จากความคลุกคลีและใจที่รักสัตว์ ทำให้ บูรพงษ์ สุธีรัตน์ ได้กลายเป็นคุณหมอใจดีของเจ้าตูบและแมวเหมียวทั้งหลาย ในการทำหน้าที่นายสัตวแพทย์ และผู้บริหารรุ่นใหม่ของโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน โรงพยาบาลรักษาสัตว์ที่ก่อตั้งมายาวนานหลายสิบปี
น.สพ.บูรพงษ์ หรือ หมอตั๋ง เป็นทายาทคนสุดท้องในจำนวน 3 คน ของ พงษ์ศักดิ์–ส.พญ.สมบูรณ์ สุธีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคใต้ การที่ หมอตั๋ง ได้เดินตามรอยคุณแม่ ในการเป็นสัตวแพทย์นั้น เขาเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านมีคลินิกรักษาสัตว์เล็กๆ แถวเสาชิงช้า มีชื่อว่า "เสาชิงช้า รักษาสัตว์" จากนั้นได้ขยายกิจการจากคลินิกมาเป็นโรงพยาบาล
อย่างครบวงจร ซึ่งโรงพยาบาลก่อตั้งมาเท่าอายุของเขาเลย คือเข้า 33 ปี ดังนั้นชีวิตตั้งแต่เกิดของเขาจึงได้เห็นสุนัขและสัตว์เลี้ยงต่างๆมาตั้งแต่ เด็ก ทำให้เกิดความผูกพัน อันเป็นที่มาของอาชีพที่เขารัก
"ผมอยู่กับหมา เห็นหมา นอนกับหมามาตั้งแต่ เด็ก ตอนแรกบ้านผมเป็นตึกแถวเลี้ยงหมาอยู่ 2 ตัว พอ มันเริ่มโต บ้านเริ่มคับแคบ ไม่เหมาะกับมัน ที่บ้านเลยต้องยกเอาไปให้คนอื่น ผมจำได้ว่าผมร้องไห้จะเป็นจะตายเลย แล้วอย่างไปตลาดตอนเด็กๆ เห็นกุ้งตัวเป็นๆ ก็บอกคุณแม่ว่า อย่าเอามันไปต้มเลยสงสาร ตอนเด็กๆ ผมเรียนที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม พอโรงเรียนเลิกบางทีก็แวะไปที่คลินิก เห็นหมาแมวป่วยแล้วไม่เคยรังเกียจ และคิดว่าคงจะเรียนต่อด้านสัตวแพทย์อย่างคุณแม่"
เมื่อได้แนวชีวิต หมอตั๋ง เลยได้เดินตามฝัน โดยเล่าว่า คุณแม่ถามว่าอยากไปเรียนเมืองนอกไหม ตนเลยบอกว่าไป จึงได้ไปเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่ Rathkeale Collage ในเมือง Masterton บนเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งช่วงแรกยังปรับตัวไม่ได้ เลยสร้างวีรกรรมหนีกลับบ้านตอนปิดเทอม ทางโรงเรียนตามเจอตัวตอนอยู่ สนามบินที่ออสเตรเลีย พอกลับเมืองไทยที่บ้านจึงรู้ แต่ไม่ว่าอะไร สุดท้ายก็กลับไปเรียนต่อจนจบ และได้ทุนเรียนต่อทางด้านวิศวกรรม ส่วนจะเรียนต่อด้านสัตวแพทย์ที่นั่นไม่ได้ เลยกลับมาสอบเอ็นทรานซ์ที่เมืองไทย ที่คณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอจบเลยได้ไปเรียนต่อเรื่องการผสมเทียมที่โรงพยาบาลสัตว์ในประเทศ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
หมอตั๋ง เล่าต่ออีกว่า พอเรียนจบจึงได้มาช่วยงานพ่อแม่อย่างเต็มตัวที่โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน และได้พัฒนาการทำงานโดยเปิดบริการ 24 ชม. เหมือนโรงพยาบาลรักษาคน พร้อมทั้งยังมีบริการห้องนอนพักสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ที่อยากอยู่ใกล้เพื่อดูแลสัตว์ของเขาที่ป่วยอย่างใกล้ชิด
เมื่อถามว่าทำไมถึงรักอาชีพนี้ หมอตั๋ง บอกอย่างรวดเร็วว่า "ทั้งหมาและแมว มันไม่เคยโกหกเรา มันอยู่กับเราตลอดเวลา แม้บางทีเราไม่อยู่ แต่มันก็ยังจำเราได้ มันไม่เคยจากเราไปไหน มันไม่ได้ให้เงินกับเรา บางครั้งเป็นภาระด้วยซ้ำ แต่มันให้ใจกับเรา"
ความภูมิใจทุกวันนี้ของหมอตั๋ง นอกจากการได้ ทำงานอยู่กับสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบแล้ว หมอตั๋ง ยังบอกอีกด้วยว่า ความสุขในการทำงานก็เหมือนคุณหมอที่รักษาทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ เมื่อได้เห็นคนไข้ของตัวเองที่รักษาแล้วหาย อย่างตนได้เห็นสุนัขหายจากอาการเจ็บ แม้มันจะบอกอะไรไม่ได้ แต่สัมผัสได้ว่า มันมีความสุขมากขึ้น เท่านี้ก็ภูมิใจแล้ว
หนึ่งในความสำเร็จในชีวิตของคนเราคือ การได้ ทำงานอย่างที่รักและเต็มที่กับมัน เหมือนคุณหมอของเจ้าตูบใจดีคนนี้นั่นเอง!
...