ประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว และประเทศที่มีระบบสาธารณสุข สำหรับดูแลประชาชนได้อย่างยอดเยี่ยมลำดับต้นๆ ของโลก

แต่หลังเกิดการระบาดของ ไวรัส Covid19 ไม่นาน พญาอินทรีปีกกล้า กลับต้อง “ร่วงลงจากฟากฟ้า ไถลลู่ลงดิน” ไม่ต่างจากชาติตะวันตกอื่นๆ ที่ถูก Covid19 เล่นงาน จนมีสภาพไม่ต่างจาก ไมค์ ไทสัน ถูกน็อกลงไปกองกับพื้น

หากจับจ้องดีๆ เราจะพบ “ความแปลกแยก” บางอย่าง ที่สหรัฐอเมริกาไม่เหมือนกับชาติตะวันตกอื่นๆ ซึ่ง “เรื่องนี้แหละ” ที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอ “หยิบยก” มาให้ร่วมกันสังเคราะห์กัน ในวันนี้

“ความแปลกแยก” ที่ว่านี้ก็คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเหล่าผู้นำในรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบัน ที่เหตุไฉน จึงมักจะมี “ปฏิกิริยาแปลกๆ” จนถูกทั้งสื่อในสหรัฐฯ และชาวโลก ตั้งคำถามตัวโตๆ มาตลอดในช่วงของการแพร่ระบาด Covid19

...

หากลองให้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ลองฉายหนังตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน ก็เช่นว่า การออกมาตำหนิ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ว่า ทำงานผิดพลาดและเข้าข้างประเทศจีน จนทำให้ทั้งโลกและสหรัฐฯ ต้องเผชิญวิบากกรรมจากไวรัสร้าย ทั้งๆ ที่ สหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคเงินให้กับ WHO มากกว่า ประเทศจีน หรือ จู่ๆ ก็ไปกล่าวหา หลายประเทศ เช่น จีน รัสเซีย อิหร่าน และ เกาหลีเหนือ ว่า รายงานเท็จ เรื่องตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต

รวมถึงวันดีคืนดี ก็กล่าวชมเชย ผู้ที่ถืออาวุธ (ปืน) ออกมาชุมนุมประท้วง ต่อต้าน มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในหลายๆ รัฐของสหรัฐอเมริกา ว่า “Great people” และอีกหนึ่งเรื่องพีค คือ การประกาศส่งเสริมให้อเมริกันชน เป็น ปฏิปักษ์ กับ หน้ากากอนามัย ในชนิดที่เรียกว่า ใครในโลกนี้ จะสวมใส่มัน เพื่อป้องกันไวรัสร้ายนี้ก็ช่าง แต่ “ฉันไม่สน” และ “ฉันรวมถึงคนในรัฐบาล” จะไม่สวมใส่มัน แม้เวลาจะออกไปยังสถานที่สาธารณะ หรือต้องใกล้ชิดกับคนอื่นๆ ก็ตาม

อึม...จากบรรทัดข้างต้นนี้ เป็นเพียง “หนังตัวอย่าง” ของ “ปฏิกิริยาแปลกๆ” ที่ว่านี้เท่านั้น หากทุกท่าน อยากร่วมกัน สังเคราะห์ เพิ่มเติม ท่านก็สามารถเลื่อนสายตาลงไปอ่านในสิ่งที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ “รวบตึง” มาให้ร่วมกัน “สังเคราะห์ดู” ว่า ตกลงที่ “พญาอินทรีสิ้นท่า” ได้ขนาดนี้ มันเกิดจาก ปัจจัยภายนอก หรือ ปัจจัยภายใน กันแน่.....

6 มีนาคม 2563

“ใครก็ตาม (ชาวสหรัฐฯ) ที่ต้องการตรวจ (covid19) ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจ” ท่านผู้นำทรัมป์ ประกาศก้อง

ผลลัพธ์ที่ได้

เอกสารทางการสหรัฐฯ รายงานว่า ยังคงมีชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้รับการตรวจ Covid19 ไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วย ที่อยู่ในกลุ่มซึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ควรจะต้องเข้ารับการตรวจ ก็อยู่ในข่ายนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากประสบปัญหา ขาดแคลนทั้งอุปกรณ์และชุดตรวจ Covid19

หลังรายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ในวันที่ 16 มีนาคม ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมากลับลำทันควัน โดยกล่าวว่า “หากคุณ (ชาวอเมริกัน) ไม่มีอาการ (Covid19) และ แพทย์ที่รักษา คุณ (ชาวอเมริกัน) วินิจฉัยว่า ยังไม่จำเป็นต้องตรวจ คุณก็ยังไม่ต้องตรวจก็ได้”

...

นอกจากนี้ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ และ รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์ ออกมาประสานเสียงในทำนองว่า มีจำนวนชาวอเมริกันได้รับการตรวจ เกือบ 100,000 ตัวอย่างต่อวันนั้น บรรดาผู้ว่าการรัฐหลายรัฐ กลับยังคงออกคำเตือนเรื่อง ปัญหาขาดแคลนทั้งอุปกรณ์และชุดตรวจ Covid19 อยู่เลย!

13 มีนาคม 2563

รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า สามารถดำเนินการตรวจหา Covid19 ไปแล้วกว่า 685,000 ตัวอย่าง จากนั้น ในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม ออกมาประกาศอีกครั้งว่า สามารถตรวจชาวอเมริกันได้แล้ว 1,100,000 ตัวอย่าง

ผลลัพธ์ที่ได้

เจ้ากรรม! จำนวนอเมริกันชน ที่ได้รับการตรวจ Covid19 นี้ ยังห่างไกลกับตัวเลข 27 ล้านคน ที่ กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐ ได้ให้คำมั่นเอาไว้ “จะได้รับการตรวจ” ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง!

17 มีนาคม 2563

ท่านผู้นำทรัมป์ ประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่า มีส่วนเป็นอย่างยิ่งในการผลักดัน โครงการ ระบบจุดตรวจ drive-through หาเชื้อ Covid19 ทั่วประเทศ โดยเบื้องต้น คาดว่าจะมีอย่างน้อย 47 จุด ใน 12 รัฐ ก่อนเป็นลำดับแรก

...

ผลลัพธ์ที่ได้

เพียง 2 สัปดาห์หลังคำประกาศ กลับพบจุดตรวจที่ว่านี้ เพียง 30 จุด ที่เปิดให้บริการ และทั้งหมดไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน แถมต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลางของสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่า มีเพียง 28 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ ของ สหรัฐอเมริกา ที่ให้การสนับสนุนโครงการ ระบบ drive-through testing ที่ว่านี้ด้วย

นอกจากนี้ ภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เช่น บรรดาห้างค้าปลีก และร้านขายยาชื่อดัง ที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว มีรายงานว่า ยอมจัดตั้งจุดตรวจ drive-through เพียง 5 จุด เท่านั้น และบางจุด ยังจำกัดการให้บริการตรวจ สำหรับ ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีอาการแสดงว่า อาจจะติดเชื้อ Covid19 เท่านั้นอีกด้วย

26 กุมภาพันธ์ 2563

อาจจะมีชาวอเมริกัน เพียงแค่ 1 หรือ 2 คน เท่านั้น ที่อาจจะติดเชื้อ Covid19 ภายในระยะสั้นๆ ต่อจากนี้ และจากนั้นอีกไม่เกินหนึ่งหรือสองวันต่อมา เรา (สหรัฐอเมริกา) จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อ ค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งเหลือใกล้เคียง 0 และนั่นคือความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมจากงานที่เรากำลังทำ ท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวด้วยความมั่นใจ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์

...

ผลลัพธ์ที่ได้

เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ประเทศสหรัฐอเมริกา พบผู้ติดเชื้อ 158 คน และอีกเพียง 7 วันต่อมา จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุสู่ 1,267 คน เสียชีวิต 38 ศพ ใน 43 รัฐ ทั่วสหรัฐอเมริกา!

และปัจจุบัน จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยังคงพุ่งทะยานไม่หยุด จนกระทั่งล่าสุด ณ วันที่ 6 พ.ค. 63 (เวลาในไทย 21.47 น.) สหรัฐอเมริกา มีผู้ติดเชื้อ 1,239,848 คน และเสียชีวิต ไปแล้ว 72,381 ศพ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พ.ค. 63 จาก www.worldometers.info)

11 มีนาคม 2563

ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ มีความเสี่ยง (ต่อการติดเชื้อ Covid19) น้อย และน้อยมากๆ นอกจากนี้ คนวัยหนุ่มสาว และผู้ที่มีสุขภาพดี จะสามารถหายจากอาการป่วยได้เร็ว หากติดเชื้อ Covid19 ท่านผู้นำทรัมป์ กล่าวด้วยความมั่นใจ (อีกแล้ว)

ผลลัพธ์ที่ได้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ CDC รายงานต่อสาธารณชนว่า ณ วันที่ 16 มีนาคม มีชาวอเมริกัน 29% จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด อยู่ในช่วงวัย 20-44 ปี นอกจากนี้ เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีอายุต่ำกว่า 65 ปี

ขณะที่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญ ยังได้ออกมาเตือนว่า กลุ่มวัยรุ่น จะเป็นกลุ่มที่มักไม่แสดงอาการป่วยออกมาหากติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเสี่ยงสูงมาก ที่อาจจะกลายเป็นพาหะในการแพร่เชื้อต่อไป โดยเฉพาะกับ กลุ่มที่มีอายุมากกว่า 85 ปี และสุขภาพไม่แข็งแรง ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่อาจจะเสียชีวิตหากติดเชื้อ Covid19

และจากรายงานของ CDC ในเดือนมีนาคม อีกเช่นกัน ยังพบด้วยว่า 20% ของ ผู้เสียชีวิต ติดเชื้อมาจากคนในครอบครัว ที่มีอายุระหว่าง 20-64 ปี

24 มีนาคม 2563

มันมีความเป็นไปได้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จะสามารถกลับมาเปิดประเทศ (เพื่อฟื้นฟูภาคธุรกิจ) ได้อีกครั้งในวันอีสเตอร์ (12 เมษายน) ซึ่งช่วงเวลานั้น จะถือเป็นช่วงเวลาที่งดงาม สำหรับชาวอเมริกัน

ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งคำถามอย่างท้าทายกับสื่อมวลชน ในการแถลงข่าววันนั้น

ผลลัพธ์ที่ได้

วันเดียวกัน นายแพทย์ แอนโธนี ฟาวชี ผอ.สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อของสหรัฐฯ กล่าวกับสำนักข่าว CNN ถึง ถ้อยแถลงของผู้นำสหรัฐฯ ว่า เป็นเพียง “คำพูดปลอบใจ” เพื่อให้ประชาชน ยังคงมีความหวังเท่านั้น

ต่อมาในวันที่ 29 มี.ค. ผู้นำสหรัฐฯ ให้แต่ละรัฐ ยืดมาตรการ social distancing ต่อไปจนถึง วันที่ 30 เมษายน และต่อมา ในวันที่ 31 มี.ค. ก่อนถึง “ช่วงเวลาแห่งความงดงามแห่งอีสเตอร์” ที่ผู้นำสหรัฐฯ เอ่ยอ้างก่อนหน้าเพียงแค่ 2 วัน

ทรัมป์ ร้องขอให้ อเมริกันชน เตรียมพร้อมรับมือกับ “สองสัปดาห์แห่งความยากลำบาก” ท่ามกลาง คำเตือนว่า อาจมีชาวอเมริกันมากถึง 100,000 ถึง 240,000 ศพ เสียชีวิตจาก Covid19

29 กุมภาพันธ์ 2563

อุปกรณ์ทางการแพทย์ “จำนวนอภิมหาศาล” กำลังจะถูกส่งถึงมือ (บุคลากรทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา) เรามี หน้ากากอนามัยมากกว่า 43 ล้านชิ้น ซึ่งถือว่ามีจำนวนมหาศาลเกินกว่าที่ใครจะคาดถึง และเราจะมีมากขึ้น และมากขึ้นอีกเร็วๆ นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าว

ผลลัพธ์ที่ได้

วันที่ 1 เมษายน คลังยุทธปัจจัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยรายงานว่า ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE รวมถึง หน้ากากอนามัย อยู่ในภาวะขาดแคลนและใกล้ที่จะหมดไปจากคลัง นับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกา และเตือนอีกว่า เฉพาะที่ คลังยุทธปัจจัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอาจเพียงแห่งเดียว อาจมีของไม่เพียงพอ สำหรับการสนับสนุนทั้ง 50 รัฐ หากถูกร้องขอ

ด้วยเหตุนี้ ทุกรัฐฯ ในสหรัฐอเมริกา จึงได้ยกระดับการแจ้งเตือน เรื่องปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยทันที จนทำให้เกิดความวุ่นวายลุกลามตามมา

และเมื่อสถานการณ์ส่อเค้าว่า กำลังจะเลวร้ายลงตามลำดับ CDC ถึงขั้นต้องออกคู่มือการทำหน้ากากผ้าด้วยตัวเอง ออกแจกจ่ายให้กับ บรรดาบุคลากรทางแพทย์ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ถึงขั้นที่ไม่สามารถหาหน้ากากอนามัย เอาไว้ใช้งานได้ รวมถึง มีการแจ้งไปยัง โรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้พิจารณาเรื่องการนำหน้ากากอนามัย กลับมาใช้ใหม่ อีกด้วย

ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้ บุคลากรทางการแพทย์ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังทำงานอยู่ในแนวหน้าเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาด เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

13 มีนาคม 2563

Google กำลังช่วยพัฒนาเว็บไซต์ และกำลังเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นในเร็ววันนี้ มันจะไม่เหมือนกับเว็บไซต์เดิม เพื่อมุ่งมั่นในการค้นหาความจริง ไม่ว่าจะเป็นการรับรองการตรวจ หรืออำนวยความสะดวกในการตรวจ (Covid19) ทรัมป์ เล่นบทเป็นเจ้าพ่อไอทีบ้าง

ผลลัพธ์ที่ได้

Google ออกแถลงการณ์ถึงเรื่องนี้ ว่า กำลังพัฒนาเครื่องมือในการช่วยคัดแยกและติดตาม ผู้ป่วยCovid19 รายบุคคล แต่มันกำลังอยู่ในระยะแรกของการพัฒนาเท่านั้น และเบื้องต้นวางแผนการทดสอบในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียก่อน จากนั้นจึงจะค่อยขยายออกสู่วงกว้างในลำดับถัดไป

31 มีนาคม 2563

เรา (รัฐบาลสหรัฐฯ) มีเครื่องช่วยหายใจ มากกว่า 10,000 ชุด ที่พร้อมจะถูกส่งลงเรือไปยังรัฐต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรค Covid19 และทั้งหมด จะถูกส่งไปในทันที ท่านผู้นำสหรัฐ กล่าว

ผลลัพธ์ที่ได้

สำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ รายงานว่า ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ติดต่อไปยัง คลังยุทธปัจจัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เพื่อร้องขอ เครื่องช่วยหายใจ 2,109 ชุด คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ “ไม่มีหลงเหลือติดคลัง” เนื่องจาก สัญญาที่ทำไว้กับรัฐบาลกลาง สิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา

และสอดคล้องกับที่หลายๆ รัฐในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการประกาศยกระดับ คำเตือนเรื่องขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจ และไม่ได้รับการสนับสนุนที่มากพอจากรัฐบาลกลาง

2 มีนาคม 2563

สิ่งที่พวกคุณจะพูดกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าต่อจากนี้ คือ หากคุณคิดว่าจะได้วัคซีน (รักษาCovid19) คุณก็จะมีวัคซีน ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าว

ผลลัพธ์ที่ได้

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ ต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วัคซีนรักษา Covid19 กำลังอยู่ในขั้นตอนที่พร้อมจะนำไปทดสอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเท่านั้น และเร็วที่สุด ที่จะมีวัคซีนสำหรับรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ อาจจะต้องรอไปอีกอย่างน้อย 1 ปี หรือ 1 ปี ครึ่ง หรืออาจจะนานกว่านั้น....

19 มีนาคม 2563

ยาคลอโรควิน (Chloroquine) ที่ปัจจุบันใช้สำหรับ รักษาโรคมาลาเรีย มีผลการทดสอบที่น่าพอใจมากๆ คราวนี้ ท่านผู้นำ ขอสวมบทเป็นกูรู ด้านเภสัชกร บ้าง

และหลังสิ้นสุดคำพูดนี้เพียง 10 วัน ผู้นำสหรัฐฯมีคำสั่งให้ สำนักงานอาหารและยา ของสหรัฐฯ หรือ FDA ตรวจสอบ ยาชนิดนี้ ว่าสามารถใช้รักษาโรค Covid19 ได้หรือไม่?

ผลลัพธ์ที่ได้

เป็นที่ทราบกันดีตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาว่า ยาคลอโรควิน ถูกใช้สำหรับผู้ป่วยโรคมาลาเรีย และยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ว่า จะนำมาใช้รักษาผู้ป่วย Covid19 ได้

นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา ทั้ง FDA และ แพนตากอน ยังได้ออกมาเตือนว่า การใช้ยาชนิดนี้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะมีความเสี่ยงต่ออันตราย ที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียง เรื่องปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะและกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึง ยังไม่มีผลพิสูจน์ที่แน่ชัดมากพอว่า สามารถรักษาโรค Covid19 ได้

พฤษภาคม 2563

ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ และ ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาประสานเสียง มีหลักฐานว่า ไวรัส Covid19 มีต้นกำเนิดมาจากห้องทดลองในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และ องค์การอนามัยโลก ควรละอายแก่ใจที่ทำงานบกพร่อง แถมยังทำตัวไม่ต่างจาก บริษัทประชาสัมพันธ์ ให้กับ รัฐบาลจีน

ผลลัพธ์ที่ได้

เจ้าหน้าที่จาก 5 ชาติพันธมิตรข่าวกรอง หรือ The Five Eyes alliance ที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ว่า “แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” ที่ การแพร่ระบาดของโรค Covid19 มีต้นกำเนิดมาจากห้องทดลองในประเทศจีน และปัจจุบัน ประเด็นนี้ยังไม่มีข้อมูลหรือทฤษฎีใดๆ มารองรับอีกด้วย แต่กลับกัน “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ที่ การแพร่ระบาดครั้งนี้ เป็นการเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทั้งจากกรณี คนสู่คน และ สัตว์สู่คน โดยมีต้นกำเนิดการแพร่ระบาด มาจาก “ตลาด” ในประเทศจีน เพียงแต่ จนถึง ณ ขณะนี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ไวรัสชนิดนี้ มันเข้าไปอยู่ใน “ตลาด” ได้อย่างไร?

สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน
สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน

สอดคล้อง กับ นายแพทย์ แอนโธนี ฟาวชี ผอ.สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อของสหรัฐฯ ที่ให้สัมภาษณ์ กับ นิตยสารเนชั่นแนลจิโอกราฟฟิก ว่า ตนเองไม่เชื่อว่า ไวรัสCovid19 มีต้นตอมาจากห้องแล็บในประเทศจีน เพราะหากมองวิวัฒนาการ ของ ไวรัส ใน ค้างคาว จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีนั้น พบว่า มันมีวิวัฒนาการที่เป็นไปตามธรรมชาติ และยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ใดๆ เลยว่า ไวรัสดังกล่าวเกิดจาก “ถูกสร้างขึ้น” หรือ “จงใจดัดแปลงพันธุกรรม” ด้วยฝีมือมนุษย์

ขณะที่ล่าสุด หนังสือพิมพ์ Global Times กระบอกเสียงรัฐบาลปักกิ่ง ได้ออกตอบโต้ข้อกล่าวหาของ ผู้นำสหรัฐฯ แทนรัฐบาลจีนอีกว่า กำลังสร้างความมึนงงให้กับชาวโลก จากข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล พร้อมทั้งฝากคำท้าทายไปถึงทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ว่า หากมีหลักฐานที่พิสูจน์ข้อกล่าวหานี้ได้จริงอย่างที่พูด ก็ควรจะนำหลักฐานนั้น ออกมาเปิดเผยต่อชาวอเมริกันและชาวโลก

อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ “คุณรู้สึกอย่างไร?” กับ ท่าที “ของผู้นำสหรัฐฯ” ที่มีชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กันบ้าง?

สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ที่คอมเมนต์ด้านล่างนี้

ข่าวน่าสนใจ