ในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังบูม บรรดาลูกหลานซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ของนักธุรกิจตระกูลดัง ต่างตบ เท้าเข้ามาช่วยกันต่อยอดธุรกิจของครอบครัวอย่างคึกคัก รวมถึงผู้ชายมากความสามารถผู้นี้ ภัทร พลกุล ทายาทคนโตของนักวิชาการการเมืองคนดัง ดร.โภคิน พลกุล ซึ่งสถานการณ์ทำให้มาร์เก็ตติ้งหนุ่มผู้คว่ำหวอดด้านบิวตี้ ต้องผันชีวิตจากเรื่องความสวยความงาม มาดูแลงานด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดกับเขาด้วยเช่นกัน
งานหินที่กำลังท้าทายความสามารถของหนุ่ม ภัทร พลกุล ยามนี้ คือการเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายการตลาดโรงแรมและรีสอร์ท ชาโต เดอ เขาใหญ่ รวมถึงดูแลคอนโดฯที่พักอาศัย ชาโต เดอ เขาใหญ่ เดอะ เรส-ซิเด้นท์ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับเลยว่า เป็นงานที่ท้าทายจริงๆ เพราะไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนเลย หลังเรียนจบปริญญาตรีสาขาการตลาด และการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) “ผมได้พูดคุยกับที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อยังไม่ได้ทำธุรกิจโรงแรม มีเพียงคุณแม่ (รุ่งระวี พลกุล) ที่เป็นเจ้าของ “จุฬาอุตสาหกรรม” โรงงานรับผลิตสบู่ตามออเดอร์ โดยผมขอไปทำงานตามบริษัทต่างๆ ก่อน เพื่อหาประสบการณ์ และเรียนรู้ระบบการทำงาน วิธีการคิดจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อเอามาปรับใช้พัฒนาธุรกิจของที่บ้าน”
“ภัทร” เริ่มงานแรกกับยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์คือ โตโยต้า โดยทำในส่วนของมาร์เก็ตติ้ง วางกลยุทธ์ในการเปิดดีลเลอร์ตามจังหวัดต่างๆ ทำอยู่ไม่นานอาจารย์ที่เคยสอนหนังสือ ก็ชักชวนให้มาทำมาร์เก็ตติ้งกับ บริษัท P&G ในตำแหน่ง Olay Assistant Brand Manager ดูในส่วนของ Anti-Aging Skincare ในภูมิภาคอาเซียน จากนั้นไปเรียนต่อโทด้านมาร์เก็ตติ้ง ที่มหาวิทยาลัย Instituto de Empresa (IE) ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่งชีวิตของ ภัทร ก็หนีไม่พ้นงานมาร์เก็ตติ้งเรื่องความสวยความงามอีก “ช่วงก่อนจบโท นักศึกษาทุกคนต้องฝึกงาน ผมก็ต้องหาบริษัทเพื่อไปฝึกงาน ถ้าไม่ทำที่สเปนก็จะกลับมาทำที่เมืองไทย โชคดีว่ามหาวิทยาลัยที่เรียนเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ติดอันดับท็อปเทนของยุโรป ก็จะมีบริษัทต่างๆมารับสมัครนักศึกษาไปทำงานด้วย หนึ่งในนั้นคือบริษัทลอรีอัล พอเขาได้คุยกับเรา ก็บอกว่า ความรู้
ความสามารถของเราเกินกว่าแค่ฝึกงาน แต่เนื่องจากผมพูดภาษาสเปนไม่ได้จะทำงานที่สเปนคงไม่ได้ เมื่อเขาเช็ก แล้วว่า ลอรีอัลที่เมืองไทยมีตำแหน่ง Senior Product Manager ดูแลในส่วนของ Anti-Aging Products ทั้งหมดของลอรีอัล เขาจึงให้ผมมาประจำที่เมืองไทย”
ทำงานกับลอรีอัลได้พักใหญ่ หนุ่มมากความสามารถอย่างภัทรก็ถูกชักชวนให้มาทำงานกับบริษัทลีโอ เบอร์เนทท์ จนวันหนึ่งที่บ้านก็บอกว่า กิจการของที่บ้านเริ่มขยาย คุณพ่อทำโรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ คุณอาที่ดูแลธุรกิจนี้อยู่อยากจะเกษียณตัวเองในอีกไม่กี่ปี จึงเป็นฤกษ์ดีให้ ภัทร ตัดสินใจเข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัวเมื่อปีเศษที่ผ่านมานี้เอง
ภัทร บอกว่า การเข้ามาบริหารธุรกิจที่เป็นของตัวเองนั้นมีความท้าทาย และเหนื่อยกว่าการทำงานออฟฟิศมาก เพราะเมื่อเป็นธุรกิจของตัวเองจะ “เจ๊งไม่ได้” ต้องพร้อมทำงานทุกวันและทุกเวลา แม้จะเป็นธุรกิจคนละไลน์กับที่เคยทำมา แต่เมื่อเข้ามาทำแล้ว ก็ต้องเรียนรู้และทำให้ดีที่สุด “ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ในการทำงานเราต้องมีทัศนคติที่ถูกต้อง ต้องทำได้ทุกอย่าง อะไรที่ไม่รู้ก็ต้องเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ทำอะไรต้องโปร่งใส ไม่โกงใคร เวลาทำธุรกิจเราไม่อยากให้ใครมาเอาเปรียบเรา เวลาเราคุยกับใครเราก็ต้องไม่เอาเปรียบเขา และสุดท้ายคือทีมเวิร์ก การทำงานแบบวันแมนโชว์ไปไม่รอดหรอก เราต้องเลือกทีมและเชื่อมั่นในทีมเวิร์ก”
ด้วยหลักคิดที่ถูกปลูกฝังมาเช่นนี้ จึงทำให้ ภัทร นักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้นี้ ทั้งลุยงานและคิดหาช่องทางเพื่อต่อยอดธุรกิจของครอบครัวให้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อยๆ.
...