หนาวๆร้อนๆกันไปทั้งบาง เมื่อสภาพัฒน์ประกาศชัดว่าจีดีพีไทยหดตัวต่ำสุดในรอบ 20 ปี คิดเป็นตัวเลขติดลบ 6.1% อันเป็นผลพวงจากการแพร่ระบาดไปทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 ในสภาวะที่หวังพึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติยาก และการส่งออกไทยยังหดตัวลึกถูกแซงหน้าโดยเวียดนาม การประกาศปลดล็อกกัญชาและกัญชงทางการแพทย์เสรีของรัฐมนตรีสาธารณสุข “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” พร้อมชูนโยบาย “ปี 2564 ปีแห่งกัญชาเสรีทางการแพทย์” จึงกลายเป็นความหวังใหม่ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง

ดี๊ด๊าคึกคักสุดเห็นจะเป็นธุรกิจในกลุ่มสุขภาพ, เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางที่ออกมาขานรับนโยบายเต็มๆ หลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไฟเขียวให้ใช้ “กัญชา” ในเครื่องสำอาง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่กลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นำร่องให้ใช้น้ำมันและสารสกัดเมล็ดกัญชาเป็นอันดับแรก แล้วค่อยขยายไปยังส่วนต่างๆของกัญชง ส่วนผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ จะทยอยมีผลบังคับใช้ต่อไป

...

เป้าหมายสำคัญของการผลักดันนโยบายปลดล็อกกัญชาและกัญชงทางการแพทย์เสรี นอกจากจะเปิดทางให้ประชาชนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ เจ้ากระทรวงยังเชื่อมั่นว่าการนำประโยชน์จากกัญชาและกัญชงไปต่อยอดธุรกิจจะช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นโปรดักส์สุขภาพ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง ตลอดจนผลิตภัณฑ์สมุนไพร งานนี้ดูเหมือนกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแถวหน้าของไทยต่างซุ่มศึกษาเรื่องนี้จริงจัง รอแค่ไฟเขียวจากรัฐบาลก็พร้อมลุยเต็มลูกสูบ!!

เรียกว่ากระแสจากกัญชาและกัญชงทำเอาหุ้นที่ได้อานิสงส์เคลิ้มกันไปทั้งตลาดราคาพุ่งเอาๆ ทั้งกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง, กลุ่มเครื่องดื่ม รวมไปถึงบริษัทที่มีโรงงานสกัดน้ำมันกัญชาและสารสกัดจากเมล็ดกัญชากับกัญชง

เจ้ากระทรวงสาธารณสุขวางเดิมพันไว้สูงกับนโยบายปลดล็อกกัญชาเสรี โดยล่าสุดเดินหน้าเปิดสถาบันกัญชาทางการแพทย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านกัญชาและกัญชง ให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องรวดเร็วแก่ประชาชน ตามหลักวิชาการด้านการแพทย์

...

“กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนนโยบายกัญชาและกัญชงทางการแพทย์ จนสามารถปลดล็อกให้บางส่วนของกัญชาและกัญชงออกจากการควบคุมยาเสพติดประเภท 5 เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ได้รับยากัญชาทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทยกว่า 50,000 ราย จากสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกัญชาร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกว่า 300 กลุ่ม นำผลผลิตที่ได้มาผลิตเป็นน้ำมันกัญชา และส่วนผสมของยากัญชาแผนไทย เพื่อรักษาในกลุ่มโรคต่างๆ อาทิ โรคลมชัก, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง, โรคมะเร็ง, นอนไม่หลับ และปวดเรื้อรัง มีระบบการประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของยากัญชา เพื่อสร้างหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการใช้และขึ้นทะเบียนยากัญชาในอนาคต นอกจากนี้ อย.ได้เร่งพิจารณายากัญชาเข้าสู่รายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งจะสร้างให้เกิดอุปสงค์ที่ยั่งยืน เกิดการปลูก การผลิต รวมถึงต่อยอดให้เกิดการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ เช่น ยา, อาหาร, เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยการพัฒนาต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง คือสายพันธุ์กัญชาและกัญชงที่มีคุณภาพ, กลางทาง คือการผลิตและจำลองภาพเพื่อพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของตลาด และปลายทาง คือการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ”...ชักจะเคลิ้มๆแล้วสิ แอบฝันไปไกลว่ากัญชากับกัญชงจะเป็นฮีโร่กู้วิกฤติเศรษฐกิจชาติได้จริงๆ ดีไม่ดีอาจหนุนส่งให้ไทยแลนด์ผงาดเป็นมหาอำนาจใหม่ของเอเชีย.

...