ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 5 เม.ย.60 ปิดที่ 1,582.12 จุด ลดลง 1.70 จุด มี มูลค่าการซื้อขาย 43,456.54 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 370.28 ล้านบาท
หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด TPIPP ปิด 6.70 บาท ลบ 0.30 บาท, BANPU ปิด 20.50 บาท ลบ 0.30 บาท, PTT ปิด 390 บาท ลบ 2 บาท, JAS ปิด 8.80 บาท ลบ 0.05 บาท และ ADVANC ปิด 171 บาท ลบ 3 บาท
“ภรณี ทองเย็น” รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์หรือ บจ.กว่า 600 แห่ง จะมีกำไรรวมกัน 220,000-230,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย โดยกลุ่มที่โดดเด่นที่สุดคือ กลุ่มแบงก์คาดว่าจะมีกำไร 54,000 ล้านบาท และพลังงานกำไร 50,000 ล้านบาท เพราะไม่ต้องบันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นในระดับสูง
สำหรับกลุ่มแบงก์ยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสดใสจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต และการปล่อยสินเชื่อปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 6% ส่วนหนึ่งจากการลงทุนภาครัฐ และความต้องการใช้เงินหลังจากการออกหุ้นกู้และออกตั๋วบีอีเริ่มมีปัญหาจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความระมัดระวังในการลงทุน
ขณะที่ยังมองภาพรวมปี 60 คาดว่า บจ.จะมีกำไรรวมทั้งปีที่ 991,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 7.1% เป็นผลจากเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.5% ดีกว่าปี 59 ที่ขยายตัวได้ 3.2% มีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการลงทุนภาครัฐ และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ขณะที่การบริโภคครัวเรือนยังทรงตัว และการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น
แต่ยังมีความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ดังนั้นมองว่าปีนี้ดัชนีน่าจะแตะที่ระดับ 1,620 จุดได้ โดยเป็นการคำนวณจากผลประกอบการ บจ.และกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้า
...
ด้าน “เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หุ้นไทยครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น จากความชัดเจนการเดินหน้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง และเม็ดเงินเบิกจ่ายภาครัฐจะมากขึ้นในครึ่งปีหลัง ขณะที่กระแสเงินทุนอาจมีเข้ามาบางช่วง เพราะไทยเป็นประเทศที่เหมาะต่อการพักเงินของต่างชาติ
และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25-0.50% อีก 2-3 ครั้งในปีนี้จากการประชุมที่เหลืออีก 6 ครั้ง!!
อินเด็กซ์ 51