นายกฯ แจงเหตุดำเนินเก็บภาษีคดีหุ้นชินคอร์ป เพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศ ยันสุดท้ายขึ้นอยู่กับศาลตัดสิน หากพบไม่สุจริต เจ้าของหุ้นที่แท้จริงต้องเสียภาษีตาม ก.ม. ย้ำไม่ใช่หาคนผิดลงโทษ แต่ป้องเหตุการณ์ร้ายหลอกหลอน

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเวลานี้ คือ กรณีการประเมินภาษีจากการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติ ยึดหลักการกฎหมายพิจารณาสรุปการโอนและซื้อขายหุ้น ที่กระทำโดยสุจริตหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานั้นศาลฎีกาเคยตัดสินแล้วว่า มีการโอนกันหลายทอดมีเจตนาที่แยบยล แสวงประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมาย จนมีผลกำไรทุกแล้วก็วันนี้ สังคมเองก็เชื่อว่าไม่สุจริต เพราะเป็นการเลี่ยงภาษี อีกประเด็นคือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ประเทศชาติเสียรายได้ ในขณะที่อยู่ในตำแหน่ง มีอำนาจ มีหน้าที่ต้องรักษากฎหมาย รักษาผลประโยชน์ของชาติโดยรวมนั้น จึงต้องมีคุณธรรม จริยธรรมมากกว่าบุคคลทั่วไป ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นสมควรแล้วหรือไม่ก็ไปพิจารณากันมา เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อสู้กันให้ถูกต้อง ถ้าหากว่าเราพบไม่สุจริตแล้ว ก็ต้องสร้างมาตรฐานเดียวก็คือ การบังคับใช้กฎหมายตามปกติ เหมือนกับนิติบุคคลอื่นๆ ที่มีการซื้อขายหุ้น แล้วต้องเสียภาษีตามกฎหมาย โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สตง., ป.ป.ช., ปปง., ป.ป.ท., กรมสรรพากร และกระทรวงการคลัง ไปหารือกัน และศึกษาข้อเท็จจริงโดยรายละเอียด

"การดำเนินการในเรื่องนี้มีความอ่อนไหว จะต้องมีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่ขัดหลักนิติธรรม และตนไม่ให้ใช้มาตรา 44 ในการที่จะขยายเวลา ขยายอายุความแต่ประการใด ยังคงเป็นกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ในการประเมินภาษีจากเจ้าของหุ้นที่แท้จริงโดยตรง ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวการที่ย่อมต้องมีความผูกพันต่อการกระทำของตัวแทนด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

...

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นสิ่งที่เกิดตามมา คือ กรมสรรพากรต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายต่อไป ได้แก่ การประเมินภาษีก่อนสิ้นเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนทุกขั้นตอนเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับหน่วยงานราชการอื่นๆ ต่อไป และปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล โดยผู้ถูกประเมินภาษีก็ยังมีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน เป็นวิธีการปกติ แล้วก็ไปต่อสู้ในศาล สุดท้ายการที่จะเรียกเก็บภาษีได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับศาล ทุกอย่างต้องเกิดชัดเจนขึ้น รัฐบาลไม่สามารถจะช่วยใคร เข้าข้างใครได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องของของกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อได้ข้อยุติมาแล้ว ตัดสินออกมาแล้ว ทุกคนก็ต้องเชื่อถือ เชื่อมั่น เคารพการตัดสินของศาล อย่าเอะอะโวยวายกัน เพราะตนนำเข้าพิจารณาแล้ว ไม่งั้นศาลก็เสียหาย กระบวนการยุติธรรมเสียหายเข้าไปอีก อันนี้ก็ขอให้ใช้เหตุใช้ผล อย่าใช้ความรู้สึก ดูแลข้อกฎหมายด้วย รวมทั้ง "กรณีสินบนโรลส์-รอยซ์" นั้น ตนไม่ได้มองเพียงว่า เราจะแก้ปัญหา หาคนมาลงโทษได้อย่างไรเท่านั้น เราต้องสร้างความชัดเจนให้กับสังคมในปัจจุบันด้วย สิ่งที่เป็นห่วงคือว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไรวันข้างหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีก สิ่งเลวร้ายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในสังคมไทย ไม่ตามมาหลอกหลอนพวกเรา หรือรัฐบาลต่อๆ ไป ซึ่งบั่นทอนการพัฒนาประเทศของเรา.