ทดสอบ Lexus CT200h รถ Sport-Hatchback 5 ประตูพลัง Hybrid คันแรกของโลกยนตกรรมจากบริษัท Lexus บนระยะทางกว่า 470 กิโลเมตร..

ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ค่าย Lexus มุ่งวิจัยและพัฒนารถยนต์เครื่องยนต์ลูกผสมแบบ Hybrid เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยของการประหยัดพลังงาน งานวิศวกรรมที่มีตัวอักษร h ต่อท้ายรุ่นคือยานยนต์ที่มาพร้อมกับรูปแบบของการขับขี่ในอนาคต การผลิตรถแบบ Hybrid ของ Lexus นอกจากจะมาพร้อมกับความหรูแล้ว พวกเขายังทำยอดขายไล่บี้รถคู่แข่งจากยุโรปมายาวนานกว่า 10 ปี และนี่คือยานยนต์ปฏิวัติคันล่าสุด มันคือ Lexus CT200h รถแฮทช์แบค 5 ประตูที่พกพาความปราดเปรียวหรูหราคู่กับความประหยัดได้อย่างกลมกลืน

แนวคิดในการออกแบบรถยนต์ที่ใช้ระบบ Hybrid ของ Lexus CT200h รถ Sport-Hatchback 5 ประตูรุ่นล่าสุดมีความแตกต่างจากบริษัทแม่อย่าง Toyota ที่ผลิตรถรุ่น Prius ออกสู่ตลาดที่มุ่งเน้นในการประหยัดเชื้อเพลิงเป็นหลัก ลูกค้าที่เลือกใช้รถเครื่องยนต์ลูกผสมของ Lexus ในรุ่น Hybrid ส่วนใหญ่แล้วต้องการความหรูหราบนสมรรถนะที่สมกับราคาค่าตัวที่แพงกว่ารถ Toyota มาก สิ่งที่ได้รับกลับมาในการจ่ายเงินกว่า 2 ล้านบาท คือ ประสิทธิภาพของตัวรถที่อยู่ในระดับบน มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ถูกจับมาวางไว้ในระบบส่งกำลังและใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 650 โวลต์ ผลิตกำลังได้ถึง 60 กิโลวัตต์พร้อมด้วยแรงบิดแบบท้วมๆ พอประมาณที่ 207 นิวตันเมตร บนเรือนร่างแบบรถสปอร์ต แฮทช์แบค 5 ประตูที่ร้อนแรงและดุดันของรูปทรง แต่มีความประหยัดจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรที่มีการทำงานร่วมกันกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและ Inverter ตัวแปลงกระแสไฟ

...

Lexus CT200h Exterior

เมื่อมองดูรูปลักษณ์ของเจ้ารถแฮทช์แบคทรงแบนเตี้ยของ Lexus รุ่น CT200h จะพบว่ามันนำเอารูปทรงที่ปราดเปรียวของรถต้นแบบอย่าง Concept-Car LF-Ch มาใช้ทั้งหมด มุมมองด้านหน้ากระจัง Spindle-Shaped ที่เฉียบคม คาดด้านบนด้วยเส้นโครเมี่ยม ใจกลางแปะตราสัญลักษณ์หัวลูกศรสีน้ำเงินของ Lexus เน้นด้วยเส้นสายจากไฟหน้าแบบ Projector Xenon มีพลาสติกโพลิเมอร์ใสแจ๋วห่อหุ้มพร้อมด้วยไฟ Daylight LED หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Daytime Runing Lights ใต้แนวของชุดไฟหน้า สปอยเลอร์หน้าขนาดใหญ่ตรงกึ่งกลางต่ำลงมาจากกระจังมีช่องรับลมที่ปิดเอาไว้ด้วยตะแกรงพลาสติกสีดำ มุมทั้งสองข้างของตัวสปอยเลอร์หน้าติดตั้งไฟตัดหมอกทรงกลม ฝากระโปรงหน้าผลิตด้วย อลูมินัมอัลลอย ถูกยกนูนขึ้นเล็กน้อยโดยทำเป็นรูปตัววีเพื่อเน้นถึงขอบมุมที่ทำให้มีมิติในการมอง บริเวณใต้ไฟหน้ายังมีช่องติดตั้งหัวฉีดน้ำล้างไฟหน้ามาให้เพื่อความสะดวกในการล้างโคมไฟหากขับไปลุยฝนหนักๆ มาจนสกปรก

Lexus CT200h Exterior

มุมมองด้านข้างถูกออกแบบให้ดูอ้วนๆ ตันๆ ตามสไตล์รถ Hathback ที่ร้อนแรงของ Lexus ชายล่างของประตูด้านข้างทั้งสี่บานทำเป็นขอบมุม ไล่แนวจากใต้แนวของบังโคลนหน้าแล้วยกขอบขึ้นเล็กน้อยก่อนถึงซุ้มล้อหลัง บานประตูทั้งสี่ไม่มีขอบคิ้วกันกระแทกติดตั้งมาให้ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของการดีไซน์เส้นสายด้านข้างของตัวรถรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เสา A มีองศาของความลาดเอียงมากกว่าปกติแบบรถสปอร์ต แนวของหลังคามีความโค้งมนเล็กน้อยในบริเวณที่ใกล้กับกระจกประตูบานหลัง ซึ่งถูกออกแบบให้ดูกลมกลืนลื่นไหลไปกับกระแสลม กระจกข้างแบบ Slingshot ประตูหลังมีขอบยกสูงขึ้นแบบรถ Hathback สมัยใหม่ทั่วไปของพวกค่ายรถจากฝั่งยุโรป เสา C หรือเสาท้ายออกแบบได้อย่างลงตัว สอดรับกันดีกับกระจกของฝาท้าย

รถ Lexus CT200h ทั้งรุ่น F-Sport กับรุ่นสูงสุด Luxury And Premium Package ใช้ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาลาย 10 ก้านขนาดความกว้าง 16 นิ้ว หุ้มรัดเอาไว้ด้วยยาง Yogohama Advan ไซส์ 205/55/R16 โดยในตัวรถรุ่น F-Sport ล้ออัลลอยจะใช้สีเทาเข้มเพื่อความดุดัน ส่วนรุ่น Luxury ใช้ล้อสีเงินสว่างตาแบบปกติทั่วไป

Lexus CT200h Exterior

บั้นท้ายแบนกว้างเป็นไปตามดีไซน์ของรถแบบ Hybrid ที่ต้องการลดแรงต้านของอากาศ ระบบแอร์โรไดนามิกส์ของ CT200h มีค่าสัมประสิทธิแรงต้านทานของอากาศ (Cd) ต่ำใกล้เคียง Toyota Prius Model 2010 ที่ 0.29 มุมมองของส่วนท้ายมีความเป็นรูปเหลี่ยมแท่งๆ ตันๆ ไฟท้ายเลนส์สีขาว-เทา-แดง ใช้หลอด LED ให้แสงสว่างทั้งไฟหรี่ ไฟเบรคและไฟถอย ฝากระโปรงท้ายทำจากอลูมินัมอัลลอยแบบเดียวกับฝากระโปรงหน้า ด้านบนมีการยกสันนูนขึ้นตรงกลางเล็กน้อยเพื่อเพิ่มเติมมิติ กระจกบานฝาท้ายยังมีใบปัดน้ำฝนเล็กๆ ติดมาให้ สปอยเลอร์หลังเรียบมากจนขาดรายละเอียดไปบ้างแต่ยังมีร่องด้านชายล่างเป็นแนวยาวขนานไปกับชิ้นสปอยเลอร์ รวมถึงพลาสติกสะท้อนแสงสีแดงทั้งสองมุมช่วยเพิ่มทัศนวิศัยเมื่อขับขี่ตอนกลางคืน

...

Lexus CT200h Interior

ภายใน Cockpit ของเจ้า Lexus CT200h มีความเป็นรถสปอร์ตอยู่ใน DNA ตั้งแต่แรกเห็น เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 3 ระดับ หุ้มด้วยหนังแท้คุณภาพสูง ตัวเบาะถูกออกแบบให้นั่งได้กระชับตัวผู้ขับขี่ แต่อาจนั่งไม่สบายเท่ากับรุ่น IS250 ถ้าคนนั่งมีรูปร่างใหญ่โตหรืออวบอ้วนเกินพิกัด พนักพิงศีรษะทำงานได้ดีจากการดีไซน์ นุ่มและโอบกระชับทั้งตัวเบาะและหมอนรองศีรษะ ตำแหน่งของการนั่งขับสามารถปรับให้ต่ำหรือสูงได้จากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าภายในตัวเบาะ แดชบอร์ดทรงเรียบที่มีดีไซน์เน้นให้ดูกว้างขึ้น เกิดจากการจงใจออกแบบของวิศวกร Lexus จอมัลติฟังก์ชั่นขนาด 7 นิ้ว ตรงบริเวณกึ่งกลางของแดชบอร์ดสามารถพับเก็บหรือกางออกได้ ทำหน้าที่เป็นจอมอนิเตอร์ของระบบต่างๆ ในตัวรถ เช่น ระบบนำทางด้วยดาวเทียม ระบบการทำงานของ Lexus Hybrid Drive ที่สามารถแจ้งเตือนเป็นภาพการทำงานของระบบส่งถ่ายกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นมอนิเตอร์ของกล้องด้านหลัง เมื่อผู้ขับใส่ตำแหน่งเกียร์ R เพื่อถอยหลัง บนจอยังมีเส้นสีแดงเป็นแนวระนาบเพื่อกะระยะในการถอย พร้อมเซนเซอร์สัญญาณเสียงเมื่อถอยเข้าไปใกล้กับวัตถุกีดขวาง

...

...

Lexus CT200h Interior

ต่ำลงมาจากจอ Multi LCD เป็นช่องแอร์ทรงสี่เหลี่ยมกับชุดควบคุมอุณหภูมิแบบดิจิตอล แยกส่วนการปรับความเย็น ชุดควบคุมแอร์มีความยาวขนานไปกับแนวของแดชบอร์ดได้อย่างกลมกลืน คอนโซลกลางด้านขวาเป็นที่อยู่ของชุดเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-CVT มีก้านเกียร์อันเล็กๆ เงาแววด้วยงานโครเมี่ยมที่มีการใช้งานคล้ายคลึงกันกับเจ้า Prius แต่มีรูปแบบที่ดูดีกว่า ส่วนชุดเครื่ิิองเสียงอยู่ด้านซ้ายมือรองรับได้ทั้ง CD DVD MP3 AM FM พร้อมจุดต่อเชื่อม USB พลังขับในชุดเครื่องเสียงกับลำโพงของ CT200h เหลือๆ จนไม่ต้องไปดิ้นรนเสียเงินเพิ่ม มันให้สุ้มเสียงที่ชัดเจนพร้อมมิติที่นุ่มลึกในระดับที่ดีเยี่ยม ถ้าคุณไม่ไช่พวกที่ชอบเปิดเพลงในรถดังชนิดแก้วหูแทบทะลุ ต่ำลงมาอีกนิดเป็นแป้นทรงกลมของการปรับโหมดการขับที่มีให้เลือก 4 แบบ คือ EV Mode / ECO Mode / NORMAL Mode และ Power Mode พร้อมปุ่มเล็กๆ สองตำแหน่งที่เอาไว้ปรับขดลวดในเบาะ เพื่ออุ่นตัวเบาะสำหรับรถเมืองหนาว ยังงงๆ ว่าทำไม Lexus ไม่ให้พัดลมใต้เบาะคู่หน้าแบบเจ้า Camry Hybrid ที่สามารถเปิดไล่ความร้อนในตัวเบาะเมื่อจอดตากแดดได้ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวรถรุ่นนี้มีมาตรฐานเดียวในการประกอบที่ญี่ปุ่นแล้วส่งออกไปทำตลาดทั่วโลก โดยเน้นที่สหรัฐอเมริกากับยุโรปซึ่งมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นนั่นเอง

สปอร์ตคาร์ Lexus CT200h ในรุ่นสูงสุด (Luxury And Premium Package) ยังมีปุ่ม Remote Touch Connetted Drive ที่ใช้สั่งงานระบบต่างๆ ผ่านจอมัลติฟังก์ชั่นคล้ายกับปุ่ม i-Drive ของ BMW และรถยนต์หรูหราจากฝั่งยุโรปที่มีจอกับปุ่มปรับโหมดต่างๆ มาให้ใช้งานเพื่อเพิ่มเติมความสะดวกสบาย

Lexus CT200h Interior

มาตรวัดแบบ TFT ปรับเปลี่ยนสีในจอได้เมื่อคุณปรับโหมดการขับในตำแหน่งของ ECO Mode มาตรวัดซ้ายมือจะปรับเปลี่ยนระบบเป็นแบบหน่วยวัดพลังงานของการชาร์จไฟ การประสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้โทนสีฟ้าสดใส แต่เมื่อปรับมาที่ Power Mode มาตรวัดด้านซ้ายจะแปรเปลี่ยนมาเป็นวงวัดรอบเครื่องยนต์แทนพร้อมด้วยโทนสีแดงที่เร้าใจ ลูกเล่นของมาตรวัดช่วยทำให้ตัวรถมีความน่าใช้งานเพิ่มขึ้น มาตรวัดของมันยังแจ้งตำแหน่งของการขับเคลื่อนตลอดเวลา รวมถึงยังมีจอ LCD เล็กๆ ใต้มาตรวัดเชื้อเพลิงคอยแจ้งเตือนถึงระบบต่างๆ ทริปมิเตอร์กับสัญลักษณ์พร้อมสัญญาณเสียงเตือนเมื่อไม่ได้รัดเข็มขัดในระหว่างรถเคลื่อนตัว ปุ่ม Start-Stop ออกแบบได้ดีและอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการใช้งาน วงพวงมาลัยแบบสามก้านหุ้มด้วยหนังแท้ ตัดเย็บอย่างปราณีตบรรจงด้วยการเดินตะเข็บด้ายสีขาวตัดกับหนังแท้สีดำ ก้านพวงมาลัยมีสวิทช์มัลติมาให้ปรับเปลี่ยนเครื่องเสียงและโทรศัพท์ พวงมาลัยสามารถปรับตำแหน่งได้สี่ทิศทางเพื่อความเหมาะสมกับรูปร่างของผู้ขับขี่

Engine and Hybrid System

Lexus CT200h Hybrid Drive

CT200h ใช้เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 กระบอกสูบปริมาตรความจุ 1.8 ลิตร DOHC ใช้อลูมิเนียมทั้งบล็อก วางตามขวางด้านหน้า-ขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์ตัวนี้ใช้ระบบ Atkinson Cycle ที่มีการพัฒนาให้ระยะชักขึ้นของลูกสูบสั้นลงด้วยการเพิ่มกลไกระหว่างชุดก้านสูบกับเพลาข้อเหวี่ยง สิ่งที่ตามมาคืออัตราส่วนกำลังอัดที่สูงขึ้นทำให้ได้กำลังจากเครื่องยนต์มากขึ้น พร้อมด้วยระบบวาว์ลแปรผัน VVT-i กับชุด Exhaust Heat Recovery ช่วยอุ่นเครื่องยนต์ให้อยู่ในอุณหภูมิของการทำงานเร็วขึ้น ส่วนชุดมอเตอร์ไฟฟ้าของระบบ Hybrid ประกอบด้วยตัวมอเตอร์ที่อยู่ในชุดส่งกำลัง E-CVT เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์แยกกำลังหรือ Power Split Device โดยพลังงานของทั้งสองแหล่ง (เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า) ในระบบ Full Hybrid จะถูกผสมผสานรวมกันด้วยชุดอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน E-CVT มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 82 แรงม้า จะมีการทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์เพื่อช่วยในเรื่องของอัตราเร่งแล้ว ยังเป็นแหล่งพลังงานในโหมด EV ซึ่งจะใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวขับเคลื่อนตัวรถ ให้แรงบิด 207 นิวตันเมตร ตั้งแต่ชุดมอเตอร์เริ่มหมุนไปจนถึง 13,000 รอบต่อนาที มอเตอร์มีขนาดเล็กลงและใช้แม่เหล็กไฟฟ้าถาวร Synchronous

-Start And Low To Mid-Range Speed / EV Mode ในขณะที่ออกตัวต่อเนื่องไปในย่านความเร็วต่ำ ระบบ Lexus Hybrid Drive จะใช้แรงขับจากมอเตอร์ไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว โดยเครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน แต่ในจังหวะที่มอเตอร์เริ่มฉุดรถให้เคลื่อนที่เครื่องยนต์จะหมุนตามไปด้วยและทำการสตาร์ทตัวเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้พร้อมทำงาน เมื่อความเร็วของรถเกินกว่า 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบ Lexus Hybrid Drive จะปรับการทำงานจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นเครื่องยนต์แทน

-Driving Under Normal Mode ในการขับเคลื่อนแบบปกติ ทั้งเครื่องยนต์และชุดมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบส่งกำลังจะทำงานไปพร้อมกัน แรงบิดของเครื่องยนต์ส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปยังเกียร์ E-CVT และส่งต่อไปยังล้อขับเคลื่อนคู่หน้า แรงบิดอีกส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปหมุนชุดเจนเนอเรเตอร์เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าผ่านไปยังชุด Power Control Unit แล้วทำการแปลงกระแสไฟเป็น High-Voltage เพื่อป้อนให้กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง พลังงานไฟฟ้าสำรองที่กักเก็บอยู่ในแบตเตอรี่ท้ายรถจะยังไม่ถูกนำออกมาใช้ในการทำงานของโหมดนี้ ส่วนการแบ่งกำลังขับเคลื่อนทั้งสองระบบจะเป็นหน้าที่ของชุดกลไก Power Split Device

-Driving Under Power Mode (Sport) เมื่อทำการปรับเปลี่ยนโหมดการขับมาเป็นการเรียกกำลังในการเร่งความเร็ว ขณะที่ผู้ขับกดคันเร่งจนจมมิดเพื่อแซงรถช้า ระบบ Lexus Hybrid Drive ยังคงควบคุมการทำงานของระบบทุกอย่างให้เหมือนกับสภาวะปกติ แต่มีความรวดเร็วมากขึ้นทั้งชุดคันเร่งไฟฟ้าแบบ Drive By Wire อัตราทดของเกียร์ E-CVT ที่กระชับฉับไวขึ้น แรงเคลื่อน 12 โวลต์จากชุดแบตเตอรี่จะถูกแปลงไปเป็น High-Voltage ที่ชุด  Power Control Unit แล้วทำการส่งกระแสไฟฟ้าที่แปลงแล้วไปยังชุดมอเตอร์เพื่อสร้างแรงบิดสูงสุด พวงมาลัยไฟฟ้า EPS จะมีอัตราทดที่กระชับขึ้น พร้อมด้วยระบบควบคุมการทรงตัวที่มีทั้ง VSC และ TRC คอยแทรกแซงหากตัวรถเริ่มมีอาการไม่ยึดเกาะกับผิวถนน รถ Lexus CT200h มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ใน 10.32 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มากนักตามลักษณะของรถยนต์ประหยัดพลังงานในยุคใหม่ที่อาจดูขัดแย้งกับรูปโฉมแบบสปอร์ตไปบ้าง

Suspension And Brake

ระบบรองรับหรือช่วงล่างของรถ CT200h ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท คอยล์สปริง โช๊คอัพแก๊ส เหล็กกันโคลงพร้อมด้วยชุดเหล็กค้ำยันเบ้าโช๊คด้านหน้า เพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพในการยึดเกาะและต่อต้านการบิดตัวเมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ส่วนด้านหลังเป็นแบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง เหล็กกันโคลงกับตัวยึดกันสะบัดด้านหลัง ชุดห้ามล้อด้านหน้าเป็นแบบดิสเบรค พร้อมช่องระบายความร้อน จานดิสหน้าขนาด 255 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเป็นดิสเบรคที่มีจานใหญ่ขึ้นเป็น 279 มิลลิเมตร พร้อมกลไกอิเล็กทรอนิกส์ ABS- Anti-Lock Brake System / BA-Brake Assist รวมถึงระบบที่ช่วยในเรื่องของการทรงตัวเช่น VSC-Vehicle Stability Control / TRC-Tracton Control System

Battery

Lexus CT200h ใช้แบตเตอรี่กำลังสูงชนิด นิกเกิล เมทัล ไฮไดรด์ ขนาด 201.6 โวลต์ ผ่านการควบคุมโดยซอฟท์แวร์อัจฉริยะที่ทำหน้าที่จัดการกับพลังงานโดยแบตเตอรี่ถูกติดตั้งเอาไว้ใต้ที่เก็บสัมภาระของฝากระโปรงท้าย ส่วนระบบการชารจ์ไฟนั้นจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อรถยนต์ทำงาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องทำการชาร์จกระแสไฟเพิ่มเติมจากภายนอกแต่อย่างใดทั้งสิ้น ในระหว่างการขับขี่ใช้งาน ในกรณีที่ระบบ Lexus Hybrid Drive ตรวจพบว่ากระแสไฟในแบตเตอรี่ลดลงเกินกว่าระดับที่กำหนด ชุดควบคุมจะสั่งให้ติดเครื่องยนต์ทันทีเพื่อทำการปั่นชุดเจนเนอเรเตอร์ แล้วชาร์จกระแสไฟป้อนกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ทันที.

ติดตาม ทดลองขับ Lexus CT200h ได้ในตอนต่อไปครับ

Arcom Roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook http://www.facebook.com/chang.arcom