ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย นโยบายหาเสียงแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง พร้อมสั่งให้ พิธา-ก้าวไกล ห้ามพูด-เขียน-พิมพ์ และไม่ให้มีการแก้ไขมาตราดังกล่าวในอนาคตด้วย 

วันที่ 31 มกราคม 2567  ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความของอดีตพระพุทธะอิสระ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคในขณะนั้น (ผู้ถูกร้องที่ 1) และ พรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) มีนโยบายเสนอแก้มาตรา 112 เป็นการกระทำที่เข้าข่าย ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ ภายหลังเมื่อช่วงเวลา 09.30 น. ที่ผ่านมาองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมปรึกษาหารือ และลงมติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

ล่าสุด เมื่อเวลา 14.13 น. ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณา เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 และให้ผู้ถูกร้องชี้แจ้ง พร้อมขอเลื่อน 2 ครั้ง โดยศาลได้รับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านครบถ้วนแล้ว

พบว่า แม้การเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 จะเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร และร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้รับการบรรจุในสภาก็ตาม แต่ร่างกฎหมายนี้ กลับดำเนินการโดยผู้ถูกร้องทั้ง 2 ทั้งสิ้น โดยผู้ถูกร้องทั้ง 2 ได้ร้องต่อศาลว่า ได้เสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 แล้ว แต่ปัจจุบันเนื้อหาดังกล่าวยังมีการปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกล และเสนอเป็นนโยบาย ดังนั้น ถือได้ว่า พรรคก้าวไกล และนายพิธา เสนอแก้ไขมาตรา 112  เป็นพฤติการณ์ที่แสดงออก เพื่อต้องการลดทอนอำนาจพระมหากษัตริย์ลงโดยอาศัยอำนาจทางนิติบัญญัติ ผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์รณรงค์หาเสียง ผ่านรูปแบบของพรรคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนอาจหลงไปตามความคิดเห็นได้ 

...

อีกทั้ง การที่นายพิธา และพรรคก้าวไกล ใช้เป็นนโยบายหาเสียงต่อเนื่อง เป็นการนำสถาบันลงมาเพื่อหวังผลทางคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ทำให้สถาบันเข้าไปเป็นฝักฝ่ายในการรณรงค์ทางการเมือง อันไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีเจตนาเซาะกร่อนพระมหากษัตริย์ ให้อ่อนแอลง ดังนั้น ข้อโต้แย้งของทั้ง 2 จึงฟังไม่ขึ้น 

ส่วนข้อโต้แย้งที่นายพิธา และพรรคก้าวไกล แย้งว่าเป็นการกระทำให้ฐานะสภาผู้แทนราษฎร ไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติพรรคการเมืองนั้น พบว่าที่ผ่านมาการดำเนินการกลับอยู่ในฐานะพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น 

อีกทั้งผู้ถูกร้องทั้ง 2 ได้รณรงค์ปลุกเร้ากับกลุ่มการเมืองต่างๆ และพบว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่ม “ยืนหยุดขัง” และยังพบว่ามีสมาชิกในพรรคก้าวไกลทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้เคยจัดชุมนุมยกเลิกมาตรา 112 โดยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว และยังมีพฤติการณ์เป็นนายประกัน รวมถึงยังพบว่ายังมี สส.ในพรรค มีคดีในมาตรา 112 อีกหลายคน 

ผู้ถูกร้องทั้ง 2 จึงไม่อาจโต้แย้งได้ว่าเป็นการเห็นต่าง หรือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง เพราะพฤติการณ์ที่เข้าร่วมการชุมนุมหรือเป็นนายประกันให้ผู้ต้องหาตาม มาตรา 112  ย่อมแสดงให้เห็นว่าพรรคผู้ถูกร้อง ต้องการเปลี่ยนแปลง แก้ไข และยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกทั้งในการจัดกิจกรรมของ ตะวัน ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ แบม อรวรรณ ภู่พงษ์ สองนักกิจกรรมทางการเมือง ในหัวข้อ “คุณคิดว่ามาตรา 122 ควรยกเลิกหรือแก้ไข” นายพิธา ยังร่วมติดสติกเกอร์ในช่อง “ยกเลิก” และยังปราศรัยว่า “ประชาชนเสนอยกเลิกมาตรา 112 เข้ามา พรรคก้าวไกลจะเสนอให้มีการแก้ไขในสภาก่อน หากยังไม่มีการแก้ไข จะไปสู้ด้วยกันกับน้องๆ” แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่จะยกเลิกมาตรา 112 

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงวางบรรทัดฐานว่า พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เหนือการเมืองและดำรงความเป็นกลางทางการเมือง การกระทำใดที่ถือเป็นการเซาะกร่อน ทำลายถือเป็นการล้มล้างการปกครอง อีกทั้งการแสดงสิทธิเสรีภาพต้องไม่ละเมิดบุคคลอื่นด้วย ต้องไม่กระทบต่อชาติ ความสงบเรียบร้อย และบุคคลอื่น แต่ผู้ถูกร้องทั้ง 2 มีการแสดงออกซ่อนเร้น โดยใช้ มาตรา112  และมีการรณรงค์มาอย่างต่อเนื่องทำเป็นกระบวนการ ทั้งการชุมนุม การยื่นต่อสภา และใช้เป็นนโยบายการหาเสียง จึงไม่ไกลเกินเหตุที่จะล้มล้างการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1 ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าการแสดงสิทธิดังกล่าวเป็นการล้มล้างการปกครอง และสั่งให้ทั้ง 2 เลิก การพูด การเขียน การพิมพ์ และไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ในอนาคตด้วย 

ในช่วงท้าย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุด้วยว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผู้ที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ขอให้ตระหนักว่า การวิจารณ์คำวินิจฉัยที่กระทำโดยไม่สุจริต และใช้ถ้อยคำหรือมีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 38 วรรคท้าย ซึ่งจะมีโทษทั้งตักเตือน จำคุก หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท”