อรุณสวัสดิ์วันอาทิตย์ วันพักผ่อนของทุกๆ คน "จี๊ดริมรั้ว" มีเรื่องราวดีๆ รอบรั้วมหาวิทยาลัย สถานศึกษามาฝากกันเช่นเคย แต่สัปดาห์นี้ไม่ใช่เรื่องราวของอาหาร ตำนาน แต่เป็นเรื่องของพิพิธภัณฑ์...
เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว อย่าเพิ่งมโนว่ามันจะน่าเบื่อ น่าเซ็ง พิพิธภัณฑ์ที่ว่า ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด รับรองอ่านกันจบจน แล้วคุณจะอยากไปดูทันที!!

"จี๊ดริมรั้ว" ขอนำเสนอ "พิพิธภัณฑ์บัว" ที่อยู่ใน "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี" ที่นี่ไม่ธรรมดา เป็นซิคเนเจอร์ของมหาวิทยาลัยก็ว่าได้ แต่ใครหลายคนอาจจะไม่รู้จักมันดี วันนี้เราจะพาไปรู้จักเรื่องราวของบัว ซึ่งมีความพิเศษกว่าดอกไม้หลายชนิด แล้วคุณจะรู้ "เสน่ห์ของบัว" มันอยู่ตรงไหน???

...
เรื่องราวของบัว
เล่ากันก่อนว่า "บัว" เป็นไม้น้ำประเภทพืชล้มลุก ที่มีลำต้นและหัวอยู่ในดินใต้น้ำ แต่จะชูก้านใบและดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ เรายกให้ บัว เป็น "ราชินีแห่งไม้น้ำ" แต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเฉพาะทางพฤกษศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถดูได้จากลักษณะของ ดอก ใบ และก้านดอก ก้านใบของบัว

ประวัติบัว
ส่วนประวัติของบัวนั้น มีมาอย่างยาวนานมากๆ โดยเฉพาะตามแหล่งอารยธรรมต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะเห็นได้ว่า บัว มีความเกี่ยวข้องหรือมีหลักฐานเป็นภาพ ปรากฏตามแหล่งวัฒนธรรม ทั้งในอียิปต์ เมโสโปเตเมีย จีน อินเดีย เป็นต้น

พิพิธภัณฑ์บัว
สำหรับ "พิพิธภัณฑ์บัว" ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีนั้น จัดตั้งในปี 2543 ซึ่งเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่อยากให้มีการรวบรวมเรื่องราวของบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดปทุมธานีขึ้น จากนั้นก็ได้เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ในปี 2546

ทุกอย่างเกี่ยวกับบัว
"พิพิธภัณฑ์บัว" จึงกลายเป็นแหล่งเพื่อการเรียนรู้ ศึกษา วิจัย การใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ จากบัว รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิญอนุรักษ์ ด้วยการเป็นแหล่งสำรวจ เก็บรวบรวมพันธุ์บัว ปลูกรักษา ศึกษาการใช้ประโยชน์ สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พันธุ์บัว และสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ แรกเริ่มเดิมที...ที่นี่รวบรวมพันธุ์บัวไว้เพียง 40 สายพันธุ์ แต่ปัจจุบันมีพันธุ์บัวมากกว่า 400 สายพันธุ์ในพื้นที่ 18 ไร่ โดยมีทั้งพันธุ์ไทย พันธุ์ต่างประเทศ พันธุ์ลูกผสมด้วย

...
มารู้จักผู้เชี่ยวชาญเรื่องบัว
"ผศ.ภูรินทร์ อัครกุลธร" อาจารย์คณะเทคโนโลยีการเกษตร ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บัว กล่าวกับ "จี๊ดริมรั้ว" ถึงเรื่องราวของบัวอย่างหลากหลายมิติ โดยระบุถึงความสำคัญและประโยชน์ของบัว ว่า เรามองบัวเป็นปัจจัยสี่ คือ 1. เป็นอาหาร ก้านมาประกอบแกงส้ม 2. เครื่องนุ่งห่ม เพราะมีเส้นใย มีการศึกษาว่าเอามาเสื้อผ้าได้หรือไม่ 3. ยา สมุนไพร ทางแพทย์แผนไทยก็ทำ โดยนำเกสรบัว ใบบัว กลีบดอก มาทำยา 4. ที่อยู่อาศัย ใบบัวขนาดใหญ่ สามารถนำมามุงเป็นหลังคาได้

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องบัว ยังกล่าวว่า
"ของเราเป็นของจริง เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต มีสีสัน มีกลิ่นหอม (เดี๋ยวจะพาไปดม) และเรายังวางแผนพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อให้บัวมีมูลค่า มีราคาเพิ่มขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของเรา เช่น ปรับปรุงพันธุ์ให้ดอกใหญ่ขึ้น มีสีสันสวยๆ ให้มีกลิ่นหอมแรงขึ้น ให้มีใบลายๆ มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาดอกให้เปลี่ยนสีได้ทุกวัน"

...
ขอตกใจแป๊บ พัฒนาให้ดอกเปลี่ยนสีได้ทุกวัน มีจริงเหรอ??
อาจารย์ภูรินทร์ ร้องเสียงดัง "โอ๊ยยยย สนุกๆ การเรียนรู้และรู้จักบัว เป็นอะไรที่สนุกมากๆ นี่แหละเสน่ห์ของบัว ที่หลายคนไม่เคยได้เห็น และเคยได้สัมผัส ราคาก็หลักร้อยถึงหลักแสน แล้วแต่เราจะปรับปรุงสายพันธุ์ได้ นี่ก็คืออีกงานของเรา"

ปลูกจิตสำนึก
"ใครก็ได้ ที่สนใจเรื่องบัว มาดูที่นี่ มาเรียนรู้กันว่า บัวมีกี่กลุ่ม กี่ชนิด กี่ประเภท คุณรู้มั้ย บัวอะไรมีที่เดียวในโลก และมีที่เดียวในประเทศไทย นั่นคือ "บัวจงกลนี" ซึ่งเป็นบัวไทยแท้ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ถือเป็นบัวที่มีในประเทศไทยแห่งเดียวของโลก นี่แหละ...เราต้องปลูกจิตสำนึก ให้เค้าเรียนรู้กัน ว่าประเทศไทยมีของดี แล้วมันดีอย่างไร อีกสิ่งที่ต้องรู้"

...
บัวมีอยู่ 2 ประเภท
ในโลกนี้มีบัวอยู่ 2 ประเภท คือ 1. ปทุมชาติ ชื่อสามัญคือ โลตัส คือกลุ่มบัวหลวง ซึ่งเป็นบัวก้านแข็ง บัวหลวงจะมีดอกอยู่ 3 สี คือขาว ชมพู และเหลือง โดยสีเหลืองจะเป็นบัวที่เกิดในเขตหนาว พอนำมาปลูกบ้านเรา ก็จะไม่ออกดอก มีแต่ต้น บ้านเราจึงมีสีขาวและสีชมพู แต่จะแตกต่างกันที่ดอกซ้อนและดอกไม่ซ้อน 2. อุบลชาติ เป็นบัวก้านอ่อน บัวประจำจังหวัดอุบลราชธานี คือสายพันธุ์สีแดง สายพันธุ์กลางคืน คือกลุ่มบัวสาย บัวผัน บัวเผื่อน

พูดเรื่องบัว พูดได้ทั้งวัน
ถ้าแบ่งตามลักษณะเขต คือ เขตร้อนและเขตหนาว กลุ่มฝรั่ง ใบกลมๆ หรือจะแบ่งประเภทบาน คือ บัวบานกลางคืน ได้แก่ บัวสาย หรือบัวที่เราทานสาย เวลา 2 ทุ่ม ก็จะบานละ และจะมีหุบตอนสายๆ ส่วนบัวบานกลางวัน ได้แก่ บัวที่เริ่มเห็นแดดมาก็จะเริ่มบาน พอตะวันคล้อยตก บัวก็จะเริ่มหุบ นี่พูดเรื่องบัว พูดได้ทั้งวัน รายละเอียดมันเยอะ

ประเทศใดในโลกไม่มีบัว
"ในเขตร้อน ก็น่าจะมีทุกประเทศ จะมีมาก มีน้อย เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วแต่ถิ่นกำเนิด จะมาจากสหรัฐอเมริกา แอฟริกา บัวกระด้งเหมือนกัน มาจากอเมริกาใต้นะ แถวลุ่มน้ำอะเมซอน บัวนี้มีหนามด้วย" อาจารย์กล่าว

การปลูกบัวและดูแลบัว
"เลี้ยงไม่ยาก ประเทศไทยนี่เหมาะทุกอย่าง ทุกบัว แค่ให้เค้ามีแสงแดด และอยู่กับน้ำพอ ส่วนเรื่องปุ๋ย เราเองยังกินข้าว บัวเค้าก็ต้องกินปุ๋ย อย่างบัวหลวง บางครั้งหน้าแล้ง ก็ไม่ต้องมีน้ำก็อยู่ได้ มันจะพักตัวอยู่ในดิน พอน้ำมา มันก็แตกยอดขึ้น บัวอื่นๆ ก็เช่นกัน ถ้าน้ำแห้งก็จะทิ้งใบ นั่งหงอยอยู่ น้ำมาก็แตกยอดใหม่เช่นกัน ขอแค่อย่าอยู่ในโคลนตม และปล่อยมันแห้งแค่นั้นเอง" อาจารย์กล่าวอย่างสนุกสนาน

เทรนด์การเลี้ยงบัว
"คนเล่นบัว เดี๋ยวนี้ก็เยอะขึ้นจากสมัยก่อน เริ่มมีการตั้งชมรมโน้นนี่กัน ประชุมวิชาการ ประกวดบัวพันธุ์ใหม่ ประกวดสวยงาม สารพัด...อย่างทางมหาวิทยาลัยเราก็จัดส่งไปประกวดที่สหรัฐอเมริกาด้วยนะ"

บัวที่แพงที่สุดในโลก
"บัวที่แพง ต้นเป็นแสน จะเป็นบัวที่ปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่ พวกที่ 1 ดอกเปลี่ยนสีได้ เกสรเปลี่ยนสีได้ แถมมีกลิ่น มันจะถูกพัฒนาไปเรื่อยๆ จะว่าล้ำมั้ย คงไม่ได้ล้ำอะไร เพราะมันจะต้องพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด"

สุดท้าย ผศ.ภูรินทร์ ระบุทิ้งท้ายว่า "มาดูที่นี่ มาเรียนรู้ มาอนุรักษ์ มาสร้างความรักและหวงแหนในบัวกัน ที่นี่มีคลินิกบัวด้วยนะ รักษาบัวด้วย ของดีนี่รีบมา แถมเรามีจำหน่าย เพื่อส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้านด้วย โดยให้ชาวบ้านนำบัวมาขาย เพื่อสร้างอาชีพให้ชาวบ้าน ให้เค้าเลี้ยงตัวเองให้ได้ นี่แหละสำคัญ...มากๆ"

***เคล็ดลับการดูแลบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
1. อะไรขังน้ำได้ ปลูกได้หมด มีดินก็ใส่ได้
2. ดอกโรย เช้าบาน เย็นหุบ 3-4 วัน แล้วเก็บทิ้ง
3. ใบเสียเก็บทิ้ง ไม่เก็บน้ำเน่า
4. ใบน้อย มีช่องว่าง สาหร่ายขึ้นแทน น้ำก็จะขุ่น ใบสมบูรณ์ต้องมีเยอะๆ
5. เติมน้ำอย่าให้แห้ง
6. ใส่ปุ๋ย ใส่ใจมันด้วย ยิ้มให้มันบ่อยๆ
7. อาหารดี ดอกตามจะขึ้นเยอะ ทยอยขึ้นเรื่อยๆ
8. ศัตรูบัว คือ หนอน โดยผีเสื้อกลางคืนมาวางไข่ไว้

"บัวบานทั้งปี บาน 24 ชั่วโมง คิดถึงบัว คิดถึงราชมงคลธัญบุรี" นี่เลยสโลแกนเค้า อาจารย์ภูรินทร์ กล่าวไว้อย่างขำๆ
ไม่เชื่อ...ไปพบปะกันเลยครับ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลองหก