หลังภารกิจค้นหา 13 ชีวิตทีมหมูป่าเสร็จสิ้นลง แน่นอนคำถามที่ตามมา คือ การดูแลฟื้นฟูสภาพร่างกายที่อ่อนล้า จากการอดอาหารมาเป็นเวลานาน เพื่อจะได้เป็นบันไดถัดไปสำหรับ การเตรียมความพร้อมในการนำตัวน้องๆ ออกมาจากถ้ำ

การฟื้นฟูร่างกาย ของทั้ง 13 ชีวิต มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว สุขภาพร่างกายแต่ละคนเป็นอย่างไร ลำดับขั้นตอน การฟื้นฟู ต้องเริ่มจากอะไร สภาพที่อยู่ในปัจจุบัน มีผลกระทบแผนการในการฟื้นฟูร่างกายหรือไม่ 

ในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีทุกคำตอบเหล่านั้น จากหนึ่งในทีมแพทย์อาสาสมัคร ที่ได้มีโอกาส ร่วมวางแผนการดูแล 13 ชีวิตทีมหมูป่า 

นพ.ธนสาร พฤฒิสถาพร แพทย์ผู้มีประสบการณ์การช่วยเหลือภัยพิบัติที่เนปาล และเป็นหนึ่งในทีมแพทย์อาสาสมัคร ที่ได้มีโอกาสร่วมวางแผนการดูแล 13 ชีวิตทีมหมูป่าในครั้งนี้ 

"ผมเชื่อว่า หากทุกคนได้เห็นภาพจากคลิปล่าสุดที่มีการเผยแพร่ออกมา ทุกคนก็คงสบายใจได้ว่า เด็กๆ ของเราทุกคนปลอดภัยดี ไม่มีอะไรน่าห่วง" นายแพทย์มากประสบการณ์ ในการช่วยเหลือชีวิตที่ประสบภัยพิบัติ เกริ่นนำกับทีมข่าวฯ

...

คำถามสำคัญ ทีมหมูป่า ฟิตพอดำน้ำออกจากถ้ำได้เมื่อไหร่?

หากถามว่า 13 ชีวิต จะมีความพร้อมทางร่างกายสำหรับการดำน้ำได้เมื่อไหร่ ส่วนตัวมองว่า เบื้องต้น ควรแยกเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ พวกที่ว่ายน้ำเป็น หรือเคยพอมีประสบการณ์ในการว่ายน้ำ กลุ่มที่สอง คือ พวกที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลย เพราะมันควรต้องมีการดูแลแตกต่างกัน

ส่วนในแง่ทางร่างกาย ส่วนตัวมองว่า การฟื้นฟูร่างกายให้พร้อมสำหรับการดำน้ำ น่าจะอยู่ที่การให้อาหารที่มีพลังงานเพียงพอ ให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะสร้างกล้ามเนื้อมากกว่าสลายกล้ามเนื้อ ซึ่งก็ต้องใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 24 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งระยะเวลาที่แน่นอนของแต่ละคน ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความฟิตและพลังงานสำรองของร่างกาย

และวันนี้ จากการประเมินสุขภาพเบื้องต้น ตามที่มีการแถลงข่าว น้องๆอยู่ในเกณฑ์สีเขียว ไม่ได้มีความเจ็บป่วยใดที่เร่งด่วน จนต้องรีบนำตัวออกมาจากถ้ำ

เพราะสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือ ความปลอดภัยของทั้ง 13 ชีวิต เวลาที่นำตัวพวกเขาออกมามากกว่า ซึ่ง ณ เวลานี้ในความเป็นจริง คือ แม้แต่หน่วยซีล ก็ยังประสบความยากลำบากในการดำน้ำไปถึงจุดที่เด็กๆ อยู่

ในเมื่อเป็นแบบนี้ หากน้ำยังคงท่วมถ้ำอยู่ แล้วจะเสี่ยงรีบร้อนเอาตัวเด็กออกมาทำไม...?

ฉะนั้น ในเมื่อหากการนำน้องๆ ออกมามีความเสี่ยงมากกว่าการอยู่ที่เดิม การเคลื่อนย้ายก็ยังไม่มีความจำเป็น เว้นแต่หากความเสี่ยงในการพาน้องๆ ออกมามีน้อยกว่าที่เป็นอยู่เดิม แบบนั้น จึงควรค่อยคิดหาทางกันอีกครั้ง น่าจะเหมาะสมกว่า หรือไม่?

สมาชิกทีมหมูป่า กายแกร่ง ใจแกร่ง เชื่อสภาพร่างกายไม่มีปัญหา แม้ติดถ้ำอดข้าว 9 วัน 

อย่างไรก็ดี ในส่วนตัวที่เป็นหมอ คงต้องขอวิเคราะห์ ใน 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1. สภาพจิตใจ และ 2. สภาพร่างกาย

ในประเด็นเรื่องสภาพจิตใจ นั้น หากเราวิเคราะห์จากคลิป จะเห็นได้ชัดว่า เด็กๆ ไม่มีปัญหาเรื่องนี้แน่นอน แม้จะติดอยู่ในถ้ำที่มืดมิด มีอากาศเย็น และไม่มีอาหาร มาเป็นเวลาเกือบ 10 วัน

นั่นเป็นเพราะ หากเด็กมีสภาพจิตใจที่ไม่ดีนัก จะต้องมีอาการหวาดผวา วินาทีแรกที่พบนักดำน้ำเด็กจะต้องกระโดดเข้าไปหาทันที 

คิดง่ายๆ เหมือนหากเราตกน้ำ หากเจอคนเข้าไปช่วย เราจะพุ่งไปหาทันที แต่นี่เด็กๆ ไม่แสดงอาการนั้น ไม่มีการกระโดดลงไปกอดนักดำน้ำในฐานะผู้ที่เข้ามาช่วยเป็นคนแรก แถมกลับอยู่เฉยๆ และนิ่งพอสมควร 

...

ซึ่งอาการทางจิต ที่แสดงออกนี้ สะท้อนให้เห็นว่าจิตใจของเด็กๆ ต้องแข็งแรงระดับหนึ่ง และไม่มีปัญหาทางสมอง เพราะไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถตอบโต้ หรือพูดเป็นภาษาอังกฤษ ถึงกับขอข้าวกับนักดำน้ำกิน ได้แน่นอน

หมูหวาน กล้วยอบน้ำผึ้ง สารพัดวิตามิน โปรตีนเจล เมนูแนะนำเริ่มต้นการฟื้นฟูร่างกาย 

ประเด็นที่ 2 สภาพร่างกาย เบื้องต้นไม่น่ามีอะไรน่าห่วง เพราะประเมินเบื้องต้นจากคลิป พบว่า บาดแผลไม่ได้ใหญ่มากนัก น้องๆ ยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อยู่

ส่วนเมื่อดูรูปอาจเห็นว่ามีภาวะผอมกว่ารูปเดิมนั้น เบื้องต้น มันอาจจะเกิดจากกล้องที่เอาไปถ่ายมันยังไม่ชัดเจนนักก็ได้ แต่หากถามว่า เด็กๆผอมลง ผิดปกติไหม มันก็มีความเป็นไปได้ เพราะไม่ได้กินข้าวมาเกือบ 9 วัน มันก็ต้องผอมลงอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

สำหรับประเด็นนี้ ไม่น่าห่วง ผอมลงก็แค่ให้อาหารกินกลับเข้าไป ที่ผ่านมาทีมแพทย์จากทุกภาคส่วน ได้เตรียมการแก้ปัญหาช่วงเริ่มต้นของอาหาร คือ การให้วิตามินแพ็ก ยาแพ็ก เพื่อเป็นการรักษาเบื้องต้นไปแล้ว จากนั้นจึงเริ่มต้นให้กินโปรตีนเจล 

...

"หากถามว่า ทำไมต้องโปรตีนเจล ง่ายๆ เลย เพราะมันมีขนาดเล็ก เบา ให้ง่าย ไม่เสีย ตอนนี้ทุกคนเป็นห่วงคือ เรื่องว่ายน้ำ ดังนั้น อาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับการว่ายน้ำ คือ อาหารจำพวกโปรตีนเป็นหลัก ซึ่งที่เตรียมไว้ก็มี โปรตีนเจล หมูหวาน และกล้วยอบน้ำผึ้ง หรือกล้วยตาก เพราะเป็นอาหารที่สามารถติดตัวให้เจ้าหน้าที่หน่วยซีลดำน้ำ เอาไปส่งได้ง่าย และไม่เสียในระหว่างการดำน้ำแน่นอน  

“หมูหวาน ฉีกออกมาแล้ว กินไม่หมด มันก็ยังกินต่อไปได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้ ทีมแพทย์คิดกันไว้หมดแล้ว ก่อนที่จะมีการลำเลียงเอาไปให้สมาชิกทีมหมูป่า เพราะเราต้องคำนวณเรื่องเวลาสำหรับการเดินทางไปถึงเนินนมสาว ที่ต้องกินเวลาถึง 4-5 ชั่วโมงขึ้นไป ฉะนั้น อาหารหลักๆ ของเด็กๆ จะเป็น หมูหวาน กับ กล้วยอบน้ำผึ้ง หรือ กล้วยตาก เป็นหลัก"

คือ หากเรา เอาอาหารอื่นๆ เข้าไป คำถามคือ มันจะบูดไหม มันจะสามารถทนความชื้นในน้ำได้ไหม ที่สำคัญคือมันหนัก แล้วจะต้องเอาไปขนาดไหน ถึงจะทำให้ทั้ง 13 ชีวิต และหน่วยซีลที่อยู่เป็นเพื่อน อิ่มท้อง นั่นคือประเด็นสำคัญ” นพ.ธนสาร กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง 

เปิดแผนฟื้นฟูร่างกายทีมหมูป่า 48 ชั่วโมงแรก กินอะไรจึงจะปลอดภัย 

สำหรับขั้นตอนการฟื้นฟูสภาพร่างกายของทั้ง 13 ชีวิต นั้น ขั้นตอนมีดังนี้ สิ่งที่ทำเป็นลำดับแรก คือการบำรุงลำไส้ คือ สภาพตอนนี้ เด็กจะมี 2 ภาวะ คือ 1. ภาวะน้ำย่อยอาจมีปัญหา ย่อยอาหารไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ ในช่วงที่ติดอยู่ในถ้ำเด็กๆ อาจจะกินน้ำน้อยกว่าปกติ เพราะน้ำที่ดื่มจากรอยซึมตามรอยแยกของหินภายในถ้ำ จะมีรสฝาด รสชาติไม่เหมือนน้ำดื่มปกติ น้ำในร่างกายจึงน้อย เมื่อน้ำในร่างกายมีน้อย เลือดก็ต้องน้อยตามไป ซึ่งภาวะที่เลือดน้อยลงนี้ ร่างกายของมนุษย์จะปรับ โดยการให้เลือดเข้าไปเลี้ยงที่สมองกับหัวใจเป็นลำดับแรก ส่วนอวัยวะอื่นๆ เช่น ขา หรือ ลำไส้ ก็จะได้รับเลือดมาเลี้ยงน้อยลง  

...

“เมื่อลำไส้มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง น้ำย่อยจึงไม่มี หลักการคือ เมื่อเด็กๆ กินข้าว หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ เลือดก็จะไม่มาเลี้ยงลำไส้ ทำให้ศักยภาพในการย่อยอาหารแย่ลง ดังนั้น เราจึงต้องให้อาหารที่ย่อยแล้ว คือ น้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโน ซึ่งมีโมเลกุลเล็ก ดังนั้น เราจึงจะให้พวก นมวัว หรือ เนื้อสัตว์ กับเด็กๆ ใน 1-2 วันแรกไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้น จะเกิดอาการท้องอืด เพราะอาหารไม่ย่อย 

ฉะนั้น ภายใน 1-2 วันจะต้องกินอาหารประมาณนี้ หลังจากนั้นก็กินอะไรก็ได้ แต่เน้นโปรตีน ส่วนอื่นๆ ก็มีวิตามิน เกลือแร่ หรืออาหารเสริมอัดเม็ด เป็นหลัก” นายแพทย์หนุ่ม ลำดับความแบบกระชับ กับทีมข่าวฯ 

เด็กแต่ละคน จะได้รับอาหารไม่เท่ากัน ทุกอย่างถูกคำนวณไว้หมดแล้ว จากข้อมูลผู้ปกครอง  

ส่วนคำถามที่เกิดขึ้นเยอะตอนนี้ คือ เด็กๆ จะเกิดภาวะ refeeding syndrome หรือ ภาวะที่เกลือแร่ร่างกายไม่สมดุล อันเกิดจากได้รับอาหารอย่างรวดเร็วโดยร่างกายปรับตัวไม่ทันจากการขาดอาหารเป็นเวลานาน หากให้อาหารผิดขั้นตอน ได้หรือไม่? นั้น ในประเด็นนี้ นพ.ธนสาร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวฯ ว่า 

มีการแชร์กันเยอะในโลกออนไลน์ ว่า ไม่ควรให้เด็กได้กินอาหารหนักๆในวันแรก เรื่องนี้อยากอธิบายแบบนี้ว่า ร่างกายคนเราเวลากินอาหารเข้าไปสารอาหารจากลำไส้ จะเข้าสู่เลือด แล้วเลือดจะไหลเวียนนำอาหารและออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ฉะนั้นเวลานำอาหารเข้าไปในร่างกาย มันจะต้องใส่เกลือแร่เข้าไปด้วยเพื่อให้เกิดปฏิกิริยา เหมือนกับเวลาเราต้มน้ำซุป เราจะใส่เกลือ หรือพริกไทย เข้าไปด้วย ฉะนั้น ในเวลาที่ร่างกายเราขาดเกลือแร่ไปมากๆ

ดังนั้น เมื่อเราเจาะเลือดตรวจร่างกายน้องวันแรก เราพบว่า มีปริมาณเกลือแร่ วิตามิน ในตัวต่ำ เพราะไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานาน ฉะนั้น หากเราเจอเด็กแล้วเอาข้าวเหนียวไก่ทอดให้เลย เกลือแร่ที่มีน้อยอยู่แล้ว มันจะกลายเป็นศูนย์ทันที เพราะเกลือแร่จะถูกดึงไปที่เซลล์ ส่งผลให้ระดับเกลือแร่ในหลอดเลือดไม่สมดุล ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติ อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น จะทำให้เกิดสภาวะเสียสมดุลในร่างกาย จนอาจจะทำให้เกิดอาการช็อกขึ้นได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำ คือ การบำรุงเกลือแร่ และวิตามินก่อน โดยให้เด็กกินเกลือแร่ วิตามิน และน้ำเปล่าไปก่อน หลังผ่านไปสัก 1-2 ชั่วโมง จนเกลือแร่ที่กินเข้าไปออกฤทธิ์ แล้วจึงค่อยๆ ป้อนอาหารหลักๆ เข้าไปทีละน้อยๆ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว

ที่ผ่านมา ทีมแพทย์เราทราบข้อมูลร่างกายน้องมาเรียบร้อยแล้ว จากการสอบถามผู้ปกครอง เรื่องน้ำหนักและส่วนสูงของเด็ก ซึ่งข้อมูลนี้นี่เอง ที่ทำให้สามารถคำนวณเรื่องอาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูร่างกายของเด็กแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

“เด็กแต่ละคนไม่ได้ใช้พลังงานเท่ากัน ดังนั้น หมอจึงต้องคำนวณอาหารให้แต่ละคนกินในปริมาณที่ไม่เท่ากัน เช่น บางคนกิน 100 ML บางคนกิน 200 หรือ 150 ML นี่คือวิธีค่อยๆ ฟื้นฟู ที่เราคำนวณเอาไว้ให้หมดแล้ว เพราะตอนนี้ เด็กถือเป็นผู้ป่วย ไม่ได้เป็นแค่คนหิวข้าวธรรมดาๆ 

จากคลิปล่าสุด เห็นได้ชัดว่า เด็กๆ ไม่มีปัญหา ไม่เกิดภาวะผิดปกติ เดินได้คล่องแคล่ว แสดงว่า อาหารชุดแรกที่จัดให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จและกำลังเริ่มฟื้นฟูร่างกาย

หากประเมินด้วยสายตา จากที่เห็นในคลิปล่าสุด ในความเห็นส่วนตัว คิดว่า อาการล่าสุดของน้องๆ อยู่ในกลุ่มสีเขียว คือ ไม่น่ามีความเจ็บปวดถึงชีวิต อาจจะมีความเจ็บป่วย บาดแผลเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้ทีมแพทย์ที่ดูแล สามารถเตรียมการรับมือได้สะดวกขึ้น"

เริ่มปรับนาฬิกาชีวิต 13 ชีวิตทีมหมูป่า หลังเกิดภาวะไม่รู้วัน ไม่รู้คืน   

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญอีกประการ สำหรับการฟื้นฟูสภาพร่างกายของทั้ง 13 ชีวิต ก็คือ การปรับโหมดร่างกาย ให้ตรงตามวันและเวลาจริงเพื่อให้การทำงานของระบบประสาทและ นาฬิกาชีวิต circadian rhythm ได้เริ่มกลับมาใหม่ เช่น หากถึงเวลาเช้าแล้ว ต้องปลุกให้ตื่น กินอาหารเช้า กลางวัน และเย็นให้ใกล้เคียงเวลาจริง เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย เมื่อกลับออกมาอยู่ข้างนอกถ้ำ จะได้ปรับตัวได้ เพราะอยู่ในที่มืดมาเป็นเวลานาน ทำให้นาฬิกาชีวิต circadian rhythm เปลี่ยนแปลงไป 

เชื่อ 13 ชีวิต ไม่มีปัญหาติดเชื้อโรคประหลาด จากภายในถ้ำ 

ส่วนภาวะแวดล้อมอื่นๆ เท่าที่ได้เห็นจากคลิป ประเด็นแรกน้องๆ ยังมีการใช้ไฟฉาย จนกระทั่งมีนักดำน้ำไปพบ นั่นแปลว่า ตาไม่น่ามีปัญหาเรื่องการอยู่ในที่มืดเป็นเวลานานๆ ประเด็นที่สอง บริเวณเนินนมสาวค่อนข้างเป็นโถงที่มีขนาดใหญ่ ฉะนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาเรื่องออกซิเจน ประเด็นที่สาม การที่มีน้ำไหลตลอดเวลา ทำให้ไม่น่ามีปัญหาเรื่องน้ำเสีย ที่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของทั้ง 13 ชีวิต

ส่วนปัญหาเรื่องที่เด็กๆ อาจมีการติดเชื้อโรคประหลาด จากการอยู่ในถ้ำ นั้น จากประสบการณ์ส่วนตัว มองว่า ประเด็นในลักษณะนี้ได้ ส่วนใหญ่จะเกิดได้จาก 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1. พาหะนำโรค เช่น สัตว์ ฉะนั้น หากไม่มีพาหะ โอกาสเกิดน้อย 2. ภูมิคุ้มกันในร่างกายน้อย แต่ในกรณีนี้ ทั้ง 13 ชีวิต ยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่ เห็นได้ชัดจาก บาดแผลที่เกิดขึ้นตามร่างกายเด็กๆ หากเกิดภาวะภูมิคุ้มกันมีปัญหา แผลที่เกิดขึ้นจะต้องใหญ่กว่านี้ เพราะร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมได้ แต่เท่าที่เห็น แผลตามร่างกายของเด็กๆ ร่างกายยังคงมีกลไกในการซ่อมแซมได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้น ร่างกายจึงน่าจะป้องกันเชื้อโรคที่อยู่ในถ้ำได้

ท้ายที่สุด นพ.ธนสาร ขอกล่าวยกย่อง ถึงทีมแพทย์และทีมกู้ชีพทุกท่านที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอด 10 กว่าวันที่ผ่านมา ทั้งวางแผน ทั้งซ้อมแผน เพื่อให้การดูแลน้องๆ เมื่อออกมาได้อย่างดีที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีทีมแพทย์ที่ปรึกษาทั่วประเทศ ที่ต่างให้ข้อมูลทางวิชาการและกำลังใจอันนำไปสู่การดูแลน้องๆ รวมถึงยังมี ทีมแพทย์จาก รพ.ตำรวจ หน่วยงานทหาร และสาธารณสุข ที่ต่างเสียสละเวลามาตั้งเต็นท์บริการประชาชนทุกวันด้วย 

บุคคลากรเหล่านี้คือ ฮีโร ที่ควรได้รับการยกย่องจากประชาชนทั้งประเทศ ด้วยเช่นกัน 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน