ไทยรัฐออนไลน์สัปดาห์นี้ ว่ากันเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าต่อ จากการที่ผมได้อ่านบทความสรุปยอดขายของคุณหมู ธีรพัฒน์ อาชวเมธีกุล นักข่าวมือติดไฟแห่งช่อง AutolifeThailand เขาทำออกมาเป็นประจำ เห็นแนวโน้มยอดขายของ EV แล้ว ก็เลยยกหูหาด้วยความสนิท..และขออนุญาตคุณหมูเพื่อใช้สิ่งที่น้องเรียบเรียงมาเขียนบทความตัวเองด้วยความมักง่ายแบบนี้แหละครับ ฮ่า..แต่ผมอ่านข้อมูลแล้วก็มีความรู้สึกขึ้นมา แม้ว่ามันดูท่าแล้วว่าเราคงต้องรออีกสักพักกว่าที่รถใหม่ที่ขายในแต่ละปีจะมีรถที่เป็น EV เกิน 50% แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะประมาทกันแล้วสำหรับค่ายรถค่ายใดก็ตามที่ยังไม่ยอมเสนอทางเลือก EV ให้ลูกค้าอย่างจริงจัง

ยอดขายของรถในแต่ละเดือนนั้นประมาณ 4/10 คัน ที่ขายออกไปจะเป็นรถกระบะ หรือรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มนี้นั้นพวกรุ่นย่อยส่วนใหญ่ที่สร้างยอดขายได้เยอะมักจะเป็นพวกที่ราคาไม่เกินล้านบาท คนที่ซื้อก็มาจากทั่วประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่หัวเมืองใหญ่ที่อุดมไปด้วยสถานีชาร์จไฟเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนบทอันห่างไกล ที่อย่าว่าแต่ที่ชาร์จรถไฟฟ้าเลย บางที่จะใช้ไฟฟ้าทำงานอะไรสักอย่างยังต้องลุ้นว่าเมื่อไหร่ไฟจะถูกดับ ดังนั้นรถกลุ่มนี้จะเปลี่ยนพลังขับไปเป็นไฟฟ้าล้วนจึงไม่น่าจะเกิดภายในเร็วๆ นี้ แต่ในตลาดรถเก๋ง หรือรถส่วนบุคคลนั้น EV จีนยุคหลังมาทำตลาดดุมาก ถ้าคุณคิดว่าตอนมังกรจีนโดนซามูไรรุมฟันในอดีตสนุกแล้ว มาดูมังกรกระโดดกัดกันเองใน พ.ศ.นี้ มันและดุเดือดยิ่งกว่า โดยที่พอเป็นตลาด EV แล้ว ซามูไรญี่ปุ่นได้แต่ช่วยเมียตากผ้าอ้อมอยู่บ้าน ไม่มีตัวตึงมาแข่งกับจีนโดยตรง

...

ใครที่เคยคิดว่า EV จีนจะเป็นได้แค่ตัวประกอบตลาด กลับลำไป Edit ความคิดตัวเองตอนนี้ยังทันนะครับ เอ้า เอาแบบนี้ คุณคิดว่ารถอย่าง Toyota Corolla Cross ขายได้เดือนละกี่คัน? หรือ Honda HR-V ขายได้เดือนละกี่คัน? เอาตัวเลขสะสมจากเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้นะครับ HR-V ขายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,993 คัน และ Corolla Cross เฉลี่ยเดือนละ 1,675 คัน แม้ว่าตัวเลขนี้อาจเป็นยอดที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอกำลังผลิตเนื่องจากการขาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อยู่บ้าง แต่ก็นั่นล่ะครับท้ายสุดนี่คือการเอายอดสะสมแปดเดือนมาคุยกัน ในขณะที่ Kicks ซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์กะทัดรัดห้าที่นั่งยอดขายอันดับสามของเซกเมนต์นี้ก็ขายได้ราว 478 คันต่อเดือนโดยเฉลี่ย

ทีนี้เราหันมาดูทาง EV จีนกันนะครับ รถ EV ที่มียอดขายอันดับหนึ่ง (ไม่ว่าจะชาติไหน) ตกเป็นของ BYD Atto3 ซึ่งยอดขายเฉลี่ยในปี 2023 นี้ ทำได้เดือนละ 1,789 คัน พิมพ์ไม่ผิดครับ ลองหารดูก็ได้ว่ายอดสะสม 8 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 14,314 คัน ลองหารแปดดู..ยอดขายเดือนกันยายนก็ยังอยู่ที่ 1,610 คัน ซึ่งไม่ได้เยอะเท่าช่วงต้นปี แต่ก็ยังทรงยอดอยู่ได้สวย และรับตำแหน่ง EV รุ่นที่ขายดีที่สุดประจำปีขณะนี้ไป พูดให้เห็นภาพคือ ปี 2023 นี้ ใน EV ที่จดทะเบียนไป 10 คัน เป็น Atto3 ไปแล้ว 3 คัน

ยอดขายติดวาร์ปของ Atto3 นั้นน่าจะมาจากการที่คนไทยโดยพื้นฐานชอบรถที่แอบใต้ท้องสูงไว้หนีน้ำนิดๆ และขนาดตัวไม่เล็กจนสวนรถบรรทุกแล้วปลิว แต่ต้องมีพื้นที่สำหรับนั่งห้าคนโดยสารได้บ้าง Atto3 ถูกจริตคนไทยตรงนี้ และบวกกับดีไซน์ที่ออกมาไม่เลว ไม่เลียนแบบใคร มีจุดที่กล้าออกแบบท้าทายในแนวของตัวเองบ้าง ถือว่าเริ่มต้นได้ดี ทั้งๆ ที่นับเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของ BYD ที่ทำตลาดในไทยอย่างเต็มรูปแบบ คุณคิดว่าคนไทยไม่เชื่อแบรนด์จีน ก็คิดได้ แต่ท้ายสุดตัวเลขก็คือความจริงที่ว่าวันนี้ Corolla Cross มียอดขายเฉลี่ยในแต่ละเดือนต่ำกว่ารถจีนอย่าง Atto3 แล้ว และผมขอเดาว่าสาเหตุที่ Toyota เปิดตัว Yaris Cross รุ่นเล็กออกมาในราคากับอุปกรณ์ที่โคตรจะแหกประเพณี Toyota นั้น ส่วนหนึ่งก็อาจต้องการรักษาเค้กในตลาดเอาไว้ เพราะจะไปลดราคา Corolla Cross ก็ใช่เรื่อง ลูกค้าเก่าด่า หรือไอ้ครั้นจะเอา EV มาชนตรงๆ ที่เมืองนอกก็ไม่พัฒนา EV ราคาเอื้อมง่ายมาให้ไทยขายสักที มีแต่ EV ในแบรนด์ Lexus ซึ่งคนหาเช้ากินค่ำได้แต่มองตาปริบๆ

...

คือ..ไม่ใช่ว่า Toyota เห็น Atto3 มาแล้วขายดีแล้วเอา Yaris Cross มานะครับ แพลนการนำรถรุ่นนี้มาขายนั้นเกิดและดำเนินมาตั้งแต่ก่อนคนไทยรู้จักแบรนด์ BYD เสียอีก แต่ขอเดาแบบงูๆ ปลาๆ ว่า Toyota ไม่เดินแนวกั๊กออปชัน แต่คิดเงินเต็มอย่างที่เคยทำใน Corolla Cross เพราะ Atto3 เนี่ยล่ะ สู้เขาตรงๆ ไม่ได้ ออกตัวกัดที่เล็กกว่า แต่ราคาถูกกว่า Atto3 มาก มาดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ใจจริงยังไม่ได้ต้องการ EV และแน่นอนว่าไม่ได้เต็มใจจะจ่ายเกินล้านบาท..แล้วก็มาเป็นรถไฮบริดล้วน ไม่มีขุมพลังเบนซิน เพราะได้ภาษีสรรพสามิตอัตราต่ำของรถไฮบริด และสามารถขายด้วยแนวคิดว่า ถึงเรายังไม่ใช่รถไฟฟ้า แต่รถเราถูกกว่า และมันก็ประหยัดน้ำมันม๊ากมาก..อันนี้ผมไม่ได้บอกว่า Toyota โม้นะ เพราะเขาทำได้จริง และแบรนด์ Toyota เป็นแบรนด์ที่แข็งมาแต่ไหนแต่ไร ขอแค่ออปชันดี ราคาได้ และไม่ได้มาจากอินโด ยอดขายมีแต่จะพุ่ง

...

แต่ในเวลานี้ผมมองว่า Yaris Cross นั้นเป็น Solution ที่ดี แต่ไม่ถาวรครับ มันอาจจะช่วย Toyota รักษาเค้กส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่รถ EV จีนนั้นก็ไม่ได้มีแค่ BYD Atto3 นะครับ เจ้าของแชมป์ยอดขาย EV อันดับ 2 นั้นคือ NETA V ซึ่งขายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,055 คัน ซึ่งถึงแม้ว่าฟังดูไม่เยอะ เมื่อมองว่าในตลาดรถเครื่องสันดาปในหมู่อีโคคาร์นั้น แชมป์อย่าง Yaris ATIV ขายได้ 4,700 คันสบายๆ แต่ถ้าสมมติว่าไม่ได้มองแค่การโค่นแชมป์ ยอดขายของ NETA V ราคาห้าแสนกว่าบาทนั้น ไปกินยอดของอีโคคาร์ตรงนี้โดยตรง เพราะในใจของลูกค้าไม่ได้มีคำว่าเซกเมนต์ ไม่มีคำว่าคลาส มีแต่คำว่า ฉันมีเงินเท่านี้ ฉันซื้ออะไรได้บ้าง กลุ่มลูกค้าที่มองหาความประหยัดค่าใช้จ่าย จากเดิมชอบอีโอคาร์เพราะประหยัดค่าน้ำมัน ตอนนี้หลายคนไปคบ EV ราคาฉันมิตรอย่าง NETA V เพราะค่าใช้จ่ายในการสัญจรในภาพรวมที่ถูกกว่าอีโคคาร์ลงไปอีก

...

ถ้าให้ว่ากันตามจริง ยอดขายรายเดือนของ NETA V นั้นถ้าไปเทียบอีโคคาร์ก็แพ้แค่ตัวตึงอย่าง Yaris และ Honda City เท่านั้น ชนะตัวอื่นหมด..ยังไม่ล้มแชมป์สันดาปสายประหยัด แต่เทียบแล้วอยู่อันดับสามหรือสี่ ทั้งๆ ที่เป็นแบรนด์หน้าใหม่มาก ในขณะที่ Nissan Almera, Mazda 2 หรือ Suzuki 1.2 ลิตร รุ่นต่างๆ นั้นอยู่มานานมากแล้ว

อันที่จริงถ้าบอกว่า EV จีนตัวไหนแย่งลูกค้าจากกลุ่มอีโคคาร์บ้าง ..อย่าลืมจับตาดู BYD Dolphin รุ่น 699,999 บาท ตัวธรรมดาเอาไว้ด้วยครับ เพราะเดือนสิงหาคมอาจจะได้ยอดไม่กี่ร้อยคัน แต่เดือนกันยายนเดือนเดียวมีจดทะเบียนที่กรมขนส่ง (ยอดจด ไม่ใช่ยอดจองนะครับ) ไปแล้ว 1,621 คัน ซึ่งตัวเลขระดับนี้ก็คืออยู่แถวๆ อันดับสาม ถ้าไปเทียบกับพวกอีโคคาร์ด้วยตัวเลขดิบ แต่ผมไม่มีข้อมูลว่าเป็นรุ่น Standard Range หรือรุ่น Extended Range ในอัตราส่วนเท่าไร เพราะรุ่นหลังนี่ราคาก็ไปหลงแข่งอยู่กับพวกรถคลาส Altis กับ Civic ซึ่งเป็นตลาดกลุ่มที่นับวันยิ่งเหี่ยวเฉาเพราะคนไปคบรถเล็กกว่า ไม่ก็ไปหารถพวกยกสูงครอสโอเวอร์มากกว่า

ส่วน MG นั้น แม้ยอดจะไม่ดูพุ่งแรงแบบ BYD แต่ยังสามารถทำยอดขายได้ในแบบทรงตัว ในช่วงแรก MG4 ดูมีแวว Hot รุ่งพุ่งแรง แต่ในช่วงเปิดตัว คนหันไปจับ Atto3 เยอะทั้งที่เป็นรถคนละประเภท..ก็อย่างที่ผมบอก ใจลึกๆ คนไทยชอบรถยกสูงเข้าไว้หน่อย แล้วราคาของ Atto3 ไม่ได้ห่างจาก MG4 มากจนเด่นชัด ถ้าอยากแก้เกมคืน MG คงต้องวัดดวงด้วยแคมเปญส่งเสริมการขายที่หนักหน่วงขึ้น เพราะการรอรถโมเดลใหม่สดมาถล่ม BYD กลับนั้นไม่น่าจะเกิดได้ในช่วงปีสองปีนี้ (นับเฉพาะรถที่ขายได้เยอะๆ นะครับ พวกรถตู้ MPV หรือรถสปอร์ตไม่นับ)

ซึ่งก็น่าเสียดายว่า MG นั้นต้องให้เครดิตนะครับว่าตั้งแต่สมัย 5 ปีก่อน รถอย่าง ZS EV นั้นมีส่วนสำคัญมากในการทำให้ประชากรรถยนต์พลังไฟฟ้าในไทยเพิ่มขึ้น เป็นเจ้าแรกที่ทำ EV ที่มีเรี่ยวแรงจริง นั่งห้าคนได้สบาย แล้วขายในราคาที่ชนชั้นกลางซื้อหาได้ แต่ทุกวันนี้เอารถ EV เก๋งของ MG ทุกรุ่นรวมกัน EP, ES, ZSEV และรวม MG4 เข้าไปแล้ว ยอดรวมเฉลี่ยอยู่ที่ระดับพันคันต่อเดือน ซึ่งถ้าไปเทียบ Rank กับพวกรถเบนซินระดับราคาใกล้เคียงกัน ก็น่าจะอยู่อันดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร

ส่วนทาง GWM แบรนด์ ORA ก็ยังขาย Good Cat เรื่อยๆ ส่งยอดได้เดือนละประมาณ 480 คันโดยเฉลี่ย เทียบตรงรุ่นแล้วดูได้รับความนิยมแบบพอสมควร แต่ในขณะที่ MG มีรถหลายรุ่น แต่ยอดขายไม่เท่าไร ของ ORA นี่ผมกลับมองว่านี่ขายมาเป็นปีแล้ว นานมากแล้ว จะไม่มีการแนะนำโมเดลใหม่กันสักหน่อยหรือ Grand Cat ก็มาโชว์ตัวนาน จนกระทั่งตอนนี้ BYD เปิดตัว SEAL แล้วได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก จนผมยังห่วงๆ ว่าตอนเปิดตัว Grand Cat นั้นจะใช้ไม้ตายไหนสู้กับ SEAL เพราะไอ้แมวน้ำจอมโหดนี่แค่ยอดออเดอร์ในไม่กี่วันหลังเปิดจองก็ทะลุพันคันไปไกลแล้ว

แต่ไม่ว่าเราจะชื่นชอบ หรือเชียร์มังกรค่ายไหน เมื่อมองในภาพรวมของผลงานการทำยอดขายในปี 2023 ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่าต่อให้รุ่นที่ยอดขายไม่ได้โดดเด่นนั้นก็ยังถือว่าได้ตัวเลขระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับรถสันดาปภายในที่ราคาเท่ากัน รุ่นที่ยอดขายเด่นหน่อยอย่าง Atto3 สามารถเทียบกับจ่าฝูงฝั่งรถมีเครื่องและรถไฮบริดได้สบาย ในขณะที่รุ่นอื่นก็มีแววจะเป็นอันดับ 3-4 ในตลาดได้ นี่ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่ารถหลักล้านอย่าง Tesla Model Y นั้นยอดขายต่อเดือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 528 คันนะครับ มากกว่ายอดเฉลี่ยต่อเดือนของ Camry (เฉลี่ย 444 คันต่อเดือน) และใกล้เคียงอีโคคาร์อย่าง Nissan Almera (572 คันต่อเดือนโดยเฉลี่ย)

วันที่เรามองว่ารถ EV จะไม่ได้รับการยอมรับ หรือรถจีนคนซื้อต้องกล้าจริง ผ่านมา 5 ปี..เอาแค่ 5 ปีตอนนี้ รถพลังไฟฟ้าเปลี่ยนบทบาทจากตัวประกอบ หรือของเล่น ของแปลก กลายเป็นรถที่อยู่อันดับกลางๆ ในตารางยอดขายในภาพรวมเมื่อเทียบกับรถสันดาปแล้ว คุณว่าอีก 5 ปี ถ้าญี่ปุ่นยังไม่ยอมทำ EV ในราคาที่คนเอื้อมถึงง่ายมาแข่งกับจีน มันจะเป็นอย่างไร? ในภาพสะท้อนของปัจจุบันก็จะเห็นได้ว่าใครจะกลัวรถจีนมี Defect ใครจะกลัวรถไฟฟ้าไฟหมด แต่ท้ายสุดกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่เบื่อจะรอการตอบสนองต่อความต้องการ EV ของค่ายญี่ปุ่น ก็เปิดประตูไปคบรถจากแดนมังกร และบางคนก็ซื้อคันที่สองไปแล้ว

ถ้าฝั่งญี่ปุ่นยังไม่มีใครไปเคาะประตูห้องนายใหญ่ที่เมืองนอกดังๆ แล้วบอกว่า “Wake Up! It’s time” ผมเกรงว่าอีกห้าปีข้างหน้าโฉมหน้ารถที่วิ่งบนถนนอาจมีอัตราส่วนไม่เหมือนทุกวันนี้แล้ว ส่วนทางญี่ปุ่นจะตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร จะเอาไฮบริดมาลุยต่อ หรือจะไปพัฒนา EV อย่างด่วน ก็แล้วแต่..ผมเป็นแค่คนดูที่เตรียมเป๊ปซี่กับป๊อปคอร์นไว้ดูของมันๆ อย่างเดียวพอครับ.

Pan Paitoonpong