ยึดหลัก เมื่อมีอุปสรรคก็ต้องสู้ แก้ไม่ได้ก็อ้อมข้ามไป อย่ายอมแพ้

จากวัยเด็ก ที่ต้องเข้าครัวช่วยทางบ้านทำข้าวแกงขาย เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ บงกช สระทองอุ่น ได้ก้าวไปสู่เจ้าของร้านอาหารไทย ไปเผยแพร่อาหารไทยในต่างแดน ก่อนจะกลับมาเมืองไทย สร้างชื่อเป็นสุดยอดเชฟหญิงแห่งเอเชียประจำปี 2561 จากอีลีท® วอดก้า โดยจะบินไปรับรางวัลในปลายเดือนนี้ ที่มาเก๊า

บงกช หรือ เชฟบี เล่าถึงเส้นทางชีวิตที่กว่าจะมาถึงวันนี้ว่า ที่บ้านเปิดร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ตอนเด็กๆ จึงต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 มาช่วยแม่ทำกับข้าว สมัย ก่อนเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆมีราคาสูง ก็ต้องใช้มือตำเอง และใช้เตาถ่าน ทำอยู่แบบนี้ก่อนไปโรงเรียนทุกวัน พอกลับจากโรงเรียน ทำการบ้านเสร็จ ก็มาช่วยแม่คั้นกะทิ เด็ดใบกะเพรา ก่อนเข้านอน ช่วยแม่ตั้งแต่ 5 ขวบจนถึงอายุ 13 ปี แม่จึงเลิกขาย เมื่อตนเรียนจบคณะคุรุศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ด้วยความที่ไม่อยากเป็นครู แต่ชอบด้านภาษา เลยเริ่มทำงานในแบบฝึกงานที่โรงแรม เริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟ ก่อนย้ายไปเป็นพนักงานต้อนรับ และทำงานในส่วนของออฟฟิศ สุดท้ายได้ทำงานที่ร้านอาหารไทยบลูเอเลเฟ่นท์ ซึ่งได้พบและแต่งงานกับสามีชาวออสซี่ ที่มีธุรกิจร้านอาหารไทยอยู่ที่เมือง Southern Highlands ประเทศออสเตรเลีย เมื่อไปอยู่ออสเตรเลีย นอกจากดูแลกิจการแล้ว ตนได้ขอเป็นเชฟเองด้วย จึงได้ไปฝึกเป็นเชฟแบบมืออาชีพ และได้มาดูแลร้านทุกอย่าง กิจการไปได้อย่างดีได้ทั้งเงินและกล่อง โดยได้รับรางวัลร้านอาหารไทยยอดเยี่ยม มีลูกค้าประจำมากมาย จึงทำให้มีความฝัน อยากมาทำที่เมืองไทย ด้วยความที่ตนเองและสามี เป็นคนคิดไว ทำไว กล้าได้กล้าเสีย จึงขายร้านที่ออสเตรเลีย กลับมาตั้งรกรากกันที่เมืองไทยในปี 2555 โดยเปิดร้านอาหารไทย ร้านแรกในชื่อ ร้าน Paste (Paste Bangkok) ที่สุขุมวิท 49

...

“ตอนมาทำร้านที่เมืองไทย เราทุ่มกันเต็มที่ เพราะเหมือนกับเราทุบหม้อข้าวหม้อแกง จะไปตีเมืองแล้ว กะไม่กลับไปออสเตรเลียแล้ว เราจึงทุ่มสุดตัว แต่เริ่มแรกไม่เป็นอย่างที่คิด 4 เดือนแรกไม่มีคนเลย เริ่มเครียด!! แต่ใจก็ยังสู้นะคะ คิดว่า ทำอย่างไรดี ถ้าจะกลับไปออสเตรเลีย เราก็ยังมีลูกค้าประจำอยู่ แต่เราก็ยังอยากลองทำที่เมืองไทย เลยสู้กันต่อ โชคดีที่พอมีนิตยสารมาเทสต์อาหารและช่วยเขียน ทำให้คนรู้จักเข้ามาที่ร้าน คนเริ่มมาร้านเริ่มแน่น กำลังจะไปได้ดี มีสถานการณ์ทางการเมือง ลูกค้าหายไปอีกแล้ว แต่โชคดีมีคนรู้จักชวนให้มาเปิดที่ใหม่ที่เกษร เลยตัดสินใจปิดร้านที่สุขุมวิท แล้วมาเปิดที่เกษรวิลเลจ (เกษรพลาซ่า) ชั้น 3 เมื่อปี 2558 จนปัจจุบัน ซึ่งร้านเราก็ได้รับมิชลิน สตาร์ 1 ดาวด้วย” เชฟบีเล่าเส้นทางในอาชีพของเธอที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

เมื่อถามถึงความตั้งใจในการทำงาน เชฟบี บอกว่า มีความตั้งใจที่จะทำให้อาหารไทยแบบดั้งเดิมเป็นที่รู้จักโดยตนได้ศึกษาตำราอาหารเก่าแก่หลายร้อยปี รวมถึงสูตรโบราณตำรับต่างๆ เพื่อนำสูตรอาหารและวัตถุดิบหายากที่ไม่มีใครจดจำได้แล้วกลับคืนมา โดยใช้วัตถุดิบที่สดใหม่จากเกษตรกรในท้องถิ่น ส่วนผสมของเครื่องแกงต่างๆล้วนทำเอง อย่างเช่น ปลาแซลม่อนสมุนไพรและแตงโม, แกงปูปักษ์ใต้กับพริกไทยดำ พร้อมด้วยใบบัวบก ดอกแคและใบชะครามจากสมุทร– สาครรมควันกะลามะพร้าวเผา เป็นต้น

“กว่าจะมาถึงวันนี้ ได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น เวลาที่มีอุปสรรค ถ้าเราพยายาม push มัน ก็จะไปได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องอ้อมข้ามมันไป ขอเพียงอย่ายอมแพ้”...นี่เป็นตำราการทำงานจนประสบความสำเร็จของเชฟสาวคนนี้.