เซเลบฯ หนุ่มหล่อหน้าใส น๊านนานจะมีหลุดออกมาให้เจอสักที ทว่าล่าสุด ไฮโซโปรไฟล์ ได้มีโอกาสเจอเพชรเม็ดงาม 'อาร์ม-อธิศ กฤตยาพงศ์พันธุ์' เซเลบฯ หนุ่มหล่อเสน่ห์ชวนหลง ในงานอัพเดตเทรนด์แฟชั่น 14 แบรนด์ดังระดับโลก 'ซิทดาวน์ ลันซ์' สุดเอ็กซ์คลูซีฟ แน่นอนว่า เราไม่พลาดคว้าตัวมาเปิดโปรไฟล์เอาใจสาวๆ ให้ได้กรี๊ดกันบ้าง ซึ่งไม่เพียงเขาคนนี้จะมีโปรไฟล์ดี๊ดีเป็นถึงหนุ่มนักเรียนนอกระดับหัวกะทิ แต่เขายังมีหัวทางธุรกิจ และสุดยอดเรื่องวางกลุยทธ์ทางการตลาด เรียกได้ว่า ทั้งหล่อ ทั้งสมาร์ท เพอร์เฟกต์ตรงสเปกสาวไทยเข้าอย่างจังเลยล่ะ !
อายุ : 23 ปี
วันเกิด : 09/10/1993
ส่วนสูง-น้ำหนัก : 183 ซม. - 68 กก.
พี่น้อง : มีน้องสาวสุดสวย 1 คน
การศึกษา : จบไฮสคูลที่สาธิตเกษตร และปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะบริหารธุรกิจ (ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.72 … เก่งไม่เบาเลย)
อาชีพปัจจุบัน : International Strategy @ Central Group
อาหารที่ชอบ : พาสต้า และสเต๊ก
ที่เที่ยวสุดโปรด : ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
สิ่งที่เกลียด-กลัวสุดๆ : แมลงสาบ
อินสตาแกรม : armathit
เฟซบุ๊ก : Athit Krittayaphongphun
...
แนะนำตัวเองหน่อย
อธิศ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ชื่อเล่น อาร์ม ครับ เพิ่งเรียนจบคณะ BBA ที่จุฬาฯ ตอนนี้กำลังทำงานที่ Central Group ซึ่งเป็นบริษัทของคุณน้า พอดีคุณน้าจะไปเปิดบริษัทที่เมืองนอกด้วย เราก็เลยมาช่วย นับโดยประมาณก็ทำงานมาได้เกือบ 10-11 เดือนแล้ว
เรื่องงานที่บริษัทคุณพ่อได้มีส่วนเข้าไปช่วยบ้างไหม
ธุรกิจของครอบครัวเป็นธุรกิจทีวี คือคุณพ่อเป็นผู้บริหารช่อง 3 (คุณสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ และปฏิบัติการแทนรักษาการ กรรมผู้จัดการ บริษัทบางกอกเอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด) อยู่กับช่อง 3 มานานถึง 15 ปี ฉะนั้น เราก็จะเติบโตกับทีวีมาตั้งแต่เด็กๆ ถามว่าตอนนี้ได้มีส่วนเข้าไปช่วยไหม ก็ยังนะ ช่วงนี้เราอยากจะลองทำอะไรที่เป็นธุรกิจของตัวเอง หาประสบการณ์เรียนรู้จากข้างนอกเองก่อน แล้วคิดว่า 1-2 ปี พอเรียนต่อโทเสร็จก็จะกลับมาทำอะไรของตัวเอง พอถึงจุดๆ หนึ่งที่คิดว่าโอเคแล้ว อยู่ตัวเราพร้อมแล้วก็ค่อยกลับไปช่วยงานคุณพ่อ เราว่าอย่างนั้นมันน่าจะดีกว่า เรามีประสบการณ์จากข้างนอกบริษัท อย่างน้อยมันการันตีว่าเรามีความสามารถ และเคยผ่านการทำงานมาแล้ว เมื่อเข้ามาทำงานบริษัทคุณพ่อจะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นเด็กเส้น หรือ เข้ามาแบบทำอะไรไม่เป็นเลย
จริงๆ งานทีวีเราเคยผ่านการฝึกงานเกี่ยวกับการซื้อสื่อ คือเราอยากรู้ว่าทีวีธรรมดาเวลามีลูกค้ามาซื้อสื่อ เขามีการซื้อขายกันยังไง ซื้อเป็นช่วงเวลาไหม ต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง ตอนนั้นเราฝึกงานที่ Uniliver Thailand อยู่ประมาณ 4-5 เดือน ฝึกของแบรนด์ Clear มันก็ทำให้เราเรียนรู้อะไรได้เยอะ อย่างเช่น ศึกษาการทำ Branding อย่างไรให้น่าสนใจ เขามีกระบวนการคิดยังไงเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาซื้อสื่อ หรือตอนนี้หลายคนยึดติดกับเรตติ้งทีวีว่าจะต้องสูง แสดงว่าต้องมีคนดูเยอะ ถ้ามาซื้อสื่อ (โฆษณา) ก็น่าจะดี ทว่าพวกเขายังไม่รู้ว่านั่นมันเป็นแค่ตัว Sample เฉพาะกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้คิดจากคนทั้งประเทศ ฉะนั้นเมื่อเรามาทำงานตรงนี้ มันก็ทำให้เราได้เห็นข้อเสียว่า ตอนนี้เขาซื้อสื่อผ่านระบบเรตติ้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้ดังมาก หรือคนให้ความสนใจมากขนาดนั้น
เราว่าฝึกงานที่นี่ไม่เหมือนฝึกงานที่อื่นที่จะให้ทำตามคำสั่งเท่านั้น อยู่ที่นี่มันเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งในทีมด้วย เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก แม้แต่การจัดอีเว้นท์ต่างๆ ของ Clear เราก็มีส่วนช่วยคิด ช่วยลงมือทำ
...
คุณพ่อฟิกไหมว่า ท้ายสุดแล้วก็ต้องกลับมาทำงานธุรกิจทีวี
คุณะพ่อไม่ได้ฟิก และไม่เคยบังคับเลยนะ ท่านจะบอกเสมอว่าชอบอะไรก็ทำ อยากลองทำ หรือสนใจด้านไหนก็เอาเลยเต็มที่ เพียงแต่ทุกสิ่งอย่างต้องทำอย่างตั้งใจ และทุ่มเทกับมันจริงๆ อย่างไรก็แล้วแต่ เราเคยชินอยู่กับทีวีมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างเพื่อนเราก็เป็นดาราบ้าง หรือทำงานอยู่ในวงการทีวีนี้บ้าง ท้ายสุดแล้วยังไงเราก็คงหนีไม่พ้น ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่น่าสนใจนะ
แพลนเรียนต่อโทสนใจด้านไหน
ว่าจะเรียนบริหารต่อนะ (MBA) เพราะมันเป็นด้านที่กว้างมาก และน่าสนใจ มันเป็นพื้นฐานของหลายๆ อาชีพ ตอนนี้ยังไม่รู้จะไปเรียนที่ไหนดี แต่น่าจะเป็นอเมริกา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia) ไม่รู้จะเข้าได้รึเปล่า (หัวเราะร่า)
...
ความยาก-ง่ายของคณะบริหารฯ
จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากมันก็ยากอยู่นะ ตอนเราเรียน BBA มันแบ่งเป็นหลายสาขามาก ทั้งบัญชี ทั้งการเงิน ทั้งบริหารต่างๆ ซึ่งเราเลือกเรียน International Business เพราะเราชอบ และมันเป็นสาขาที่เรียนกว้างดี หลายคนอาจคิดว่าเรียนกว้างมากไม่เจาะจง หรือเด่นไปด้านใดด้านหนึ่งเลย แต่เรากลับคิดว่าการเรียนอะไรที่มันกว้างๆ มันจะทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างกว่าคนอื่น อย่างคนที่เลือกเรียนบัญชี หรือ Finance เราว่ามันก็ดีนะที่เขาเจาะจงไปเลย ชอบถนัดอันไหนก็เลือกสาขานั้น ทว่าสำหรับเราคิดว่าพื้นฐานพวกนั้นไว้เรียนตอนปริญญาโทก็ได้
ถามว่ามันยากง่ายยังไง อันนี้คงแล้วแต่คน ส่วนตัวเราว่าพอไหวอยู่ (หัวเราะเล็กๆ) งานกลุ่มจะเยอะมาก ตอนสอบก็จะเป็น Workload ช่วงสอบทีไรเราค่อนข้างนอนดึกมาก อ่านหนังสือยันตี 5 เลยก็มี แต่พอปี 3-4 เราก็เริ่มจับทางได้แล้ว
ตอนนี้เริ่มทำงานแล้วเป็นยังไงบ้าง
ที่ทำกับบริษัทคุณน้า แน่นอนทุกอย่างมันเป็นเรื่องใหม่ และมีความยุ่งยากในสเต็ปของมัน อย่างเรื่องการดีลคน เราว่ามันเป็นอะไรที่ยากสุดแล้ว ตอนนี้ตัวห้างฯ ที่เราจะไปเปิดในเวียดนาม เราก็ได้ไปเวียดนามเดือนละ 2 ครั้ง ไปดูตลาดว่ามันเป็นยังไง มีอะไรมาปรับใช้ได้บ้าง มันทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้คิดไอเดียใหม่ๆ คือไม่ใช่ว่ามีของที่เมืองไทยแล้วจะเอาไปเปิดลงที่นั่นเลย เราจะต้องดูด้วยว่าคนที่นั่นชอบอะไร สินค้าเราเหมาะกับเขาไหม ถ้าไม่เหมาะเราจะเอามาปรับยังไงได้บ้าง จนถึงตอนนี้เราทำงานมาได้เกือบ 5 เดือนแล้ว เราก็รู้สึกว่า เรามีการพัฒนาความคิด และมุมมองใหม่ๆ ที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ
...
กดดันไหมที่ใครหลายคนมองว่าเป็นเด็กเส้น
เอาจริงๆ ก็นิดหนึ่งนะ ถึงแม้เราจะเข้าไปด้วยการสอบสัมภาษณ์ตามขั้นตอนทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่ท้ายสุดคนก็จะมองว่าเราเป็นเด็กเส้นอยู่ดี เขาฟิกมาแล้วว่าเราจะต้องผ่าน ซึ่งตอนแรกเราไม่ได้บอกใครเลยนะว่า เราเป็นลูกหลานใคร เรารู้สึกว่าจะต้องทำการบ้านเพื่อทดสอบในขั้นตอนต่างๆ ให้ผ่านให้ได้ เพราะการคัดเลือกค่อนข้างจะเข้มข้น และหนักเอาการอยู่เหมือนกัน จำได้ว่า ตอนนั้นเราไม่ได้ไปสมัครแค่ที่บริษัทคุณน้าที่เดียว เราไปสมัครหลายเครือของเซ็นทรัลอยู่ ถ้าถามส่วนตัวคิดว่าเป็นเด็กเส้นไหม ก็อาจจะมีบ้างส่วนหนึ่ง มันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะไม่มีเลย เพราะเราเป็นญาติกับคุณน้าก็เลยทำให้มีความได้เปรียบมากกว่าคนอื่นๆ นิดหนึ่ง ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ เราว่าผลการตัดสินใจมันอยู่ที่ประสิทธิภาพ (Performance) ของตัวเราเองมากกว่า เขาถึงได้รับเลือกเราให้ทำงาน
คุณพ่อคุณแม่มีแนะแนวการทำงานบ้างไหม ยังไงบ้าง
ไม่ได้แนะแนวขนาดนั้นก็ปล่อยให้เป็นในส่วนของเรา แต่พวกท่านจะมีสอนในเรื่องของระเบียบวินัย และความรับผิดชอบในงาน เพราะในเมื่อเราทำงานแล้ว นั่นแสดงว่าเรามีวุฒิภาวะที่เพิ่มมากขึ้น ฉะนั้น การทำงานเราก็จะต้องโตขึ้น สองสิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำงาน คนอื่นจะมองเราในทางบวกหรือทางลบ เอาเราไปพูดชื่นชมหรือนินทาลับหลังก็มาจากตรงนี้ ไม่ใช่บางคนเก่งแล้วแต่ทว่าไปทำงานสายทุกวัน แบบนี้ก็ไม่ไหวดูขาดความรับผิดชอบ คุณพ่อจะสอนเสมอเรื่องการเข้างาน-การตรงต่อเวลา ยิ่งหลายคนมองเราว่าเป็นเด็กเส้นด้วยแล้ว เราต้องยิ่งพิสูจน์ให้เขาเห็นถึงความสามารถ และความรับผิดชอบต่องาน การจะทำให้คนที่เราดีลงาน หรือคนที่อยู่ในทีมของเราชื่นชม มันก็คือการที่เรามีวินัย และทำทุกอย่างตามที่เราคิดว่าควรจะทำ
คติในการทำงาน
(หัวเราะร่า) เราไม่มีเลยนะ แค่คิดว่าการทำงานทุกอย่างถ้าจะประสบความสำเร็จได้ มันอยู่ที่ความพยายามของเราเอง เราเชื่อมาตลอดว่า 'คนเก่งจะแพ้คนขยัน' คนขยันถ้าขยันทำงานทุกวันสักวันก็อาจจะเทียบเท่ากับคนเก่งได้ ทว่ากับคนเก่งถ้าคิดว่าตัวเองเก่งตลอด-ไม่มีการพัฒนาตัวเอง มันก็จะทำให้ประสิทธิภาพของเราถดถอยในที่สุด มีแต่การทำงานในรูปแบบเดิมๆ ยึดติดกับความคิดเดิมๆ เราว่าคนเราต้องมีแรงผลักดันในตัวเองนะถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำงานหนักขนาดนี้ มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองยังไง
หาวันออกกำลังกายเฟิร์มหุ่น (หัวเราะ) ถ้าบางวันรู้สึกว่าโทรมก็จะเน้นทานอาหารคลีนมากหน่อย เราว่าการเลือกทานอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญ จะให้ทานแต่อาหาร Junk Food แฮมเบอร์เกอร์ หรือพวกของมัน ของทอดก็คงไม่ไหว มีเล่นกีฬาอะไรบ้างไหม ? เราชอบต่อยมวย เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งกลับมาจากสมุย เราก็เข้าคลาสต่อยมวยเลย เราว่ามันเป็นอะไรที่สนุกแล้วก็เพลินดีนะ ได้ออกกำลังกายทั้งแขน-ขา ถ้าเป็นกีฬาทางน้ำ เราก็เล่นได้นะแต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
ไลฟ์สไตล์ชิลๆ เวลาอยู่บ้าน
จริงๆ เราไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ถ้าวันไหนไม่ทำงาน เราก็จะไปออกกำลังกาย ออกไปพักผ่อนเที่ยวข้างนอก ไปถ่ายรูปเล่น แต่เราถ่ายรูปได้แย่มากนะ เราแค่ชอบฟิลลิ่งตอนถ่ายรูปมากกว่า เราใช้กล้องของ Fuji XT1 ตอนนั้นซื้อมา 60,000 บาท เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนก็ให้มันเป็นแบบให้ แล้วเราก็ถ่าย (หัวเราะ)
สไตล์การแต่งตัว...แนวไหน
ง่ายๆ สบายๆ เราไม่ค่อยตามแฟชั่นเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะใส่เป็นเสื้อสีพื้นๆ เบสิก อย่างสีขาว สีดำ สีเทา สีกรมท่า (Navy) แต่จะไม่ได้คุมโทนแบบฮิปสเตอร์ เราไม่ชอบใส่เสื้ออะไรที่มันเป็นลายๆ หรือแฟชั่นจ๋าที่เด็กแนวชอบใส่กัน มีแบรนด์สุดโปรดไหม ? เอาจริงๆ เราไม่ใช่คนติดแบรนด์นะ ไม่ค่อยแต่งตัวด้วย ในตู้มีอยู่ไม่กี่แบรนด์เอง ที่ใส่มากสุดก็จะมีของแบรนด์เสื้อ Lanvin (ลองแวง) และแบรนด์ Acne Studios-Club 21 ถามถึงแหล่งช็อปปิ้ง ส่วนมากแล้วจะไปซื้อที่เมืองนอก นานๆ ซื้อทีหนึ่ง ไม่รู้นะแต่เราว่าเสื้อผ้ามันอยู่ทน ใส่ได้นานดี ฉะนั้นเวลาไปซื้อทีก็ค่อนข้างจะลงทุนกับมันนิดหนึ่ง
บุคลิกฯ นิสัยส่วนตัวคิดว่าเป็นคนยังไง
ค่อนข้างเนี้ยบ และก็อเลิร์ท (Alert) เนี้ยบในที่นี้หมายถึงทำอะไรถูกกาลเทศะนะ รู้ว่าในสถานการณ์นั้นๆ ต้องทำตัวยังไง หรือวางตัวยังไง ซึ่งมันก็เป็นความโชคดีที่มีผู้ใหญ่คอยสอนตลอดเวลา อย่างเรื่องมารยาทในการออกงานสังคมต่างๆ หลายคนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยคุยกับเราจะคิดว่าเราหยิ่ง ดูถือตัวเข้าหายาก ขรึมๆ หน่อย แต่จริงๆ ถ้าได้รู้จักแล้ว เราเป็นคนเฟรนด์ลี่มาก ออกจะต๊องๆ หน่อยเลย
สเปกสาวต้องแบบนี้แหละ !
เราชอบคนฉลาด ความสวยเป็นรอง (หัวเราะ) ถามว่าชอบคนสวยไหม แน่นอนว่าผู้ชายทุกคนก็ต้องชอบผู้หญิงสวย ทว่าสำหรับเรานั่นไม่ใช่ปัจจัยหลัก เราชอบผู้หญิงที่มีเสน่ห์ และพอคุยด้วยรู้สึกว่าเขาฉลาด มีอะไรน่าค้นหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการ ความรู้รอบตัว หรือแม้แต่ฉลาดเรื่องการวางตัว เราชอบคนที่อยู่ด้วยกันได้แบบแค่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็มีความสุขได้ ซึ่งมันค่อนข้างหายาก
มีคนเคยถามบ่อยๆ ทำไมถึงยังไม่มีแฟน ไม่รู้นะ เราไม่ได้รีบร้อนอะไร อีกอย่างถ้ามันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เราจะไม่คุยถ้ารู้สึกว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ หรือไม่มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้ เราจะไม่ขอแค่คุยเพื่อให้มีแฟน แบบนี้มันจะแย่ทั้งเราแล้วก็เขาคนนั้น
สิ่งที่แพลนไว้ อีก 2-3 ปี กับชีวิต และการทำงาน
อย่างที่บอกก็คือเรียนต่อ อาจจะเป็นปีหน้า หรืออีกสองปีก็ว่ากันไป ช่วงนี้เราก็ทำงานอยู่ที่นี่ คิดไว้ว่าทำงานที่นี่เสร็จก็จะสอบ G-MATH แล้วไปอเมริกา (นิวยอร์ก) เลย เรียนจบกลับมาก็ว่าจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เพราะเราอยากเรียนรู้อะไรเยอะๆ โดยการเริ่มต้นสร้าง-ลงมือทำด้วยตัวเองก่อน ถ้าถามถึงความคาดหวังตอบตรงๆ เราก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ที่คิดไว้เราอาจจะทำอะไรที่อยู่ในอุตสาหกรรมสื่อทีวี