ประเด็นนี้ยังจุดติด เมื่อการนำเสนอหลักฐานของ 2 ฝักฝ่ายยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดๆ "ทำไม?" กลุ่มประชาชนที่เดินทางมาฟังปราศรัยในวันนั้นจึงเกาะกลุ่มกันเดินลุกหนีขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ยังคงต่อคิวรอขึ้นมาแสดงวิสัยทัศน์บนเวที ท่ามกลางกระแสที่สื่อมวลชนหลายสำนักพากันประโคมปล่อยคลิป พร้อมคำชี้แจงที่ว่า "ก็เพราะ ส.ส.พลังประชารัฐ กำลังพูดจาโจมตีว่าอดีตพรรคต้นสังกัดอย่างเพื่อไทย" บ้างก็ระบุไปว่า "เพราะ ส.ส.ที่ปราศรัยพาดพิงอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จึงทำให้ชาวบ้านซึ่งเป็นฐานเสียงเก่าไม่พอใจ"
ขณะที่ ทางแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ก็ดาหน้าพากันออกมาโต้กลับด้วยเหตุผลที่ว่า "ทั้งหมดเป็นการจัดฉากของบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อดิสเครดิตพรรค" การปราศรัยเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งมีการเปิดเพลงประจำพรรคดังขึ้น จนชาวบ้านคิดว่า เวทีกำลังจะเลิก ถึงเวลาทยอยเดินทางกลับตามปกติ นำสู่การออกมาชี้แจงตอบโต้ของฐานเสียงพรรคเพื่อไทยในพื้นที่มหาสารคาม "ด่าอะไร "ทักษิณ" ชาวมหาสารคามเดินหนี..อดีต ส.ส.พื้นที่ แจงชัดไม่ได้จัดฉาก"
...
ทางทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้รับข้อมูลอีกด้านจาก "นางจุรีพร สินธุไพร" ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งได้ขึ้นเวทีปราศรัยวันดังกล่าวด้วย ออกมาเผยแพร่คลิป พร้อมภาพถ่ายคนเสื้อแดงแท้ๆ ในพื้นที่ ซึ่งพร้อมใจกันออกมาฟังการปราศรัย เปิดรับนโยบายนำไปใช้เป็นการพิจารณาประกอบการลงคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความขัดแย้งแบ่งฝ่ายกันตามที่ข่าวได้เสนอออกไปก่อนหน้านี้ และเชื่อว่านั่นคือการปล่อยข้อมูลผิดๆ ดิสเครดิตพรรค
นางจุรีพร เปิดเผยว่า ตนเองไม่เคยปกปิดว่าตัวเองเคยลงเล่นการเมืองและเป็นฐานเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยมาก่อน ถึงวันนี้ก็ยังมีความรู้สึกดีๆ เคารพนับถือผู้ใหญ่ที่เคยให้โอกาส รวมไปถึงสานต่อความสัมพันธ์อันดีกับบรรรดามวลชนพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ เนื่องจากเราได้สัมผัสกันมายาวนานหลายปี จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปบาดหมางขัดแย้งกัน เมื่อวันนี้ได้เปิดให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ทุกพรรคก็ต้องปล่อยให้ประชาชนคิดเองฟังเอง เปิดรับนโยบายที่อาจจะตอบโจทย์ความพึงพอใจเข้าถึงวิถีชาวบ้านมากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่คนในจังหวัดให้เกียรติเดินทางมาร่วมฟังปราศัย และเหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี กระทั่งมีคนจงใจดิสเครดิตนำข่าวไปเสนอ
"อยากขอความเป็นธรรมจากสื่อ ให้นำข้อมูลที่ชัดเจนเสนออย่างเท่าเทียม ดิฉันไม่ได้อยากจะมาค้านความรู้สึกใคร แค่ตั้งใจจะทำความจริงให้ปรากฏ ในวันที่ปราศรัย ต้องยอมรับว่ามีมวลชนที่เป็นฐานเสียงของดิฉันในภาคอีสานติดตามมาฟังนโยบายของพรรคเป็นจำนวนมาก และยินดีเปิดรับข้อมูลไปพิจารณา ไม่มีใครรังเกียจ ด่าว่า หรือไม่พอใจที่ดิฉันขึ้นเวทีปราศรัยในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน พี่น้องประชาชนคนอื่นๆ ก็ให้ความร่วมมือในการรับฟัง ส.ส.ทุกคนขึ้นพูดเป็นอย่างดี"
...
นางจุรีพร บอกด้วยว่า ตนเองขึ้นเวทีปราศรัยเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะมีการปิดเวที ปรากฏว่ามี ส.ส.เดินทางล่าช้า มาถึงที่หมายไม่ทันกำหนดอีกจำนวนหนึ่ง จึงทำให้ต้องแจ้งกับประชาชนให้ทราบว่า เรายังมีใครมาขึ้นเวทีต่อบ้าง จึงไม่แปลกที่มีภาพและเสียงในการชักจูงให้คนกลับมานั่งฟังต่อ แต่แปลกที่มีการจับภาพถ่ายคลิปไว้ เหมือนจงใจนำไปเผยแพร่จนเป็นกระแสข่าวดัง
"เอาเป็นว่าสิ่งที่ดิฉันกล่าววันนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ทางพรรคพลังประชารัฐตั้งใจจะนำเสนอออกสู่สายตาประชาชน เพื่อให้ได้คิด วิเคราะห์ แยกแยะถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ได้จงใจอยากจะมาขัดแย้งกับใคร ที่สำคัญการเลือกตั้งครั้งใหม่ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ส่วนที่ว่า ส.ส.ขั้วอำนาจเก่าที่ย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ พยายามไปดึงมวลชนคนเสื้อแดงมาตามข่าวที่เสนอไปนั้น มันอาจจะเป็นวิธีคิดที่ดูถูกมวลชนเกินไปหรือเปล่า เพราะทุกคนมีสิทธิ์เลือก ตัดสินใจเอง ถ้าเค้าไม่ศรัธทราไม่รัก หรือไม่ชอบในบทบาทนโยบายเราขณะที่ลงสมัคร ส.ส.กับพรรคนี้ เค้าก็ไม่เลือก แต่ถ้าเค้าพึงพอใจ เค้าก็เลือก ...แค่นี้เอง"
นางจุรีพร ยอมรับว่า ขณะนี้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคตะวันออกที่รู้จักคุ้นเคย สัมผัสกันจำนวนเกินกว่าครึ่ง เค้าเปิดใจและเปิดโอกาสให้ตนเองเลือกจุดยืนทางการเมือง โดยไม่มีการต่อต้านด่าว่าใดๆ ไปไหนให้การต้อนรับดีตามปกติ อีกทั้งยังพากันแห่มาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ตรงจุดนี้ตนเองไม่มีสิทธิ์ไปบังคับชักจูง หรือแม้แต่กระทั่งตั้งตัวเป็นศัตรู ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิมทุกอย่าง และจะเดินหน้าพิสูจน์ความจริงบนถนนสายการเมืองต่อไป.
**อย่างไรก็ตาม ทางคุณจุรีพร ได้ส่งภาพความสัมพันธ์ที่ยังเหนียวแน่นกับประชาชนคนเสื้อแดงที่เคยสัมผัสกัน พร้อมยืนยันว่ายังอีกอีกนับหมื่นนับพันที่ไม่พร้อมจะออกสื่อแสดงตัวตน ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อต้องการให้ความจริงอีกด้านได้ปรากฎออกมาด้วย
...
...