากแสงตกกระทบกระจกโดยตรง จะเห็นแสงสะท้อนเล็กน้อยและมองเห็นช่องว่างระหว่างหน้าจอได้ แต่การออกแบบให้รอยต่อในจอภาพ Hyperscreen เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของ EQS และเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง การออกแบบระบบปฏิบัติการ MBUX ไม่ว่าคุณจะเปิดเมนู แอป หรือการตั้งค่าใด หน้าจอหลักก็อยู่ห่างออกไปเพียงแค่แตะสั่งงานครั้งเดียว และระบบควบคุมสภาพอากาศภายในห้องโดยสาร จะอยู่ในแถบที่ฐานของหน้าจอเสมอ แผนที่การนำทางขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็นหน้าจอหลัก โดยมีวิดเจ็ตลอยตัวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นที่มุมต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดอะไรไว้ เช่น ดนตรีหรือเครื่องนวดที่นั่ง คุณลักษณะการนำทางที่เติมความเป็นจริงของ Mercedes นั้นยอดเยี่ยมบนจอภาพ Hyperscreen มันสามารถแสดงหน้าด้วยมุมมองของกล้องด้านหน้า ควบคู่ไปกับแผนที่จากบนลงล่างพร้อมการแจ้งเตือนทิศทาง ของแถมอีกอย่างของหน้าจอตรงกลางคือจอแสดงผลที่ใหญ่ที่สุดรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สาย.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/