ใครใคร่ใส่เพชร "เพชร" เป็นเครื่องประดับที่มีเสน่ห์และมีคุณค่าทางจิตใจ ไอเท็มช่วยเสริมบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะสาวๆ และการที่จะมีเครื่องเพชรดีๆ สักชิ้น เราต้องดูที่อะไรได้บ้าง? ยิ่งเป็นเพชรน้ำงามและเม็ดโต ยิ่งทำให้มูลค่าขยับสูงขึ้นไปอีก แต่คงมีอีกหลายคนที่สงสัยว่า เลือกเพชรนั้นจำเป็นต้องมีความรู้อะไรบ้าง? เพื่อให้ได้เพชรที่ดีที่สุดไว้ครอบครอง
วันนี้ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ มีวิธีการเลือกซื้อเพชรจากกูรู JUBILEE DIAMOND แบรนด์เพชรชั้นนำ ที่จะมาให้คำแนะนำ ที่เรียกว่า 4Cs ที่มาจาก Carat, Color, Clarity และ Cutting มาฝากกัน
1. Carat
กะรัต คือ หน่วยวัดน้ำหนักเพชร ซึ่ง 1 กะรัต เท่ากับ 100 สตางค์ หากเป็นเพชรทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ของเพชร 1 กะรัต จะประมาณ 6 มิลลิเมตร (เกินครึ่งเซนติเมตรเล็กน้อย) โดยเพชรขนาดที่เหมาะสมสำหรับแหวนเพชรเม็ดเดียว สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เพชรขนาด 10 สตางค์ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นขนาดเริ่มต้นที่กำลังพอดีสำหรับผู้ที่เริ่มต้นการสวมใส่เครื่องประดับเพชร
...
2. Color
เพชรธรรมชาตินั้นมีหลากหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงิน แต่กลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ กลุ่มเพชรที่ใสไร้สี ซึ่งเพชรที่ไร้สี ถือเป็นเพชรที่ดีที่สุด โดยคนไทยจะเรียกความใสของเพชรว่า "น้ำ" ความใสของเพชรที่ดีที่สุด คือ D color หรือเพชรน้ำ 100 ไล่ไปจนถึง Z color ซึ่งจะเริ่มเห็นการเจือปนของสีอื่นๆ ในเพชรมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสีเหลือง วิธีดูสีของเพชรว่าขาวใสระดับใด สามารถดูได้ด้วยตนเอง โดยคว่ำหน้าเพชรลงบนกระดาษขาว สังเกตสีที่ก้นเพชรจะเป็นตำแหน่งที่ชัดเจนที่สุด โดยในส่วนเพชรที่เหมาะแก่การนำไปทำเครื่องประดับเริ่มตั้งแต่ระดับ J color ขึ้นไป
3. Clarity
ความสะอาด หรือตำหนิภายในและภายนอกตามธรรมชาติ ที่ไม่สามารถลบออกได้ เพชรที่ดีที่สุด ต้องมีตำหนิน้อยที่สุดหรือแทบไม่มีเลย ซึ่งระดับเพชรที่สะอาดมากที่สุด เรียกว่า IF (Internally Flawless) คือ ไม่มีตำหนิในเนื้อเพชรเลย เพชรระดับที่เหมาะกับการใส่เป็นเครื่องประดับ เริ่มตั้งแต่ความสะอาด VS ขึ้นไป หากคุณซื้อเพชรที่มีใบ Certificate มาตรฐานระดับโลกจากสถาบัน HRD หรือ GIA ในใบ Certificate นั้น จะระบุตำแหน่งของตำหนิเพชรไว้อย่างชัดเจน ทำให้คุณสามารถมั่นใจได้ว่า คุณได้เลือกซื้อเพชรที่ตรงตามคุณภาพอย่างแท้จริง
...
4. Cutting
การเจียระไน ทำให้เพชรเป็นประกายระยิบระยับ เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุดมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1. สัดส่วนเพชรจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด จะทำให้ประกายของเพชรสะท้อนขึ้นมาด้านบน กระทบกับตามากที่สุด
2. คุณภาพการขัดเงา เหลี่ยมเจียระไนที่ดีจะทำให้เพชรเม็ดนั้น ส่องประกายที่ดีแวววาวและสวยงาม
3. ความสมมาตร คือการเจียระไนที่ทำให้เหลี่ยมเพชรทุกๆ เหลี่ยมได้สัดส่วน ขนาดเท่ากัน จะมีผลทำให้เพชรมีการสะท้อนประกายได้ระยิบระยับมากที่สุด
หากครบทั้งสามข้อนี้จะได้ระดับ Excellent หรือตามมาตรฐานการให้เกรดคุณภาพเพชรระดับโลก ทั้งจากสถาบัน HRD หรือ GIA จะนิยมเรียกว่า เพชรระดับ Triple Excellent