ต้องเป็นอิทธิพลของดาวมฤตยูโคจรมาทับลัคนาเมืองแน่ๆ ที่ทำให้เกิด ความเปลี่ยนแปลงช็อกวงการคาดไม่ถึง โดยหนึ่งในวงการที่มีแรงกระเพื่อมสะเทือนเลื่อนลั่นสุดในปี 2558 สร้างความฮือฮาไปทั้งแวดวงสังคม ต้องขอยกให้วงการพีอาร์ เพราะจู่ๆเหล่าเจ้าพ่อเจ้าแม่พีอาร์ขาใหญ่ที่ครองบัลลังก์คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานับสิบๆปี ก็ประกาศเปรี้ยงจะล้างมือในอ่างทองคำ!! ทิ้งความหลังสุดรุ่งโรจน์ไว้เป็นอนุสรณ์ความทรงจำ เพื่อเริ่มต้นเขียนชีวิตบทใหม่ให้ตัวเอง หลังทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายให้คนอื่นได้รวยอื้อซ่าส์มานาน

ช็อกสุดๆไปทั้งวงการแฟชั่นแบรนด์เนม เมื่อเจ้าแม่พีอาร์ชาแนล “แจน–จิตติมา วรรธนะสิน” ที่มีนามสกุลชาแนลห้อยท้ายติดตัวมานานถึง 18 ปี ลุกขึ้นประกาศอำลาวงการอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทำเอาคนแฟชั่นและสื่อทุกสำนักต้องไล่ล่าหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “แจน ชาแนล” ทำไมจู่ๆยอมทิ้งเงินเดือนหลายแสน และตำแหน่งจีเอ็มด้านคอมมิวนิเคชั่นของชาแนล ประเทศไทย ซึ่งใครๆก็ตะเกียกตะกายอยากได้ นี่มันเกิดฟ้าผ่าฟ้าแลบคำสั่งลับอะไรขึ้นมา สืบไปสืบมา โถๆๆที่แท้เจ้าแม่พีอาร์ก็จะล่ำลาไปแต่งงานสร้างครอบครัวนี่เอง นึกว่ามีดราม่าชุดใหญ่ พวกแมงเม้าท์เลยหุบปากแทบไม่ทัน!!

...

เกือบสองทศวรรษที่ทำงานให้ชาแนล “แจน” ยืนยันว่า แจนรักแบรนด์นี้มาก ทำมานานจนรู้สึกผูกพัน ชาแนลให้ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ทำงาน ทำให้มีโอกาสรู้จักผู้คนหลากหลายมาก ได้เดินทางไปเห็นโลกกว้างเห็นวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งคนอื่นอาจไม่มีโอกาสไปเห็น แต่ชีวิตส่วนตัวของเรา ก็ยังมีอะไรที่อยากทำอีกเยอะ แจนทุ่มเทความรู้ความสามารถให้ชาแนลหมดแล้ว ถึงเวลาที่จะทุ่มเทให้ตัวเองบ้าง ปีนี้ก็อายุ 49 แล้ว ไม่เคยมีเวลาให้ตัวเองเลย ก็อยากมีเวลา ถามตัวเองว่าอยากทำอะไรอีก กระนั้น เจ้าแม่พีอาร์ชาแนลยืนกรานว่า อาชีพพีอาร์เป็นงานที่รัก ภายนอกอาจดูสวยหรูได้แต่งตัวเลิศๆ แต่จริงๆงานหนักมาก ต้องละเอียดอ่อนและพิถีพิถันสุดๆ ต้องอาศัยทักษะพิเศษหลายอย่าง นอกจากต้องเข้าใจเนื้องาน สื่อสารออกมาได้อย่างถูกต้องตรงตามทิศทางของบริษัท ยังต้องมีทักษะเรื่องการสื่อสารกับผู้คนอย่างสูง และมีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆกับผู้คน ทั้งลูกค้า สื่อมวลชน และทีมงานชาแนลทั้งโลก แจนหวังว่าต่อไปจะได้นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาไปแชร์ให้น้องๆตามมหาวิทยาลัย คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง และอยากทำธุรกิจเล็กๆกับครอบครัว แต่คงไม่กลับไปเป็นลูกจ้างใครแล้ว

ฮือฮาไม่แพ้กันเลยเพราะครองบัลลังก์เจ้าพ่อพีอาร์แบรนด์เนมใหญ่อันดับต้นๆของโลกมาต่อเนื่องยาวนาน คือข่าวอำลาวงการแฟชั่นสุดช็อกตะลึงตึงๆของ “ป๊อป ดิออร์” วราวุธ เลาหพงศ์ชนะ ยอมทิ้งชีวิตเจิดจรัสที่อยู่ท่ามกลางความเลิศหรูกลามัวรัสของคริสเตียน ดิออร์ ตลอด 10 ปีเต็ม กับตำแหน่งพีอาร์แอนด์มาร์เก็ตติ้ง ไดเร็กเตอร์ ที่กว่าจะได้มาต้องพิสูจน์ฝีมือเลือดตาแทบกระเด็น เพราะป๊อปถือคติจะคืนมงกุฎอำลาตำแหน่งทั้งที ก็ต้องจากไปอย่างสวยๆตอนที่คนยังจดจำแต่ภาพดีงาม การตัดสินใจทิ้งนามสกุลดิออร์ที่ติดตัวมาเป็นทศวรรษไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ป๊อปยอมรับว่าต้องทำก่อนที่จะสายเกินไป เพราะตั้งแต่ ป๊อปหันมาเป็นผู้ประกาศข่าวบันเทิงต่างประเทศของโต๊ะข่าวบันเทิง ช่อง 3 เมื่อ 6 ปีก่อน ต้องตื่นแต่เช้ามาเขียนสคริปต์ข่าวเองอาทิตย์ละ 5 วัน ส่วนเวลาช่วงบ่ายก็ทุ่มเทให้กับดิออร์ ทำให้ป๊อปไม่มีเวลาดูแลสุขภาพร่างกาย กินนอนไม่เป็นเวลา ยิ่งช่วงหลังผันตัวมาเป็นเจ้าของรายการทีวี มีรายการของตัวเอง 2 รายการ คือ The List อัศจรรย์ความรู้ กับ The Poll เข้าใจความต่างอย่างมีสไตล์ ทำให้เหนื่อยแทบกระอัก วิ่งรอกอย่างนี้มาหลายปีแล้ว จนป๊อปยอมรับว่าเหนื่อยสาหัสมากที่ทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน เพราะเป็นคนทุ่มเทจริงจัง เวลาทำอะไรก็ต้องทำให้สุด ไม่ยอมให้มีข้อบกพร่องเด็ดขาด

เจ้าพ่อพีอาร์วงการแฟชั่นบอกความในใจว่า 10 ปีที่ร่วมงานกับดิออร์ มีแต่ความทรงจำดีๆ รู้สึกโชคดีมาก และหายเหนื่อยทุกครั้งที่เราจัดงานแล้วประสบความสำเร็จ มีคนชื่นชม มางานเราแล้วยิ้มแย้มมีความสุข อะดรีนาลีนหลั่งมาก มันเป็นประสบการณ์ที่เงินซื้อไม่ได้จริงๆ และยังรักงานพีอาร์มาก เป็นอาชีพที่มีเสน่ห์ มีความท้าทาย และเต็มไปด้วยรายละเอียด อาชีพนี้สอนให้ป๊อปมีวินัย, อ่อนน้อม, อดทน, รับผิดชอบ และอึด เวลาป๊อปทำงานเป็นคนแข่งกับตัวเอง ไม่เคยสนใจว่าคนอื่นทำอะไร ยังไง เราต้องแข่งกับตัวเองในอดีตตลอด เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไป ปัญหาคือความท้าทาย การทำงานพีอาร์ต้องทำให้ทุกคนพึงพอใจมากที่สุด ป๊อปจะสอนเด็กๆตลอดว่าขอให้พูดขอบคุณให้มาก แต่ใช้คำขอโทษให้น้อย หมายความว่าใครทำอะไรให้เราไม่ว่าคนเล็กคนใหญ่ก็ต้องขอบคุณเค้า ส่วนการใช้คำขอโทษให้น้อย เพื่อเราจะได้ระมัดระวังความผิดพลาดให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด อนาคตจากนี้ไป ป๊อปตั้งใจทุ่มเทให้กับอาชีพ ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่รักและใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆ ส่วนเวลาที่เหลือก็รับเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ ค่ายโพลีพลัส ยักษ์ใหญ่ธุรกิจวงการบันเทิง ปีนี้อายุ 43 แล้ว ป๊อปยังสัญญากับตัวเองว่าจะเริ่มออกกำลังกายจริงจัง เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้มีเรี่ยวแรงลุยงานต่อ ทำในสิ่งที่รัก สานฝันยิ่งใหญ่ให้เป็นจริง จะมีอะไรเด็ดๆมาเซอร์ไพรส์อีกก็ต้องตามดูกัน

...

ทิ้งช่วงห่างไม่นาน ก็มีข่าวช็อกอีกข่าวจากวงการบิวตี้ เมื่อเจ้าแม่ชิเซโด้ “ไก่อู—กุลสิรี อรรถจินดา” ประกาศอำลาวงการความงาม และทิ้งตำแหน่งใหญ่ผู้จัดการแผนกโฆษณาประชาสัมพันธ์สื่อสารองค์กรของชิเซโด้ ประเทศไทย ที่ทำมายาวนานกว่า 20 ปี โดยไม่หันหลังกลับไปอีก คงเหลือไว้แต่ความทรงจำ เจ้าแม่ชิเซโด้บอกเล่าว่า คลุกคลีอยู่วงการนี้มานานสองทศวรรษ ทำให้แข็งแรงกับเรื่องคอสเมติก เลยไม่มีความท้าทายใหม่ๆแล้ว อยู่แต่ในคอมฟอร์ตโซน อยากปลุกไฟในตัวเองขึ้นใหม่ เพราะเพิ่งอายุ 48 ปี อยากดึงความรู้สึกตื่นเต้น อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆให้กลับมาอีก อยากไดรฟ์ตรงนี้ออกมา โดยใช้ประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา เพื่อทำให้สินค้าประเภทอื่นๆดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก่อนจะค้นหาเจอว่าอยากทำงานร่วมกับใครต่อไป เจ้าแม่พีอาร์ความงามขอใช้เวลาชาร์จแบตให้ตัวเองได้พักผ่อนเต็มที่ก่อน และฝากน้องๆในวงการบิวตี้ว่า งานพีอาร์เป็นงานหนัก ไม่ได้ม้วนเดียวจบ ต้องทำต่อเนื่อง และเกี่ยวพันไม่หยุด จะโยงกันไปเรื่อยๆเป็นงานที่รายละเอียดเยอะ ต้องใช้ศิลปะหลากหลายมากคนมองว่าสวยงาม เพราะเนื้องานต้องเจอผู้คนเยอะ เลยต้องดูแลภาพลักษณ์ให้ดี แต่เบื้องหลังทุกอย่างต้องคิดไตร่ตรองหนักมาก ในแวดวงความงามยุคนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเยอะ ต่อให้เป็นแบรนด์ใหญ่ที่แข็งแรง ถ้าไม่รู้จักปรับตัวเองให้ทันโลกทันคู่แข่งก็จะอยู่ไม่ได้ การทำพีอาร์และการตลาดยุคใหม่ต้องแข่งกันที่ความคิดสร้างสรรค์ในการสื่อสารออกไป อยู่ที่ว่าใครจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่ากันในการหาช่องทางใหม่ๆ เพื่อยึดพื้นที่ตลาดไว้ในมือ เพราะโลกเปิดกว้างมากในเรื่องการสื่อสาร

...

อาจเป็นอีกหนึ่งข่าวช็อกวงการพีอาร์เลยทีเดียว ถ้าเจ้าพ่อพีอาร์ใหญ่วงการโรงแรม “บุญชอบ ล้ออุไร” ประกาศรีไทร์ตัวเองจริงๆ หลังครบแซยิดใหญ่ในปีมะแมที่ผ่านมา เจ้าพ่อพีอาร์โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงนี้ยาวนานกว่า 35 ปี ในฐานะมือขวาคนสนิทของ “เจ้าสัวสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์” เป็นที่เลื่องลือว่าในวงการนี้ไม่มีใครจะมีซุปเปอร์คอนเน็กชั่นกับสื่อได้กว้างไกลลึกซึ้งเท่า “บุญชอบ” อีกแล้ว เจ้าพ่อพีอาร์คนนี้เคลียร์ได้ทั่วราชอาณาจักร (ไม่ได้โม้นะ!) เพราะรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เยอะ เคล็ดลับที่ทำให้เขาเป็นขวัญใจสื่อทุกระดับ ก็เพราะไม่เคยเลือกปฏิบัติ จะดูแลตั้งแต่คนเล็กๆถึงคนใหญ่ๆอย่างทั่วถึงกัน แม้แต่นักข่าวเกษียณอายุไปแล้ว เขาก็ตามดูแลสารทุกข์สุกดิบไม่เคยทอดทิ้ง ต้องคิดเสมอว่าในยามที่พวกเขามีอำนาจวาสนาก็ได้ช่วยเรามาตลอด ไม่ใช่หมดประโยชน์แล้วก็มองข้ามไม่เห็นหัว สำหรับอนาคตหลังเกษียณ เจ้าพ่อพีอาร์สัญญากับตัวเองว่าจะต้องลุกขึ้นเขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตตามที่ฝันและอยากไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับสังคม โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือด้านการศึกษาของเด็กๆ แต่คงยังไม่ได้ไปเร็วๆนี้ เพราะเจ้านายไม่ยอม ขอให้อยู่ช่วยกันก่อน

...

โลดแล่นอยู่ในวงการพีอาร์วงการค้าปลีกมายาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ ตั้งแต่ลงเสาเข็มสร้างเดอะมอลล์ สาขาแรก ย่านราชดำริ กระทั่ง “นงนุช นามวงศ์” เจ้าแม่พีอาร์เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้รับการยกย่อง ให้เป็นตำนานเล่าขานของวงการประชาสัมพันธ์ เพราะถือเป็นต้นแบบ พีอาร์ตัวจริงโดยสายเลือดและชีวิตจิตใจ!! ที่ไม่ได้สักแต่ว่าทำงานแลกเงินไปเดือนๆ “ป้านุช” เป็นที่รักและเคารพของพี่ๆน้องๆสื่อ ก็เพราะหยิบยื่นความจริงใจให้ทุกคน และถือคติเสมอว่าไม่ว่าใครจะผิดถูกยังไง เราต้องรับผิดไว้หมด สื่อไม่มีวันผิดเพราะเรามีหน้าที่ต้องปกป้องสื่อ ไม่งั้นอนาคตเราก็ดร็อปอยู่ตรงนั้น ต่อให้ข่าวลงผิดยังไง ป้านุชจะรับหน้าเองไว้หมด ไม่มี ทางโยนให้ใครเด็ดขาด แล้วค่อยมาดูราย ละเอียดว่าผิดพลาดกันที่ขั้นตอนไหน คนเราคบกัน ก็ต้องรู้จักให้เค้าก่อน ไม่ใช่ทำเพราะหวังเอาประโยชน์จากเค้าฝ่ายเดียว ป้านุชบอกว่ารู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอแต่คนดีๆทั้งนั้น เป็นทั้งเพื่อนพี่น้องกัน แม้ปัจจุบันจะรั้งตำแหน่งผู้บริหารนั่งเป็นที่ปรึกษางานประชาสัมพันธ์การตลาด เครือเดอะ มอลล์ กรุ๊ป แต่เจ้าแม่พีอาร์ในตำนานยืนกรานว่า ตำแหน่งไม่สำคัญเพราะเป็นแค่หัวโขน ขอให้วัดกันที่งานดีกว่า เราขึ้นมาสูงขนาดไหน ก็ต้องมองคนต่ำกว่าด้วย ส่วนคนที่สูงกว่าเราเทิดทูนไว้เหนือหัวอยู่แล้ว ไม่กล้าไปเทียบรัศมี วงการนี้เปลี่ยนไปเยอะ เราไม่รู้ว่าเด็กรุ่นหลังๆเค้าคิดยังไง อย่าไปคิดว่าทำงานแลกเงิน คุณต้องทำทุกอย่างด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ ถึงจะได้รับความเมตตา และได้กัลยาณมิตรที่ดี ป้านุชเริ่มจากศูนย์ไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีกินต้องกลับไปเป็นยาจกก็รับได้ ไม่เคยยึดติดกับอะไร ทุกวันนี้เลยเกษียณมานานแล้ว อายุ 70 แล้ว ขอลาออกมาแล้วหลายรอบ แต่เจ้านายไม่ยอม เราก็ทิ้งไปไม่ลงจริงๆ เจ้านายดีกับเราทุกอย่าง แม้ยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแล ในยามเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยได้ก็จะอยู่ช่วยต่อไป แต่หากเมื่อไหร่เราอยู่แล้วเป็นตัวถ่วงความเจริญก็จะไม่อยู่เด็ดขาด.

ทีมข่าวหน้าสตรี