1 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครที่ไม่รู้จักหญิงสาวที่ทั้งสวย และมีดีกรีนักกีฬาเทควันโด ทีมชาติไทย พ่วงท้าย "น้องวิว" พงศ์ชนก กันกลับ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2009 ในโอกาสที่เธอ และ "น้องปูเป้" พรพิมล สุขใหม่ รองมิสไทยแลนด์เวิลด์ อันดับ 2 กำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ทางกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ จึงได้จัดกิจกรรมย้อนรำลึกความหลังเมื่อครั้งมาเก็บตัวประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2009 ที่ โรงแรมแคนทารี ฮิลล์ จ.เชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมไหว้พระ ทาสีและมอบสิ่งของให้กับโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ตระเวนเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับร่วมโปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัด เพื่อรอส่งมอบมงกุฎสาวงามต่อให้กับมิสไทยแลนด์เวิลด์คนต่อไป ที่การเก็บตัวมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2010 จะมีขึ้นที่โรงแรมเคปพันวา ริมหาดทะเลภูเก็ต  สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกแห่งของเมืองไทย

ไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสร่วมทริปไปกับกองประกวดฯ และไม่พลาดที่จะนำสองสาวงามมาพูดคุยกันในเลาจ์ของทางโรงแรมคาทารี ฮิลล์ โดยมีไอศครีมรสชาติสุดแสนอร่อยที่โรงแรมจัดให้เป็นของแกล้ม พร้อมกับ "ป้าต้อม" สุนทรียา ขันติธรรมวงศ์ เจ้าหน้าที่กองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ พี่เลี้ยงคนสำคัญ ที่มีส่วนช่วยทำให้ "น้องวิว" ก้าวมาสู่วันนี้ได้ ซึ่งทราบว่าในรอบปีที่ผ่านมาทั้งคู่ต่างมีภารกิจหนักในฐานะมิสไทยแลนด์เวิลด์ และรองฯ ต้องทำหน้าที่เป็นทูตสันธวไมตรี ทูตมิตรภาพเทควันโดโลก (good review embasder WTF) การเป็นพิธีกร เดินแบบการกุศลต่างๆ

หลังจากซักถามกันพอหอมปากหอมคอ น้องวิวเริ่มเล่าว่า เคยผ่านการประกวดเวทีสาวงามระดับต่างๆ มาแล้วมากมาย ตั้งแต่ระดับหน่วยย่อย อย่างธิดาลอยกระทง ปากเกร็ด นนทบุรี ประกวดธิดาศาลตายาย จ.สุพรรณบุรี ธิดาสงกรานต์งานวัดบางปิ้ง จ.สมุทรปราการ ไปจนถึงระดับประเทศอย่าง ประกวดมายไอดอล ทำให้ได้พบกับพี่เลี้ยงชนิดที่เรียกว่า "แสบ" ขอหักเปอร์เซ็นต์กันครึ่งต่อครึ่ง ทั้งที่ตัวพี่เลี้ยงเองก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเธอมากมาย นอกจากแค่เสื้อผ้าหน้าผม นอกนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเธอเองทั้งหมด

"พอเป็นอย่างงี้ หนูก็เลยตกรอบแรกมันซะเลย" (หัวเราะ)

...

"มีบางงานที่หนูตกรอบ เพราะเขาบอกว่าหัวหนูเหมือนไม้ขีด ประมาณว่านางงามในคอนเซปต์เขาจะต้องหน้าเต็มๆ บานๆ ทำผมทรงกระบังลมมั้ง บางงานก็ไล่ให้หนูไปทำจมูก หนูก็บอกไม่ทำ หนูเป็นนักกีฬาเทควันโด พี่คิดดูไปทำจมูกมา แล้วจะไปเตะต่อยกับเขายังไง" (หัวเราะ)

น้องวิว บอกว่าตอนแรกไม่ได้คิดจะประกวดอะไร เป็นนักกีฬาเทควันโด แต่ตอนนั้นยังไม่ติดทีมชาติ เผอิญมีแมวมอง บรรดาพี่เลี้ยงต่างๆเห็นแวว เลยทาบทามให้ลงประกวดตามงานต่างๆ เธอเห็นว่าหากชนะประกวดก็จะได้เงินรางวัลจึงยอมตกลง ตระเวนประกวดเรื่อยมา ส่วนใหญ่จะหนักไปทางตกรอบ

"ตอนประกวดที่ช่อง 3 (มิสไทยแลนด์เวิลด์) มีแต่คนสวยๆ มาสมัคร พี่คิดดูนะ หนูกับแม่นั่งแท็กซี่มาจากบ้านหนูแถวซาฟารีฯ มาที่ช่อง 3 พระราม  4 ค่าแท็กซี่ 200 บาท แม่บอกวิวเอ๊ย มันจะคุ้มไหมลูก" (หัวเราะ)

น้องวิวบอกว่าด้วยความที่ฐานะทางบ้านของเธอไม่ใช่ว่าจะร่ำรวยมาจากไหน ครอบครัวจึงสอนให้เธอเป็นคนที่ "รู้ค่าของเงิน" ทำให้เวลาจะใช้จ่ายอะไรเธอจะต้องคิดอย่างรอบคอบ ซึ่งป้าต้อม เล่าเสริมว่า ช่วงที่เก็บตัวสาวงามรอบ 25 คนสุดท้าย น้องวิวจะสวมแต่ชุดกีฬา จึงเกิดความสงสัยเข้าไปถาม จนทราบว่า เป็นเพราะเธอไม่มีเสื้อผ้าจะใส่

น้องวิวเธอเล่าว่า วันที่มาเก็บตัวที่เชียงใหม่ 5-6 วัน ทางบ้านให้เงินติดตัวมา 800 บาท  เวลาจะใช้จ่ายอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ "จะซื้อขนมที หนูล้วงเข้าล้วงออกตั้งหลายครั้ง (พร้อมทำมือประกอบ) สุดท้ายก็ตัดใจ กลับไปกินอาหารที่โรงแรมดีกว่า"

"พี่รู้ไหมหนูชอบกินอะไรที่สุด "ครัวซอง" ครัวซองของที่นี่อร่อยมาก" โดยน้องปูเป้ เล่าเสริมว่า เวลาจะกิน น้องวิวไม่ได้กัดกินเป็นคำๆ เหมือนคนอื่นนะ  วิวเขาจะชอบฉีกเป็นชิ้นๆ จิ้มกินกับโอวัลติน หรือไม่ก็ครีมสตรอเบอรี่ สูตรเฉพาะที่ทางพ่อครัวของโรงแรมทำขึ้น "หนูจะฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วผสมกับครีม ค่อยกิน เหมือนกับเวลาฉีกปาท่องโก๋ กินกับโจ๊กอย่างงั้นเลย"

...

น้องวิวยังแอบสารภาพว่า ในวันสุดท้ายของการเก็บตัว เธอกินครัวซอง ของทางโรงแรมไปเยอะมาก แถมยังแอบจิ๊กผ้าของห้องอาหารแอบห่อครัวซองเอาขึ้นไปกินบนเครื่องบินด้วย เล่นเอาเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่นั่งฟังอยู่ด้วยอดหัวเราะออกมาไม่ได้

"พอเอาครัวซองใส่ห่อผ้า แล้วหนูก็ทำฟอร์มนิ่งๆ เนียนๆ  พอขึ้นเครื่องได้ก็รีบเอาโต๊ะพนักพิงลงกางวางครัวซองลงบนโต๊ะ แอร์ฯ เดินมาถามรับขนมปังไหมคะ อ๋อไม่ค่ะ มีแล้ว ...อร่อยกว่า" (หัวเราะ)

น้องวิวเล่าว่า ช่วงเก็บตัวนั้น เธอจะตื่นแต่เช้าออกมาวิ่งออกกำลังกายเสมอด้วยความเคยชิน ลองชวนเพื่อนสาวงามที่พักห้องเดียวกัน ว่าพี่ไปวิ่งด้วยกันไหม แต่เพื่อนร่วมห้องปฏิเสธ บอกว่ายังเช้าอยู่ วิวไปวิ่งคนเดียวเถอะ น้องวิวจะวิ่งถึง 08.00 น.แล้วรีบกลับมาอาบน้ำแต่งหน้าทำผมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมประจำวันในเวลา 09.00 น. เธอใช้เวลาแต่งหน้าทำผมเองไม่ถึง 20 นาที เพราะทำแค่ทาแป้งพัฟ และรวบผมไปมัดไว้ "ก็หนูทำเป็นแค่นั้นน่ะ แต่คนอื่นนะเขาจะใช้เวลากันเป็นชั่วโมง เซ็ตนู่นนี่" (หัวเราะ)

เราเชื่อว่าหลายคนคงจะไม่ทันสังเกตว่า ในวันที่เก็บตัวสาวงาม 25 คนสุดท้ายที่โรงแรม และจะต้องมีการสวมชุดว่ายน้ำให้ช่างภาพและสื่อมวลชนถ่ายภาพนั้น 1 ใน 25 คน ไม่มี น้องวิว  รวมอยู่ด้วย

"พี่รู้ไหมวันที่ถ่ายชุดว่ายน้ำหนูไม่ได้มาถ่ายกับเขานะ หนูอาย" น้องวิวบอก พร้อมกับเล่าว่าตอนที่รู้ว่าจะต้องถ่ายชุดทูพีซ ไปบอกให้พ่อฟัง และว่าจะขอต่อรองกับทางกองประกวดเป็นสวมวันพีซได้ไหม เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอสวมทูพีซ ซึ่งพ่อของเธอก็ได้ให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไร คนอื่นเขายังใส่ได้ เราก็ต้องได้ แต่สุดท้ายแล้วในวันถ่ายรูปหมู่สาวงาม เธอก็แอบเบี้ยว (ฮา)

น้องปูเป้ เล่าเสริมว่า จริงๆ แล้วการสวมชุดว่ายน้ำมันก็อายกันทุกคนนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะเธอในวันประกวดรอบ 25 คนสุดท้าย เธอจะต้องออกมาเดินโชว์ชุดว่ายน้ำเป็นคนสุดท้าย "พี่ ไม่ใช่ว่าหนูอยากจะขโมยซีนนะ แต่มันเหลือหนูคนเดียว คนอื่นเดินเป็นคู่หมด มันก็ไม่เท่าไหร่ แต่เหลือหนูคนเดียวนี่ซิ บอกป้าต้อมว่า ไม่เอาไม่เดินๆๆๆๆ ทำใจอยู่นาน พอเริ่มก้าวออกมาก็ขาสั่น แต่สุดท้ายก็ทำใจคิดว่าไหนๆ ก็เห็นกันไปหมดแล้ว สู้ทำให้ดีซะเลย เลยแบบเชิ่ดๆ" ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ความคิดนี้ก็เป็นผลดีกับเธอเอง เพราะพาเธอผ่านเข้ารอบไปจนได้รางวัลรองมิสไทยแลนด์เวิลด์ อันดับที่ 2

คนที่ทำนายว่า น้องวิวจะได้เป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ คือ ป้าแม่บ้านของอาคารมาลีนนท์ (ตึกช่อง 3) น้องวิวเล่าว่าวันประกวดรอบ 25 คนสุดท้าย เธอออกมาเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่เธอเป็นนักกีฬา ไม่ถนัดสวมรองเท้าส้นสูง ทำให้เธอสะดุดเกือบล้มคะมำในห้องน้ำ ตรงหน้าคุณป้าแม่บ้าน "พอหนูเงยหน้าขึ้นมานะ เห็นป้าแม่บ้านจ้องหน้า แล้วบอกว่าหนูสวย จะได้ผ่านเข้ารอบ และได้รางวัลแน่ หนูก็ยกมือสาธุ๊ (เสียงสูง)" (หัวเราะ)

สุดท้ายคำพูดของคุณป้าแม่บ้านท่านนั้นก็เป็นจริง น้องวิวชนะการประกวดได้เป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ ซึ่งเมื่อเธอได้เจอคุณป้าแม่ท่านผู้มีวาจาประดุจพระร่วง ก็ได้ขอบคุณและถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึก "ป้าก็บอกว่าวันตัดสินป้าเชียร์สุดใจขาดดิ้น" (หัวเราะ)

...

เราถามน้องวิว ว่า จะมีคำแนะนำอะไรให้กับหญิงสาวอีกไม่น้อยที่ใฝ่ฝันอยากจะมายืนตรงจุดเดียวกับเธอ น้องวิวบอกว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็น "คนดี" เชื่อฟังพ่อแม่ และพี่เลี้ยง ไม่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง โดยเฉพาะคำแนะนำของพี่เลี้ยง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับตัวเราเองทั้งสิ้น "ไม่ใช่แบบบางคน ชั้นสวย เชิ่ด!" โดยน้องปูเป้ เสริมว่า อีกอย่างที่สำคัญคือ จะต้องมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าแสดงออก

จากการนั่งคุยราว 1 ชั่วโมงเศษ เราพบว่าเสน่ห์ของน้องวิวนั้น นอกจากจะอยู่ที่หน้าตาสวยงามแล้ว ตัวตนของเธอ ยังเป็นความงามที่มาจากข้างในจริงๆ เราถามเธอว่า หลังจากมาอยู่ตรงจุดนี้ มีเงินมีทองแล้ว ได้ซื้ออะไรให้พ่อกับแม่บ้าง เธอบอกว่า ซื้อเสื้อแบบเป็นคู่ให้ ซึ่งป้าต้อม บอกว่าวันไปเดินหาซื้อของนั้น น้องวิวตัดสินใจอยู่นานว่าจะซื้อหรือไม่ เพราะราคาเสื้อตัวละ 700 บาทเศษ แต่ที่ซื้อเพราะว่าถ้าซื้อ 2 ตัวจะอยู่ที่ราคา 900 บาทเศษ ซึ่งน้องวิว บอกว่า เธอไม่มีเงิน เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา รวมถึงรางวัลอื่นๆ ทั้งบ้าน รถ เธอให้พ่อกับแม่หมด

...

"ทุกวันนี้แม่ให้เงินหนูใช้ " น้องวิวบอกว่าเมื่อก่อนฐานะครอบครัวแค่พอมีพอกิน ตัวเธอเองยังเคยขี่จักรยานตระเวนขายลูกโป่ง เคยล้างจานแลกเงิน ทำให้รู้ค่าของเงิน แม้จะพอมีฐานะแล้ว แต่ก็ยังคงมีนิสัยมัธยัสถ์ อดออมใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ไม่สุรุ่ยสุร่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก

น้องวิวบอกด้วยว่า แม้จะมีตำแหน่งนางงามพ่วงท้าย แต่เธอก็ยังเป็นเธอ ทุกวันนี้คนในซอยที่บ้านก็ยังเห็นนางงามคนนี้นั่งซักผ้าด้วยมืออยู่หน้าบ้าน หรือในช่วงมหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน เธอก็ไปอยู่ต่างจังหวัดช่วยปู่ย่าทำสวน เก็บมะพร้าว

"มีอยู่ครั้งนึง หนูกำลังนั่งซักผ้าอยู่ ป้าต้อมโทรมา แล้วโทรศัพท์อยู่บนบ้าน หนูวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นไปรับ แล้วพูดเสียงหอบๆ ป้าถามไปทำอะไรมา พอหนูบอกซักผ้า ป้าก็ลากเสียง โถถถถถถถถถ..ถ ทำไมไม่ซักเครื่อง แล้วป้าก็บอกทีนี้ ถ้านักข่าวให้บอกว่า 'ติวภาษาอังกฤษ' นะลูก (หัวเราะกันครืน)

ในช่วงท้ายเราถามทั้ง น้องวิว และน้องปูเป้ ว่ารู้สึกใจหาย หรือเสียดายไหม ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งไป เธอทั้งคู่บอกเหมือนกันว่า ไม่เสียดาย เพราะประสบการณ์ที่เธอได้รับตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หญิงสาวในวัยเดียวกับเธอ (น้องวิว อายุ 18 ปี น้องปูเป้ อายุ 20 ปี) น้อยคนนักที่จะมีโอกาสสัมผัส อะไรที่เธอไม่เคยทำก็ได้ทำ อะไรที่เมื่อก่อนทำไม่เป็น อย่างแต่งหน้าทำผมเอง ก็สามารถทำเองได้ และทำได้สวยงามไม่แพ้ช่างแต่งหน้ามืออาชีพ อันเป็นความรู้จากกองประกวดนางงาม ซึ่งผู้เข้าประกวดทุกคน จะต้องช่วยเหลือตัวเอง

จากนี้ไป สิ่งที่ทั้งน้องวิว และน้องปูเป้ ตั้งใจจะทำก็คือ กลับไปเรียนหนังสือให้จบ โดยน้องวิว ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ กำลังจะขึ้นชั้นปีที่ 2 ส่วนน้องปูเป้ อยู่มหาวิทยาลัยหอการค้า คณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 และน้องวิวยังตั้งเป้าจะต้องชนะการแข่งขันเทควันโด สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติด้วย นอกจากนี้ทั้งคู่ยังจะเข้าสู่วงการบันเทิงตามที่มีสัญญาไว้กับ บริษัท บีอีซี ซึ่งต่อไปเราจะได้เห็นทั้งคู่ในอีกบทบาทหนึ่ง และมั่นใจว่า ทั้งวิวและปูเป้ น่าจะทำได้ดีไม่แพ้การเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ และรองมิสไทยแลนด์เวิลด์ อย่างแน่นอน

"..หนูชอบกินสุกี้มาก  (ครัวซองส์ ของโรงแรมด้วย เดี๋ยวจะน้อยใจ) แล้วก็พี่รู้จักนางเล็ด ที่เป็นแผ่นๆ ราดด้วยน้ำตาลเคี่ยว อื้มมม รอหนูพ้นจากตำแหน่งก่อนเถอะ จะกินให้เต็มที่" คำพูดส่งท้ายของเธอเล่นเอาเราและคนรอบข้างอดหัวเราะไม่ได้

นี่คือเธอ "น้องวิว" พงศ์ชนก กันกลับ.