ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ขึ้นอยู่ว่าเราจะมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือมัวแต่ก้มหน้าโอดครวญโทษชะตาฟ้าดิน!! มรสุมชีวิตลูกใหญ่กลายเป็นแรงผลักดันให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ “แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์” ลุกขึ้นสู้ด้วยลำแข้งตัวเอง จนสามารถพลิกชีวิตมาสร้างอาณาจักรธุรกิจขายตรงหลายหมื่นล้าน ภายใต้ชื่อ “กิฟฟารีน” สร้างตำนานบทใหม่ให้นักขายตรงได้ลือลั่น
“หมอเป็นลูกข้าราชการ ไม่เคยคิดอยากทำธุรกิจ แต่ชีวิตเหมือนพรหมลิขิต สมัยเรียนแพทย์ ที่จุฬาฯ หมอสนใจสูตินรีเวชเป็นพิเศษ อีกสาขาที่ชอบคือผิวหนัง เมื่อถึงเวลาต้องใช้ทุนที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ หมอสอบได้แพทย์ผิวหนัง แต่ตัดสินใจลาออก เปลี่ยนมาเรียนสูติฯ เพราะสงสารเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดกับเราว่า ต้อยชอบสูติฯไม่ใช่เหรอ ต้อยให้เราได้ไหม เพราะเราชอบผิวหนังอย่างเดียว ต้อยเป็นลูกนายพล แต่เราเป็นลูกศิษย์หลวงตา ยังไงเราก็สู้ต้อยไม่ได้ แต่ในที่สุดเพื่อนคนนั้นเป็นนักการเมือง...หลังเรียนจบและใช้ทุนเรียบร้อย หมอทำงานเป็นสูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลภูมิพลฯอยู่หลายปี พอแต่งงานกับสามี ซึ่งเป็นหมออายุรกรรม จึงลาออกมาเปิดโพลีคลินิก ย่านห้วยขวาง แรกๆรับรักษาโรคทั่วไป แต่คนไข้ส่วนใหญ่ยากจน ก็คุยกับแฟนว่า ลองรักษาคนไข้ผิวหนังไหม กลุ่มนี้มีกำลังซื้อ ส่วนคนไข้ยากจนเราก็ช่วยเหลือไป แฟนหมอเป็นคนกระตือรือร้น รักความก้าวหน้า อยากเป็นเจ้าของกิจการ ตอนนั้น เราช่วยกันเปิดตำราผลิตเครื่องสำอาง ผ่านไปแค่ปีเดียวคนไข้เต็มคลินิก และมีเสียงตอบรับว่า เครื่องสำอางของเราดีไม่แพ้ในห้างฯ หมอลองไปคุยกับห้างฯโรบินสัน เพื่อวางขายสินค้า แต่เขาบอกว่าต้องลงทุน 20–30 ล้านบาท และลงโฆษณา ไม่งั้นขายไม่ได้หรอก ได้ยินแล้วถอยเลย เพราะเราเพิ่งอายุ 29 ปี เริ่มเก็บเงินได้ 2 ล้านบาท”
อะไรเป็นแรงผลักดันให้ก้าวสู่โลกของธุรกิจขายตรง
เนื่องจากไม่มีเงินทุนเยอะ จึงมีคนแนะนำให้ลองเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายตรง ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีใครทำจริงจังในเมืองไทย ถ้าเราไม่มีเงิน แต่เรามีสินค้าดีจริง ต่อไปก็จะมีคนมาช่วยขายเอง และบอกต่อๆกันไป เมื่อปี 2530 จึงตัดสินใจเปิดบริษัทขายตรงชื่อ สุพรีเดอร์ม คอสเมติค จำกัด ทำร่วมกับแฟนมาตลอด 9 ปีเต็ม ตอนนั้นเป็นยุคบุกเบิก เราพยายามดูแลผู้บริโภคเหมือนหมอดูแลคนไข้ คิดว่าประสบความสำเร็จเร็ว ก็เพราะพื้นฐานความเป็นหมอทำให้นักขายศรัทธาในตัวเรา หมอเป็นเจ้าของกิจการที่สนิทสนมกับพนักงานทุกระดับตั้งแต่ไหนแต่ไร สมัยนั้น ก็ล้มลุกคลุกคลาน โดนโกงบ้าง แต่ก็มีคนดีๆมาทำงานกับเราเยอะ ช่วง 9 ปีนั้นเป็นช่วงของการเรียนรู้ว่า เราจะผูกใจนักขายอย่างไรให้อยู่กับเรานานๆ ซึ่งก็เริ่มค้นพบว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้พวกเขามีความสุข และพึงพอใจกับความสำเร็จ
ชีวิตพลิกผันมาเป็นเจ้าแม่กิฟฟารีนได้อย่างไร
“สุพรีเดอร์ม” ประสบความสำเร็จดี ตอนแรกมีโรงงานเล็กๆที่รังสิตเริ่มจากพนักงานแค่ 10 คน ผ่านไปปีเดียวธุรกิจก็โตเลย จึงมาซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 8 ไร่ แถวปทุมธานี ภายในเวลา 8 ปี เรามีพนักงาน เพิ่มขึ้นเป็น 100 คน ศูนย์ธุรกิจ 70 ศูนย์ ยอดขายปีละ 700-800 ล้านบาท แต่ชีวิตของหมอพลิกผันตอนหย่ากับสามี หมออายุ 36 ปี เราแบ่งทรัพย์สินกัน โดยหมอได้เงินมา 100 ล้านบาท และรับลูกสองคนมาเลี้ยงเอง ตอนนั้น เคว้งเหมือนกัน เพราะถึงจะมีเงินเป็นร้อยล้าน แต่หมอก็ไม่มีความสุขเลย จะกลับไปเป็นหมอสูติฯก็ไม่ได้แล้ว ลองถามตัวเองว่าอยากทำอะไร อยากได้เงินมากกว่านี้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้อยากรวย แต่หมออยากได้ความสุขกลับคืนมา อยากทำให้คนอื่นมีโอกาส ได้เป็นเจ้าของในสิ่งที่ตัวเองสร้าง ได้สร้างสิ่งที่ตัวเองเป็นเจ้าของ โดยไม่ต้องใช้เงิน วันที่เริ่มสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ เมื่อปี 2538 หมอลงทุนไปหมดเกลี้ยง มีเงินติดบัญชีแค่ 500 บาท หมอเอาเงินไปซื้อโรงงานสำเร็จรูปแถวลำลูกกา และลงทุนเครื่องจักร ตอนนั้นไม่ได้กู้แบงก์ ใช้เงินสดหมดเลย ชีวิตวันนั้นท้าทายที่สุด “กิฟฟารีน” เปิดวันที่ 17 มี.ค.2539 แต่โรงงานเสร็จก่อนเพราะต้องผลิตสินค้า ตอนแรกเรามีศูนย์ธุรกิจ 6 แห่ง ตอนนี้มี 113 แห่ง โชคดีมากที่พนักงาน 100 กว่าคน ที่เคยอยู่สุพรีเดอร์มตัดสินใจตามหมอมาเริ่มธุรกิจใหม่ วันเปิดกิจการเรามีสมาชิกและนักธุรกิจขายตรงมาฟัง 5 พันคน ตอนนั้นในใจหมออยากร้องไห้ แต่ก็ต้องยิ้ม และพูดให้เชื่อมั่นในตัวเราว่า “หมอสัญญาว่าจะดูแลทุกคนดีที่สุด”
ธุรกิจขายตรงของกิฟฟารีนเติบโตรุดหน้าขนาดไหน
แม้ช่วงแรกจะมีเสียงค้านเยอะ เพราะภาวะเศรษฐกิจเริ่มถดถอย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่แบรนด์ใหม่จะแจ้งเกิดในตลาด แต่วิกฤติกลับเป็นโอกาส เพราะผลจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 ทำให้คนตกงานเยอะ และหันมาทำธุรกิจขายตรง แค่ปีแรกปีเดียว เราทำยอดขายได้กว่า 300 ล้านบาท โดยไม่โฆษณาเลย พอถึงปีที่สองฟองสบู่แตก เราขายได้มากกว่า 1,500 ล้านบาท หมอเริ่มมาคิดเรื่องการสร้างแบรนด์และทำโฆษณา จากปีแรกที่มีสินค้าอยู่ 100 กว่าตัว ตอนนี้มีสินค้ามากกว่า 2 พันตัว สร้างยอดขายปีละ 6,000 ล้านบาท มีพนักงานส่วนกลาง 600 คน นักขาย 5 แสนกว่าคน สมาชิกกิฟฟารีน 6.5 ล้านคน โรงงานของเราย้ายมาอยู่ที่นวนคร มีที่ดินรวม 30 ไร่ ผลิตสินค้าปีละ 10 ล้านชิ้น สินค้าขายดีคือกลุ่มสกินแคร์ พวกครีมกันแดด และมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ตอนนี้เรามีสินค้าหลากหลาย ทั้งอาหารเสริม เครื่องสำอาง อาหาร และมีพันธมิตรทางการค้า เราเป็นธุรกิจเครือข่ายคนไทยที่มียอดจำหน่ายสูงสุดและเป็นบริษัทเอ็มแอลเอ็มสัญชาติไทยหนึ่งเดียวในโลกที่ติดอันดับ 56 ใน ท็อป 100 ของสมาพันธ์การขายตรงโลก ปี 2011 และได้โหวตเป็นสุดยอดแบรนด์ถึง 4 ปีซ้อน มีศูนย์ธุรกิจในประเทศไทย 113 สาขา และต่างประเทศ 30 สาขา
กุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “กิฟฟารีน” คืออะไร
หนึ่งต้องทำให้ผู้บริโภคมีความสุข และใช้สินค้าเราต่อเนื่อง สองทำให้นักธุรกิจของเรามีความสุข รายได้ดี ประสบความสำเร็จ และภาคภูมิใจในแบบที่เขาต้องการ หมอจะวางตัวเองเป็นบริษัทแม่ ส่วนนักขายเป็นบริษัทลูก เรามีหน้าที่ดูแลเรื่องลงทุนและสนับสนุนพวกเขาให้ประสบความสำเร็จ ด้วยกลยุทธ์ที่ว่า เราเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน โดยมีหลักการว่าอย่ากดดัน อย่ายัดเยียด ต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบข้าง หมอภูมิใจมากที่กิฟฟารีน ได้มอบโอกาสทางธุรกิจให้คนไทยมาแล้วหลายแสนครอบครัว
ในฐานะซีอีโอหญิงแถวหน้าของเมืองไทย มีเคล็ดลับบริหารงานและบริหารคนอย่างไรให้อยู่หมัดใช้หลัก win-win ถ้าโตเราโตด้วยกัน ถ้าไปไม่รอดก็ไม่รอดด้วยกัน ต้องยอมรับความจริง ดิฉันจะไม่รวยคนเดียว บริษัทแม่และบริษัทลูกจะจับมือกันดูแลผู้บริโภคของเราอย่างดีที่สุด กิฟฟารีนอาจจะไม่ได้โตพรวดพราด แต่ทุกก้าวเราเติบโตอย่างมั่นคง เราต้องมีเงินฝากประจำมากขึ้นทุกปี มีอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น มีเงินที่แบ่งสำหรับการพัฒนาระบบไอที งานวิจัย และคิดค้นสินค้าใหม่ๆ มีการลงทุนเรื่องโรงงาน ศูนย์ธุรกิจ และกิจกรรมทางการตลาด ปีที่แล้วเราเปิดกิฟฟารีนแชนแนลทางเคเบิลทีวี ปีนี้จะมีกิฟฟารีนแชนแนลออนไลน์ เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภค
อยากเป็นนักขายตรงอนาคตไกลต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
ต้องมีแพสชั่น!! แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็แสวงหาความสำเร็จเหมือนกัน หน้าที่ของนักธุรกิจกิฟฟารีนคือ แค่เล่าเรื่องจริงและเรื่องดีๆให้เพื่อนฟัง เราในฐานะบริษัทแม่ก็ต้องซัพพอร์ตเต็มที่ ช่วยสร้างแบรนด์ ผลิตสินค้าคุณภาพดีราคาไม่แพง และอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง
คุณหมอมักเน้นเรื่องความสุขมากกว่าเงินทอง แล้วความสุขแท้จริงคืออะไร
ให้ใช้ชีวิตโดยคิดว่าอีก 5 ปี เราอยากเห็นคนที่เรารักมีชีวิตแบบไหน และไม่อยากเห็นคนที่เรารักมีชีวิตแบบไหน ถ้ามีความสุขกับสิ่งที่ทำ แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว หากเกิดความท้อ ให้คิดว่าเป็นบทลองใจทำให้เราแกร่งขึ้น คนที่ไม่มีความสุข ไม่มีวันทำงานได้ดี อะไรเป็นขยะในใจ ให้จินตนาการไม้กวาดขึ้นมา แล้วก่อนนอนกวาดมันทิ้งไป พรุ่งนี้เช้าว่ากันใหม่!! เรื่องไม่เป็นเรื่องอย่าเอามาสะดุดความสำเร็จเรา เรื่องเดียวกันบางคนเจอแล้วยอมแพ้ บางคนมองเป็นกำลังใจ บอกเลยว่าถ้าเราบริหารอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เราจะบริหารคนไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่วิธีคิด
เวลาเหนื่อยๆเซ็งๆ คุณหมอมีวิธีชาร์จแบตอย่างไร
หมอเป็นคนอารมณ์ดี ชอบอ่านการ์ตูน มีความเป็นเด็กอยู่ในตัว หมอจะบอกตัวเองว่า อย่าโกรธเกลียดใครเลย ไม่กี่วันก็ตายจากกันแล้ว วันนี้เราทำดีที่สุดหรือยัง เวลาเหนื่อยๆหมอจะให้รางวัลตัวเอง ชอบที่สุดคือตุ๊กตาสีขาวและสีชมพู เห็นตุ๊กตาแล้วสบายใจ
วางแผนไว้ไหมคะว่าจะส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นใหม่เมื่อไหร่
ปีนี้อายุ 54 ปี หมอเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่ไม่เกษียณหรอก จะทำงานจนวันสุดท้ายของชีวิต ถ้าเมื่อไหร่เลิกทำงานมีความทุกข์แน่ เพราะคิดว่างานคือชีวิต งานคือความสุข เหนื่อยดีกว่าเหงาเยอะเลย วันนี้ให้ดีใจที่ยังได้เหนื่อย ชีวิตทำงาน 7 วัน แต่ไม่รู้สึกหนักเพราะสนุกกับงาน ถ้าแก่จนทำงานไม่ไหวก็อยากช่วยพัฒนาองค์การสวนสัตว์
ย้อนหลังกลับไปมอง พอใจกับความสำเร็จหรือยัง
ดีกว่าที่คิดเยอะมาก ดีเกินร้อย!! หมอไม่คิดว่าจะเติบโตขนาดนี้ เราขายไปแล้ว 5 หมื่นกว่าล้านบาท สร้างรายได้ให้คนไทยมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท พลิกชีวิตคนไทยหลายแสนครอบครัว ตรงนี้มากกว่าน่าจะเป็นความหมายของชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเป็นคนรวย สมัยทำที่สุพรีเดอร์ม เพื่อนไม่คบแล้ว เพราะหมอทำงานหนัก หมอก็เลยบ้าเครื่องเพชร ซื้อกระหน่ำเลย แต่พอเรามีความทุกข์ ของพวกนี้ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเลย!! ความสุขจริงๆคือ การที่ชีวิตเรามีคุณค่า การอยู่บนโลกใบนี้อย่างที่มีคนรัก ที่สำคัญคือ เมื่อเราจากโลกนี้ไป อย่ามีอะไรต้องเสียใจ!!
...
ทีมข่าวหน้าสตรี