รัฐบาลแถลงตัวเลขประชาชนที่เข้าไปลงทะเบียนในแอปฯ “ทางรัฐ” เพื่อรับสิทธิโครงการเติมเงิน 10,000 บาท  จากกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือดิจิทัลวอลเล็ต ล่าสุดวันนี้ (5 ส.ค.67) มีจำนวนกว่า 24 ล้านคนแล้ว

ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่า ประชาชนคนไทยมีความต้องการในกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท สูงจริงๆ ไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างไร หรืองัดเอาเหตุผลกลใดออกมาคัดค้าน เพราะไม่ต้องการให้โครงการนี้เกิดก็ตาม

ที่ผ่านมาจนถึงช่วงเวลาที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการนี้ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ก็ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งแสดงความวิตกกังวลว่า หากต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลถึง 450,000 - 500,000 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน อาจส่งผลให้เกิดวิกฤติการคลังในอนาคตได้

นับจากวันเวลาที่คาดว่าจะเบิกจ่ายเงินให้ประชาชนได้ก่อนส้ินเดือน ธ.ค.67 หรือในช่วงวันคริสต์มาส เพื่อใช้จ่ายผ่านช่วงเทศกาลวันปีใหม่ และวันสงกรานต์ของไทย ในเดือน เม.ย.68 นั้น 

โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชน 45 ล้านคน อาจส่งผลต่อระบบการคลังของประเทศอย่างรุนแรง จนเกิดวิกฤติการขาดดุลการคลังที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศล่มสลายเหมือนประเทศกรีซ หรือเวเนซุเอลาได้ 

เพราะปัจจุบัน รัฐบาลมีหนี้สาธารณะคงค้างทั้งที่ค้ำประกันและไม่ค้ำประกันมากถึง 11.8 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 65.06% ของ GDP และจากนี้ไปจนถึงปี 2571 ยังคาดการณ์ด้วยว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 14.9 ล้านล้านบาท หรือ 67.05% ของ GDP ยังไม่รวมยอดหนี้คงค้างอื่นๆ อีกราว 1 ล้านล้านบาท เฉียดเพดานวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ ไม่ให้หนี้สาธารณะเกิน 70% ของ GDP เพียงนิดเดียว

ในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เพิ่งเข้ามาบริหาร และจัดการกับงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินปี 67-68 ในวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท และ 3.75 ล้านล้านบาท ตามลำดับนั้น 

...

สิ่งที่ต้องเข้ามาดำเนินการต่อจากรัฐบาลก่อนก็คือ การจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องเพื่อกู้เงินมาใช้หนี้ ซึ่งสูงถึงปีละกว่า 800,000-900,000 ล้านบาท ปัญหานี้ทำให้มองไม่เห็นแนวโน้มว่า หนี้สาธารณะจะมีโอกาสปรับลดลงได้อย่างไร 

เมื่อสถานการณ์ทางการคลังดำเนินไปเช่นนี้ จึงไม่เห็นว่ารัฐบาลจะต้องเสี่ยงใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลเพื่อเติมเงินในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลอีกทำไม? โดยเฉพาะต้องการทำเพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงทางการเมืองกลับมายังพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

คำถามและคำตอบที่เป็นธรรมสำหรับรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ในเรื่องนี้ก็คือ มีแนวคิดหรือผลผลิตจากนโยบายอื่นใดไหม ที่รัฐบาลใหม่จะนำมาใช้ผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้โดยไม่ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน

ถ้ามัวแต่คิดว่า ติดเงื่อนไขหนี้จำนวนมหาศาลที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อ คงทำอะไรไม่ได้ ...ก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้ ถอยหลัง ก็ไม่ได้!

กลับมาว่ากันต่อเรื่องการลงทะเบียนของคน 24 ล้านคน โดยไม่ติดขัดเลย เห็นทีจะต้องชมการทำงานของ กระทรวงดีอี กับองค์การมหาชนที่รับผิดชอบเรื่องดิจิทัล กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และสำนักนายกฯที่ทำงานร่วมกันมาหลายเดือน เพื่อเชื่อมต่อระบบข้อมูลผ่านสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร ให้การลงทะเบียนขอรับสิทธิและการยืนยันตัวตน ดำเนินไปด้วยความราบรื่น

ถึงเวลาต้องให้บริการจริง หรือจ่ายเงินให้ประชาชนจริงๆ รัฐบาลและผู้ลงทะเบียนจะเชื่อมั่นได้ว่า ระบบการชำระเงินและระบบเติมเงินของดิจิทัลวอลเล็ต น่าจะราบรื่นได้โดยระบบไม่ล่ม เพราะขณะนี้มีแบงก์พาณิชย์และแบงก์รัฐ เข้าลงทะเบียน เพื่อร่วมโครงการนี้แล้ว 14 แบงก์ด้วยกัน...และท้ายที่สุด ทุกแบงก์จะเข้ามาร่วมโครงการกันหมดแน่นอน

ถึงเวลานั้น กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจน่าจะขับเคลื่อนได้ ...ที่มี Due กันมาก่อนหน้า...จะ Done ก็คราวนี้แหละ!

ผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ยังยืนยันด้วยว่า กระบวนการในโครงการเติมเงินนี้ ดำเนินการตามกรอบวินัยการเงินการคลังทุกข้อ พร้อมกับตั้งเป้าหมายที่จะให้มีเงินหมุนในระบบด้วยการปล่อยเงิน 10,000 บาท จากกระเป๋าเงินดิจิทัลให้แก่ประชาชนคนไทยพร้อมๆ กันคราวเดียวในกรอบวงเงินที่เตรียมไว้ 30-35 ล้านคนแรก

สำหรับกลุ่มที่สองซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน รวมถึง ผู้สูงวัย ผู้ป่วยติดเตียง และผู้พิการ ซึ่งจะให้ใช้บัตรประจำตัวประชาชนไปยืนยันตนเองกับร้านค้า โดยให้ไปลงทะเบียนได้ในช่วงวันที่ 16 ก.ย.-16 ต.ค.67 นั้น

สำนักนายกฯ กำลังเร่งหารือกับหน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกที่ไม่สร้างความยากลำบากให้แก่ผู้สูงอายุ คนป่วยติดเตียง และกลุ่มคนพิการ ซึ่งจะต้องเดินทางไปแสดงตนด้วยตัวเองอีกครั้ง 

ในเวลาเดียวกันก็จะหารือกับ อสม. อบต. อบจ. กระทรวงการคลัง แบงก์รัฐ อย่าง ออมสิน กรุงไทย ธอส. และ ธ.ก.ส. เพื่อช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถใช้จ่ายเงิน 10,000 บาท ได้เช่นเดียวกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ

สุดท้าย คนที่ไปลงทำเบียนขอรับสิทธิในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลน่ะ จะได้รับผลการแจ้งสิทธิตามโครงการผ่านการแจ้งเตือนในแอปฯ “ทางรัฐ” ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.67 เป็นต้นไป

ขอย้ำเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับสิทธิในโครงการนี้อีกครั้งว่า ต้องมีสัญชาติไทย มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ณ วันปิดรับลงทะเบียน (15 ก.ย.67) มีรายได้ไม่เกินปีละ 840,000 บาท และมีเงินฝากในธนาคารรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท (ณ วันที่ 31 มี.ค.67)

สำหรับความพยายามจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จน่ะ รัฐบาลมีแนวคิดที่จะต่อยอด Transform ให้เป็น บาทดิจิทัล ในอนาคตเพื่อให้เข้ากับการปรับโครงสร้างระบบการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่ เพื่อให้การใช้จ่ายภาครัฐเกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้

...

ร่วมมือกับรัฐบาลดีกว่าจะหาเรื่องมาต่อต้านกัน