กลายเป็นมหากาพย์ดราม่าไม่จบไม่สิ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีการเปิดศึกแฮชแท็กระหว่างดีไซเนอร์ทรงอิทธิพล กับนางเอกสาวสุดฮอตแบรนด์แอมบาสเดอร์ไอศกรีม “แม็กนั่ม” เรื่องนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ อยู่ที่มุมมองของคน แต่ที่แน่ๆคนที่ดังระเบิดในชั่วข้ามคืนคือ “หมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา” ผู้ก่อตั้งอาซาว่า กรุ๊ป จำกัด เพราะวินาทีนี้ใครๆก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มีแบ็กดียังไง ทำไมคนทั้งวงการแฟชั่นถึงพร้อมใจเป็นแนวร่วมแจกสตรอเบอรี่!! ดีไซเนอร์มือทองเปิดใจเป็นครั้งแรกกับทีมข่าวหน้าสตรีไทยรัฐ
คนทั้งบ้านทั้งเมืองถามให้ แซ่ดว่า “หมู-พลพัฒน์” เป็น ใครมาจากไหน
ผมเรียนจบนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เอกวาทะวิทยาและสื่อสารการแสดง ทำงานโฆษณาอยู่แป๊บเดียว ก็ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านแมนเนจเมนต์ คอนซัลแทนต์ ที่แอลเอ สหรัฐอเมริกา ที่บ้านเป็นตัวแทนขายรถยนต์โตโยต้า “บริษัท โตโยต้า พีเอส เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด” คุณพ่อคุณแม่กรูมมาเพื่อให้เป็นนักธุรกิจรับช่วงดูแลกิจการครอบครัว แต่หลังเรียนจบปริญญาโท เราแอบหนีไปเรียนต่อแฟชั่นดีไซน์ที่พาร์สันส์ สคูล ออฟ ดีไซน์ เพราะใจรักแฟชั่นมาก ตอนนั้นขายบ้านขายรถที่พ่อแม่ซื้อให้ เพื่อไปสมัครเรียน จำได้ว่าช่วงแรกไม่มีเงินเลย ต้องหอบเสื้อผ้าไปขอนอนที่โซฟาบ้านเพื่อน พอร์ตเราก็อ่อนมาก พอสอบเข้าได้เลยต้องสารภาพกับพ่อแม่ เลยได้เรียนแฟชั่นดีไซน์สมใจ
...
ได้เรียนแฟชั่นดีไซน์สมใจ คราวนี้กู่ไม่กลับเลยไหม
(ยิ้ม) เรียนจบปั๊บ ได้ฝึกงานที่มาร์ค เจคอบส์ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่กลับบ้านแล้ว ตอนนั้นยอมทำหมดทุกอย่าง เป็นเด็กซื้อกาแฟเด็กสอยชายกางเกง ค่าจ้างเท่าเด็กล้างจาน แต่เราก็ชอบมาก เพราะได้เจอนางแบบระดับโลกที่เคยเห็นตามแมกกาซีน ฝึกงานที่นี่
6-7 เดือน รู้สึกเลยว่านี่แหละโลกของเรา มันคือความฝัน ทำแล้วมีความสุข เลยติดลมไม่ยอมกลับบ้าน คราวนี้พ่อแม่ยื่นคำขาดว่างั้นไม่ส่งเงินให้ใช้แล้ว ถ้าจะอยู่ต่อก็ต้องหาเลี้ยงตัวเอง โดนตัดเครดิตการ์ด
โดนลอยแพแบบนี้ ลูกคุณหนูต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบขนาดไหน
ชีวิตต้องกระเสือกกระสนทำงานทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ จากที่เคยอยู่อพาร์ตเมนต์ดีๆย่านโซโห ก็ต้องย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนต์เล็กๆ คือตกสวรรค์เลยแหละ ทำงานหลายกะ ใครให้ทำอะไรทำหมด นอกจากงานประจำที่ทำอยู่คือ เป็นเมอร์เชนไดเซอร์ให้แม็กซ์มาร่า และเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ ตกเย็นก็รับจ็อบเป็นเพอร์ซันแนลสไตลิสต์ และดึกๆยังไปจัดวินโดว์ดิสเพลย์ให้ห้างสรรพสินค้า ทำงานวิ่งรอกหลายที่มาก พอว่างก็ไปปาร์ตี้ จนเพื่อนฝรั่งแซวว่า “พอล” เดือนหนึ่งนอนวันเดียว เวลาผ่านไปเร็วมาก ทำไปทำมาก็อยู่นิวยอร์ก 10 ปี
ย้อนกลับไปมองชีวิตช่วงนั้นรันทด หรือแฮปปี้สุดๆ
ที่บ้านเลี้ยงเรามาอย่างสุขสบายทุกอย่าง แต่ตอนนั้นไม่เคย คิดว่ารันทดนะ ไม่เคยคิดถึงวันข้างหน้า คิดแต่ว่าเรามีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ บางทีไม่มีค่าน้ำค่าไฟ เพราะช็อปปิ้งหมด แต่ก็ไม่เคยรู้สึกลำบาก 10 ปีตรงนั้นสอนให้เข้าใจว่าการจะตามหาความฝัน ให้เป็นจริง การจะก่อร่างสร้างตัวให้สำเร็จ มันต้องมีองค์ประกอบอะไรในชีวิต อย่างแรกเลยคือ ความอดทน ความขยัน ตอนนั้นถ้าอดคืออด เงินหมดคือเงินหมด เราได้เรียนรู้ชีวิตจริงๆ ระหว่างนั้นพ่อแม่ ก็ส่งเทียบเชิญมาเรื่อยๆว่ากลับบ้านไหมสบายกว่ากันเยอะ แต่เรายืนกราน ว่าไม่กลับ เพราะอาชีพการงานเริ่มดีขึ้น จนสุดท้ายได้เป็นแฟชั่นไดเรคเตอร์ของแบรนด์แม็กซ์มาร่า เจอแต่คนเก่งๆได้เรียนรู้เยอะไปหมด
...
อะไรทำให้อิ่มตัว ถึงยอมกลับ เมืองไทย
ไม่เคยอิ่มตัวเลยนะ อยู่นิวยอร์กมา 10 ปี มีความสุขที่สุด แต่ตอนนั้นต้องกลับเมืองไทย เพราะพ่อไม่สบายเข้าไอซียู พี่ชายมีธุรกิจเต็มมือไปหมด เป็นซีเอฟโอของโมโน กรุ๊ป เลยอยากให้เรามาช่วยดูแลธุรกิจนำเข้ารถยนต์ของครอบครัว ทำงานเต็มตัวอยู่ 3 ปี ยอมรับว่ามันไม่ใช่โลกของเรา แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงตัวเองแล้ว คิดถึงพ่อแม่ เราใช้ชีวิตสนุกมาเต็มที่ ก็ถึงเวลาต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เรามีหน้าที่ต้องทำธุรกิจของที่บ้านให้เรียบร้อย
แล้วหาโอกาสกลับเข้าสู่วงการแฟชั่นได้ยังไง
จังหวะพอดี สยามพารากอนกำลังจะเปิด แล้วต้องการคนมาช่วย เซ็ตอัพแผนกเพอร์ซันแนล สไตลิสต์ ผู้ใหญ่รู้ว่าเคยทำที่นิวยอร์ก ก็เลยชวนเข้ามา เราสนุกกับทางนี้ สุดท้ายเลยต้องพูดกับที่บ้านว่า ขอออกมาตั้งแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วไปดึงพี่สะใภ้มาบริหารธุรกิจครอบครัวแทน
ตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ แบรนด์ ASAVA เติบโตแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน
เริ่มทำแบรนด์ ASAVA ด้วยเงินทุน 15 ล้านบาท เมื่อ 8 ปีที่แล้ว วันแรกมีพนักงานแค่ 4 คน นั่งทำเสื้อผ้า ในห้องเก็บของ ทำเสื้อได้เดือนละ 15 ตัวก็เก่งแล้ว มีจักรตัวเดียว วันนี้มีพนักงาน 100 คน มี 11 สาขา เราโตมาในขนาดที่มีความสุข โตมาในขนาดที่รู้สึกว่ามีคุณค่ากับชีวิต เราไม่จำเป็นต้องรีบโตรีบใหญ่ มันเหมือนลูกของเรา ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก เรายังอยากทำนั่นทำนี่ จะกินจะตื่นจะนอนก็คิดถึงแบรนด์เราหมด เลยงอกจาก ASAVA เป็น ASV, Uniform by ASAVA และ SAVA Dining คิดว่าทำยังไงให้ภาพฝันขยายได้มากที่สุดไปไกลที่สุด
...
วงการนี้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นรุนแรงไหม
มันอยู่ที่เราวางตัว เกิดเป็นมนุษย์ก็มีการแก่งแย่งกันทุกวงการ แต่สุดท้ายเราวางตัวดีไหม ทำให้คนอื่นศรัทธาในตัวเราไหม เราให้เกียรติคนอื่นหรือเปล่า คนเราจะอยู่ที่ไหนได้ต้องมีคุณค่า คุณค่าต้องมาด้วยคุณภาพของงาน คุณภาพตัวตนแท้จริงของคุณ นิสัยใจคอ ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ยอมรับว่าก็เคยมีโดนทิ่มแทงบ้าง แต่บังเอิญเราเข้าวงการตอนโตแล้ว ทำให้มีสติไม่คิดตอบโต้ใคร ไม่วุ่นวายกับคน ทุกคนทำที่สบายใจดีกว่า เราไม่มีปัญหา เราทำงาน ของเราไป อะไรเงียบได้ก็เงียบ พูดไปไม่จบ!! อายุมากแล้ว มีโอกาสเข้าวัดเข้าวาเยอะ รู้ว่าดังได้ก็ดับได้!! ทุกอย่างไม่มีตัวตน สิ่งที่ทำได้คือทำตัวให้มีคุณค่า สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้จะช่วยพยุงให้ลุกขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะตกต่ำแค่ไหน
...
อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
เมื่อ 5 ปีก่อน ตัดสินใจเลิกเที่ยวเลิกปาร์ตี้ เพราะคิดได้ว่า พ่อแม่อายุมากแล้ว เราไม่น่าจะมีชีวิตในแบบที่พ่อแม่ต้องเป็นห่วง เลยตั้งหน้าตั้งตาทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จเป็นปึกแผ่น ก่อนที่พ่อแม่จะไม่อยู่ เราอยากให้เขารู้สึกว่าลูกคนเล็กเลี้ยงตัวเองได้สบาย เมื่อพวกเขาจากไปจะได้ไม่มีห่วง เป็นแรงผลักดันใหญ่ที่สุดในชีวิต
“หมู-พลพัฒน์” คือดีไซเนอร์คนแรกๆ ที่ใช้ดาราเซเลบเป็นแม่เหล็ก?
มิวซ์ของแบรนด์เรามีหลากหลาย คนที่น่ารักมากคือ “แอน ทองประสม” น้องแอนเป็นคนที่มีกิริยา มารยาทสมเป็นนางเอกมาก เขาไปไหนจะเป๊ะทุกประการ ทำงานกับน้องแอนสบายใจมาก ส่งชุดไปไม่ต้องพูดอะไร หน้าผมเป๊ะครบทุกอย่าง มาก่อนเวลา มานั่งดูโชว์รวบมือหลังตรง หน้าอมยิ้ม ขาตรงเป๊ะ พอเสร็จงานก็ซักแห้งส่งชุดมาคืน พร้อมขนมผูกโบ เขียนโน้ตขอบคุณทุกครั้ง มันชื่นใจมาก ส่วน “สู่ขวัญ บูลกุล” รสนิยมดี รู้จักตัวเองดีว่าควรไปที่ไหนทำอะไรอย่างไร “แอฟ ทักษอร” ไม่ต้องพูด เป็นเจ้าหญิง ละเมียดละไมน่าทะนุถนอม หรือ “ญาญ่า” ก็กริบมาก ทั้งแม่ทั้งน้องเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย น้องมีความจริงใจ อย่างนี้จะเอาอะไรก็ได้ทำให้ถวายหัวอยู่แล้ว
คำว่าโปรเฟสชั่นแนลในมุมมองของ “หมู-พลพัฒน์” ต้องเป็นยังไง
ทำงานให้เกียรติคนอื่น ไม่ใช่ให้เกียรติเฉพาะเรา แต่ให้เกียรติทีมงานทุกคน ตั้งแต่ ช่างหน้าช่างผม สไตลิสต์ ดีไซเนอร์ แบล็กสเตท ให้เกียรติเสื้อผ้า ตรงต่อเวลา มีสัมมาคารวะ ดีเยี่ยม พูดขอบคุณทุกคำ รู้จักการวางตัวที่ดี เมื่อแต่งตัวขึ้นมาแล้วมีกิริยามารยาทน่าชื่นชม สำคัญสุดคือ จริงใจ “พี่นก-สินจัย” เป็นตัวอย่างดีที่สุด มาก่อนเวลา มาถึงก็พร้อม ทุกอย่าง พอเราถามว่าพี่นกชอบชุดนี้ไหมครับ พี่นกตอบชื่นใจว่า ถ้าพี่หมูชอบพี่นกใส่ได้หมดค่ะ คือให้เกียรติมาก ถึงเวลาส่งคืนเสื้อผ้า ตรงเวลาเป๊ะ แถมซักแห้งมาให้เรียบร้อย ทุกคนอยู่ได้ต้องมีวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกัน
แล้วแบบไหนไม่โปรเฟสชั่นแนล รับไม่ได้?!
สังคมไทยเป็นเรื่องของ สัมมาคารวะ จะเป็นใครมาจาก ไหนอาชีพอะไร จะเกี่ยวข้องกับ ชีวิตเราเล็กน้อยหรือมาก ก็ต้อง ให้เกียรติกัน จะเป็นแม่บ้านตัวเล็กๆเวลาทำอะไรให้เราก็ต้องขอบคุณทุกครั้ง ความเป็นมืออาชีพยังสอนกันได้ แต่เรื่อง “อย่างอื่น” สอนยาก!!
“ชมพู่-อารยา” ล่ะคะ เคยร่วมงานกันไหม
เคยร่วมงานกันมาหลายปี น้องก็ยังเสมอต้นเสมอปลาย เสื้อผ้าเราอาจไม่ใช่สาย ชมพู่ แต่น้องก็ยังนึกถึงเราอยู่ ชมพู่อยู่ในวงการมานาน จนรู้ว่าที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร ณ วันนี้ สามารถเลือกทำเฉพาะสิ่งที่คิดว่าดีกับชีวิตเค้าได้ คนที่ทำงานจนตกผลึก จะมองเห็นว่าอะไรเป็นแก่นสารในการทำงาน ชมพู่ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงิน มากมายต่อไปแล้ว ความตั้งใจและความมุ่งมั่นไม่มีใครเท่าชมพู่ อย่างไปเมืองคานส์ ครั้งนี้ ชมพู่ไม่ได้เตรียมแค่เสื้อผ้า แต่เค้าเตรียมทั้งร่างกาย แขนเขินเชฟเชิฟเป๊ะมาก คนที่มีความเพียร ความมุ่งมั่น และมีวินัย ยังไงก็สำเร็จ แถมยังให้เกียรติทุกคน
งานล้นมือขนาดนี้ ทำยังไงให้สนุกทุกวัน ไฟแรงไม่มีตก
ไม่เคยเบื่อการทำงานเลย มีสิ่งที่อยากทำอยู่เสมอ วันนี้เรายังทำได้แค่เศษเสี้ยวจากที่อยากทำ ถ้าอยากให้บริษัททะยานไปมากกว่านี้ ก็จำเป็นต้องใส่พลังเข้าไปมากกว่านี้ เรายังมีสิ่งที่ต้องทำต้องสร้างอีกเยอะ ตอนนี้ใช้พลังไปแค่ 20% อยากผลักดันสิ่งที่เราคิดและเชื่อส่งต่อให้คนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สำหรับเรามันไม่ใช่ธุรกิจอีกต่อไปแล้ว มันคือชีวิตมากกว่า การพักผ่อน ของเราคือการค้นคว้าตำรา เดินทางหาแรงบันดาลใจมาปรับปรุงแบรนด์ วันว่าง จริงๆก็จะออกกำลังกาย เพราะเชื่อว่าร่างกายที่แข็งแรงจะนำมาซึ่งพลัง เมื่อ 3 ปีก่อนเริ่มเข้าวัดจริงจัง มันทำให้เราสงบและมีสติ รู้จักปล่อยวางขึ้น มองเห็นสัจธรรมในชีวิตมากขึ้น ทุกอย่างตั้งอยู่ดับไป ชีวิตเราอยู่ง่ายขึ้น ตัวเราเบาขึ้น อีโก้เล็กลง.
ทีมข่าวหน้าสตรี