เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น อากาศร้อนจะส่งผลกระทบต่อการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่งผลทั้งระยะทางวิ่งและประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า EVมีแนวโน้มที่จะเกิดความร้อนสูงเกินไปและมากกว่ารถยนต์ทั่วไป ด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก แบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพการทำงานต่ำลงในสภาพอากาศร้อนจัด เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้อิเล็กตรอนในแบตเตอรี่เคลื่อนที่ช้าลง ส่งผลให้ปริมาณพลังงานที่มีอยู่ลดลงตาม การคายประจุมักจะเกิดขึ้นเมื่ออากาศร้อนจัด หรือระบบระบายความร้อนแบตฯไม่มีประสิทธิภาพในการหล่อเย็นมากพอ
...
ประการที่สอง รถยนต์ไฟฟ้า EV ไม่มีเครื่องยนต์ เหมือนกับรถยนต์สันดาปภายในเพื่อกระจายความร้อน การขาดเครื่องยนต์สันดาปภายในหมายความว่าไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้แบตเตอรี่เย็นลง อาจทำให้แบตเตอรี่ร้อนเกินไปและทำให้ระยะทางลดลง แม้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่จะมีประสิทธิภาพสูงในรถยนต์ไฟฟ้าราคาแพง แต่สภาพอากาศที่ร้อนจัดทะลุ 41-43 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูร้อนของไทยส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนโดยตรง
แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจะมีประสิทธิภาพการจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้ดีที่สุด ในอุณหภูมิที่กำหนด โดยหลักการแล้วจะอยู่ระหว่าง 22 ถึง 32 องศาเซลเซียส เมื่ออากาศร้อนจัดบวกกับระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ของรถ EV ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ อากาศร้อนสามารถทำให้ระยะทางการวิ่งหดหายไปถึง 15% เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 36 องศาเซลเซียส ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเดินทางระยะไกลในช่วงที่มีอุณหภูมิสูงมาก พยายามจอดรถไฟฟ้าไว้ในที่ร่ม เพื่อไม่ทำให้อุณหภูมิแบตเตอรี่สูงมากจนเกิดการคายประจุ
อีกวิธีในการต่อสู้กับอากาศที่ร้อนจัด คือ ตรวจสอบระดับไฟในแบตเตอรี่ก่อนออกเดินทาง เมื่อแบตเตอรี่มีไฟเหลือน้อย บวกกับอุณหภูมิภายนอกสูงถึง 38-39 องศาเซลเซียส แบตเตอรี่จะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะเกิดความร้อนสูงเกินไปหรือการคายประจุอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนออกเดินทางว่าชาร์จไฟมาเต็มเพียงพอต่อระยะทางที่จะไปและกลับหรือไม่ ทุกครั้งก่อนใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในสภาพอากาศร้อน แบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้วจะรักษาอุณหภูมิที่เย็นไว้ได้นานขึ้น ทำให้รักษาระยะทางที่จะไปถึงได้ตามการคำนวณ แต่เมื่อไฟในแบตฯเริ่มลดลง และอุณหภูมิภายนอกดันทะลุเกิน 40 องศา ระยะทางที่เหลือก็จะยิ่งหดสั้นลงจนอาจไปไม่ถึงสถานีชาร์จไฟที่วางแผนเอาไว้
ไม่ใช่แค่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในช่วงร้อนจัดเท่านั้นที่อาจทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น กระบวนการชาร์จเร็ว ชาร์จด่วน ชาร์จด้วยการอัดกระแสไฟแรงๆ ด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC ท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงจนปรอทแทบแตก อาจทำให้แบตเตอรี่ร้อนเกินไปจนชาร์จไม่เข้า หรือระบบชาร์จไฟของรถหยุดการทำงาน รถยนต์ไฟฟ้าเกือบทุกรุ่น มีระบบตรวจสอบอุณหภูมิของแบตเตอรี่ EV หากเซนเซอร์ระบบตรวจพบว่าแบตเตอรี่ร้อนเกินไปขณะชาร์จ ระบบจะชะลออัตราการชาร์จของรถโดยอัตโนมัติ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "การควบคุมปริมาณความร้อน"
...
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีที่กัดกร่อนอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชาร์จที่รวดเร็วด้วยไฟกระแสตรง DC การผสมผสานระหว่างการชาร์จเร็ว DC ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดเร่งอายุแบตเตอรี่ให้หดสั้นเร็วขึ้น
...
เมื่อลดความเร็วในการชาร์จ หันมาชาร์จไฟ AC ก็ต้องใช้เวลารอนานมาก หรือชาร์จได้แค่ในบ้านพักอาศัยเท่านั้น เมื่อออกทางไกลก็ชาร์จไฟ DC ทุกครั้งเพราะต้องเร่งรีบเดินทาง ท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงยันเพดาน ในรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีระบบลดปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้นกับแบตเตอรี่ ช่วยให้แบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่ปลอดภัย แต่การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงที่มีอุณหภูมิเย็นลงตอนกลางคืน ไม่ชาร์จไฟในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด ทำได้เมื่อไม่ได้เดินทางไกล ใช้ขับในเมืองระยะทางไม่เกิน 200-300 กิโลเมตร แต่สำหรับวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกเดินทางไกล จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชาร์จไฟ DC ได้เมื่อไฟกำลังจะหมดแบตฯและต้องรีบเดินทางต่อ
เคล็ดลับช่วยปกป้องรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงอากาศร้อน
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศให้เย็นลงได้ แต่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้งานที่ผิดวิธี เพื่อช่วยป้องกันระยะที่ลดลงและยืดอายุแบตเตอรี่
จอดรถในโรงรถ พื้นที่มีหลังคา หรือพื้นที่ร่มเงา
ระบายความร้อนรถยนต์ล่วงหน้าในขณะที่ยังเสียบปลั๊กอยู่ โดยใช้แอปหรือฟังก์ชันจับเวลา
...
ใช้ระบบปรับอากาศของรถยนต์เท่าที่จำเป็น อันนี้ยากที่จะทำ เนื่องจากถ้าปิดแอร์ขับก็เท่ากับอยู่ในนรกกันเลยทีเดียว
เติมลมยางอย่างเหมาะสม เพื่อลดแรงต้านการหมุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
ลดการนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นติดรถไปด้วย การลดปริมาณน้ำหนักลงไม่กี่กิโลกรัมก็สามารถเพิ่มระยะทางได้แม้ไม่มาก!
หากเป็นไปได้ หลีกเลี่ยงการขับรถและ/หรือการชาร์จไฟในช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน
ชาร์จแบตเตอรี่ EV ที่ 80% แทนที่จะเป็น 100% การชาร์จจนเต็มไม่มีประโยชน์ เมื่อไฟถึง 80% การชาร์จพลังงานจะเริ่มช้าลง ความต้านทานภายในและความร้อนสะสมมากขึ้น ส่งผลให้แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพลดลง
ใช้โหมดประหยัดแบตเตอรี่ ขับรถด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด ลดความเร็วให้อยู่ในระดับ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วางแผนการเดินทางและการชาร์จไฟเมื่ออากาศร้อนจัด แม้ว่า EV แต่ละรุ่นจะมีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนของแบตเตอรี่และมอเตอร์แตกต่างกัน แต่ทุกคันจะได้รับผลกระทบจากความร้อนเหมือนกันไม่มีข้อยกเว้น คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของระบบหล่อเย็นแบตเตอรี่ ว่าจะมีศักยภาพมากแค่ไหน หรือไม่สามารถชาร์จไฟได้จนกว่าอุณหภูมิของแบตเตอรี่จะลดลงมาจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ
การขับรถในอุณหภูมิสูง ส่งผลกระทบต่อรถยนต์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สันดาปภายในหรือรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับการใช้งานรถ EV ควรทำให้รถเย็นในวันที่ร้อนจัดซึ่งจริงๆ แล้วทำแทบจะไม่ได้เลยหากต้องขับเดินทางไกล ไม่เชื่อก็ตามใจลองดูไปสักสามสี่ปีว่าแบตฯจะเก็บไฟได้เท่าเดิมหรือหดหายไปกี่%.