"โทนเนอร์" ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่ (เคย) ถูกมองข้าม แต่คุณสาวๆ รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเค้านับเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าขั้นตอนการทำความสะอาดและการบำรุงผิวหน้าเลยนะจ๊ะ MIRROR เชื่อว่าหลายคนไม่เคยใช้โทนเนอร์เลย เพราะคิดว่าเสียเวลาและไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณได้ลองใช้อย่างต่อเนื่องแล้วล่ะก็ รับรองเลยว่าจะต้องแปลกใจถึงกับร้อง OMG เมื่อเห็นผลลัพธ์ของสภาพผิวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เพียงเปิดใจและเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองอะไรใหม่ๆ แล้วคุณจะพบถึงความแตกต่างที่สัมผัสได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ประโยชน์ของ "โทนเนอร์"

- ช่วยปรับความสมดุลของผิวหน้าให้มีค่า pH ที่เป็นกลางหลังจากการล้างหน้า

- กำจัดสิ่งตกค้างบนผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน, คราบฝุ่นละอองจากมลภาวะ, แบคทีเรีย และเครื่องสำอางที่ล้างออกยาก

- ปกป้องผิวหน้าด้วยการกระชับเซลล์ผิวหนัง ทำให้สิ่งสกปรกต่างๆ แทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ยากขึ้น และผลพลอยได้ก็คือช่วยให้รูขุมขนแลดูเล็กลงไปด้วย
- ช่วยให้สกินแคร์อื่นๆ ซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น เพราะคุณสมบัติของโทนเนอร์ในการปรับสมดุลและการผลัดเซลล์ผิว เป็นการเตรียมผิวหน้าให้พร้อมสำหรับขั้นตอนการประทินผิวลำดับต่อๆ ไป

...

"โทนเนอร์" มีความจำเป็นแค่ไหน

ความจำเป็นในการใช้โทนเนอร์ของสาวๆ แต่ละคนแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาทางด้านผิวหนังที่เป็นอยู่ เช่น ใครที่เป็นสิว ควรใช้โทนเนอร์ทุกวันในช่วงเช้า เพราะโทนเนอร์จะช่วยกำจัดน้ำมันที่ผิวหน้าผลิตขึ้นมาในช่วงกลางคืน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอุดตันและเป็นสาเหตุของสิวได้ หรือในกรณีที่ Lady MIRROR มีสุขภาพของผิวหน้าที่ไม่แข็งแรง เพราะขาดวิตามินที่จำเป็นหรืออาหารผิวต่างๆ MIRROR แนะนำว่าคุณควรหันมาใช้โทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ หรืออีกนัยหนึ่งคือคุณจะได้ประโยชน์จากโทนเนอร์มากกว่าสาวๆ ที่มีผิวหน้าแข็งแรงอยู่แล้วนั่นเอง

ส่วนผสมโดนๆ ใน "โทนเนอร์"

"โทนเนอร์" เคยมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งมีข้อเสียคือทำให้ผิวหน้าของเราแห้งเกินไป แต่ปัจจุบัน "โทนเนอร์" ได้รับการพัฒนาให้มีสูตรที่แตกต่างออกไปจากเดิม อย่างแรกเลยคือเป็นสูตรที่ปราศจากแอลกอฮอล์เสียเป็นส่วนใหญ่ หลายๆ แบรนด์เริ่มหันมาเน้นส่วนผสมที่อ่อนโยน, ปลอบประโลมผิว, เพิ่มความกระจ่างใส และช่วยลบเลือนริ้วรอยได้ โดยยังคงรักษาคุณสมบัติในการลดความมันและสิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้าไว้ได้เป็นอย่างดี ลองมาดูกันดีกว่าว่า ส่วนผสมเริดๆ ที่น่าสนใจใน "โทนเนอร์" มีอะไรบ้าง

Witch Hazel ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ ต้านอาการแพ้ ยับยั้งแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว  

- PHA กรดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ในชั้นผิว ที่สำคัญปลอดภัยกับผิวแพ้ง่ายเพราะมีโอกาสเกิดการระคายเคืองต่อผิวต่ำกว่าส่วนผสมอย่าง AHA และ BHA

- วิตามินอี บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดการเกิดริ้วรอย ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว สมานแผลและลดการอักเสบของสิว

- ทีทรีออยล์ สามารถยับยั้งแบคทีเรีย คืนสมดุลค่า pH และฟื้นฟูจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อผิว ทั้งยังลดการอักเสบและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างอ่อนโยน 

- ว่านหางจระเข้ ช่วยลดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า โดยไม่ทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื้น พร้อมมอบผิวที่เนียนนุ่ม แถมยังช่วยลบเลือนริ้วรอยและแผลเป็นให้ดูจางลงได้ด้วย 

- น้ำกุหลาบ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ผิวจากแสงแดด, สารเคมีและมลภาวะ ช่วยรักษาความสมดุลค่า pH ของผิว ควบคุมความมันส่วนเกิน และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นของผิว กระชับรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิว กลิ่นก็ยังช่วยผ่อนคลายได้อีกต่างหาก

- สารสกัดจากเกรปฟรุต ช่วยบำรุงผิวพรรณ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว

- ลูทีน มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่พบมากในดอกดาวเรือง

กรดไฮยาลูรอนิค ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ โดยให้ความชุ่มชื้นถึงผิวชั้นใน ส่งผลให้ผิวหน้ามีความยืดหยุ่น แลดูเรียบเนียนและยกกระชับมากขึ้น 

วิธีใช้ "โทนเนอร์"

โทนเนอร์ทั่วๆ ไปถูกออกแบบมาให้ใช้คู่กับสำลีแบบแผ่นหรือแบบก้อน โดยการเทโทนเนอร์ลงในลำสีและลูบไล้เบาๆ ให้ทั่วใบหน้า แต่ก็มีอีกหลายแบรนด์ที่มาในรูปสำลีแผ่นแบบเปียกพร้อมใช้ หรือแบบสเปรย์ที่ทำให้ใช้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการสร้างขยะได้อีกด้วย 

...

MIRROR แนะนำให้ใช้โทนเนอร์หลังจากล้างหน้าเสร็จทันที (ขณะที่ผิวหน้ายังมีความชื้นอยู่) เพราะความชื้นจะช่วยให้โทนเนอร์ซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น โทนเนอร์จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ยังตกค้าง เพราะอาจฝังลึกจนคลีนเซอร์ไม่สามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจด นอกจากนั้นแล้วโทนเนอร์ยังช่วยให้ผิวหน้าสดชื่น พร้อมสำหรับการบำรุงด้วยเซรั่ม, ครีมบำรุงผิว หรือทรีตเมนท์ต่างๆ ที่จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

โทนเนอร์ก็เหมือนกับสกินแคร์ทุกชนิดที่เราควรระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงเริ่มแรก Lady MIRROR ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่ไม่ทำให้ผิวแห้งจนเกินไป หรือระคายเคืองกับผิว โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวหน้าบอบบางเป็นพิเศษ เช่น ผิวรอบๆ ดวงตาหรือร่องจมูก ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความถี่ในการใช้โทนเนอร์ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีผิวหน้าแบบไหน (ผิวแห้ง, ผิวมัน, ผิวผสม), มีสภาพและปัญหาผิวหรือไม่อย่างไร, และรวมไปถึงส่วนผสมของโทนเนอร์ที่คุณใช้ด้วย MIRROR แอบกระซิบว่า คุณควรหลีกเลี่ยงโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของ "แอลกอฮอล์" เพราะมันจะทำให้ผิวของเราแห้ง และฝากไว้ว่าหากคุณใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมที่ค่อนข้างแรง (ส่วนมากจะเป็นโทนเนอร์ที่ช่วยลดปัญหาสิว) คุณควรเริ่มใช้จากความถี่ที่น้อยก่อน เพื่อให้ผิวหน้ามีเวลาปรับสภาพให้คุ้นเคยกับส่วนประกอบต่างๆ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความถี่ขึ้นในภายหลัง ในทางกลับกันหากโทนเนอร์ที่คุณใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน, เพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยปลอบประโลมผิว คุณสามารถใช้ได้ถึงวันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและก่อนนอนเลยจ้ะ

MIRROR Picks

...