อดีตเลขาฯ คุรุสภา เรียกร้องสังคมไทยจับตารับสมัครครูปีนี้ หลังเปิดช่องให้คนไม่มีตั๋วครูมาสอบ หวั่นทุจริตเอื้อคนเข้าสู่ระบบราชการ และอาจมีฟ้องร้อง ด้านคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มศว ห่วงนิสิตนักศึกษาฟ้องกันเอง...

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายองค์กร อมรสิรินันท์ อดีตเลขาธิการคุรุสภา กล่าวในงานเสวนา “รัฐเปิดช่องให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนครูมาเป็นครู ... ได้หรือเสีย?” ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ว่า คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ใช้ช่องทางผิดในการเปิดช่องให้ผู้ไม่เรียนครูมาสอบบรรจุเป็นครู จึงอยากให้ทุกคนในสังคมจับตาดูกระบวนการสอบบรรจุครูในครั้งนี้ว่า จะมีกระบวนการทุจริตหรือเป็นช่องทางที่เอื้อให้คนเข้าสู่ระบบราชการหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูถูกฟ้องร้องได้ และ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธาน ก.ค.ศ. ก็จะตกเป็นจำเลย

ขณะที่ นายไพบูลย์ เกตแก้ว อดีต ผอ.ร.ร.พรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี กล่าวว่า อยากฝากถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่า ไม่ว่าจะแก้ไขปัญหาการขาดครูอย่างไร ผู้ที่จะมาเป็นครูผู้สอนจำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูทุกคน กระบวนการผลิตครูต้องมีการฝึกสอน ที่สำคัญครูต้องมีจรรยาบรรณความเป็นครู โดยเฉพาะต้องไม่มีปัญหาเรื่องชู้สาว

นายวรพงษ์ แสงประเสริฐ อาจารย์โรงเรียนสาธิต มศว กล่าวว่า จากประสบการณ์พบว่า คนที่ไม่ได้เรียนวิชาชีพครูมามีปัญหามาก ดังนั้นจึงอยากฝากว่าขอให้รัฐบาลมีนโยบายที่นิ่ง และชัดเจนว่าจะไปทางไหน ส่วนสถาบันผลิตครูต้องขยับตัวผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพจริงๆ และสุดท้ายขอฝากถึงเด็กที่จะเป็นครู ว่าต้องปรับตัวเองสร้างภูมิให้มีความพร้อมในทุกด้าน ที่สำคัญอย่าบกพร่องเรื่องจิตวิทยาความเป็นครู และต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง

...

ดร.ดิเรก พรสีมา คณบดีวิทยาลัยฝึกหัดครู มรภ. พระนคร กล่าวว่า ครูเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคนให้มีคุณภาพ ดังนั้นคุรุสภาจึงกำหนดให้ครูต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพื่อเป็นเงื่อนไขในการคัดเลือกและฝึกหัดผู้ที่จะมาเป็นครู แต่ขณะนี้ค่าใช้จ่ายรายหัวในการผลิตครู ตกเพียง 800 บาทต่อคนต่อปี เท่านั้น เทียบกับการผลิตแพทย์ซึ่งรัฐสนับสนุนงบประมาณในการผลิต 500,000 บาทต่อคนต่อปี จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการผลิตครูเหมือนการผลิตแพทย์ โดยเพิ่มค่าใช้จ่ายรายหัวในการผลิตครู เป็น 2-3 แสนจะได้หรือไม่ และต้องคืนครูให้กับเด็ก เพราะเรามีกิจกรรมมากมายที่ดึงครูออกนอกห้องเรียน ซึ่งพบว่าครูต้องใช้เวลา 65% ต่อปี ทำอย่างอื่นมากกว่าการสอน

อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนรู้สึกผิดหวัง และเสียใจกับรัฐบาลมาก ซึ่งตนศรัทธานายกรัฐมนตรี ดังนั้นอยากให้หาคนมีความรู้การศึกษามาทำงานด้านการศึกษา

รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มศว กล่าวว่า ที่ประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย รู้สึกเป็นห่วงเรื่องการฟ้องร้อง โดยเฉพาะการฟ้องร้องกันเองของนิสิตนักศึกษาครูที่มีใบประกอบวิชาชีพกับผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ในกรณีที่ผู้ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู แล้วสามารถสอบได้ อาจถูกนิสิตนักศึกษาที่มีใบประกอบวิชาชีพครูฟ้องร้องได้ ซึ่ง สคศท. กำลังศึกษาข้อกฎหมายรวมทั้งหลักเกณฑ์การรับสมัครครูของ ก.ค.ศ.และหลักเกณฑ์ของคุรุสภา ว่าเปิดช่องให้มีการฟ้องร้องกันได้หรือไม่ และมีแนวทางจะป้องกันไม่ให้นิสิตนักศึกษาฟ้องร้องกันเองหรือไม่

สำหรับเรื่องการสอบบรรจุครูนั้น ปัจจุบันมีครูที่สอบขึ้นบัญชีใน 8 กลุ่มสาระจำนวนมาก ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ยังไม่ได้เรียกบรรจุ แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้ขาดแคลนคนมาเป็นครูใน 8 กลุ่มสาระ และนักศึกษาครูที่เรียนเอกวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ก็พบว่า มีคะแนนสอบแอดมิชชั่นที่สูงกว่านักศึกษาเอกเดียวกันที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ก็ขอให้มั่นใจว่า นักศึกษาครูเก่งด้านเนื้อหา มีจิตวิญญาณครู เข้าใจจิตวิทยาเด็ก และถ่ายทอดความรู้เป็น

ด้านตัวแทนนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มศว กล่าวว่า ตนคิดว่ากระทรวงศึกษาธิการแก้ปัญหาการขาดแคลนครูด้วยการเปิดช่องให้ผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูมาสอบได้ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ คนเหล่านี้ไม่ได้อยากเป็นครูตั้งแต่แรก จึงไม่ได้เลือกเรียนคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ จึงไม่มีจิตวิญญาณครูตั้งแต่เร่ิมแรกแล้ว แม้กระทรวงจะมองว่าคนเหล่านี้เก่งเนื้อหาสาระ แต่ไม่มีหรือขาดเรื่องกระบวนการสอนและจิตวิญญาณ จึงควรแก้ไขตั้งแต่กระบวนการผลิตและการรับคนเข้าเรียน ให้คนที่อยากเป็นครู ได้เรียนครู ถ้ากระทรวงไม่สามารถแก้ปัญหาการศึกษาได้ ก็ควรแยกงานการศึกษาออกจากการควบคุมของรัฐบาล.