MOU: ก่อนจะอ่านบทความนี้ โปรดรับรู้จุดยืนของดิฉันไว้ก่อน คนเราจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีผิดถูก ตราบเท่าที่ไม่ไปบังคับขืนใจใครเขา ดิฉันไม่เชื่อว่าหญิงแท้ชายแท้เท่านั้นคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างมา และถ้าพ้นไปจากนี้คือความเบี่ยงเบนผิดปกติ (ถ้าพระเจ้ามีจริง ท่านก็สร้างเราทั้งหมดนี่แหละ) วันนี้ดิฉันจะชวนคุยถึงขอบเขตรสนิยมทางเพศที่เส้นแบ่งของมันจางลงทุกวัน เกิดความหลากหลายขึ้นมากมาย ดิฉันเขียนเพื่อ ‘สร้างความเข้าใจ’ ไม่ใช่เพื่อฟันธงนะคะ

“คุณเป็นเกย์หรือเปล่า?” เปล่า ผมมีเมีย “คุณจูบผู้ชายด้วยกันได้ไหม?” ได้ “แล้วเคยมีเซ็กซ์กับผู้ชายหรือเปล่า?” เคยครั้งหนึ่ง เพื่อนเก่า “เล่าสถานการณ์ให้ฟังหน่อย” เจอในงานปาร์ตี้เลี้ยงรุ่น คุยกันถูกคอ แล้วจู่ๆ พออยู่กันสองคน มันก็จูบผม ตอนแรกก็ตกใจนะ แต่ก็รู้สึกดี “เพื่อนคุณเป็นเกย์หรือเปล่า” มันไม่ใช่เกย์ มันมีเมียเหมือนกัน “แล้ว?” แล้วมันก็แบบว่า... ก็นัวเนียกัน มันเกิดขึ้นเอง เราดื่มเยอะทั้งคู่ แต่ไม่ได้เมามาก “เพื่อความชัดเจน คุณมีเพศสัมพันธ์กันแบบมีการสอดใส่?” ใช่ “แต่คุณไม่ใช่เกย์?” ไม่ใช่ ผมชอบผู้หญิง

เมื่อพูดถึงความหลากหลายทางเพศ เราส่วนใหญ่คิดว่า อ๋อใช่ ฉันรู้ นอกจากหญิงกับชายแล้วก็มีตุ๊ดมีทอมด้วยนะ คนที่เด็กกว่าเราจะแย้งว่ามีเกย์คิง เกย์ควีน เลสเบี้ยน และดี้ด้วยนะฮะ แต่คนที่เด็กกว่านั้นอีกจะบอกว่า โอ๊ย มีมากกว่านั้นเยอะลุง นับกันไม่ถ้วนหรอก และไม่มีประโยชน์ที่จะนับ

มีบทความตีพิมพ์ใน GQ UK ฉบับหนึ่งบอกว่า ‘ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน... ไม่นับว่าเป็นเกย์เสมอไป’ ดิฉันเชื่อว่ามันฟังแปร่งหูคนไทยจำนวนมาก รวมถึงดิฉันด้วย แต่อะไรที่แปร่งๆ ไม่ได้แปลว่าจะมีใครผิดใครถูก ขอย้ำ MOU อีกทีค่ะ เพราะเรื่องพวกนี้ละเอียดอ่อน

...

เริ่มจากโรงเรียนมัธยม...

ดิฉันเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าในโรงเรียนชายล้วนหรือหญิงล้วน คนหนุ่มสาวล้วนเสาะหาประสบการณ์ทางเพศ (หรืออาจจะแค่เรียกร้องความสนใจทางเพศ) จากคนเพศเดียวกัน ก็เพราะว่ามันไม่มีทางเลือกอื่น เด็กผู้ชายจำนวนมากไม่ได้รังเกียจเพื่อนตัวเองที่เป็นกะเทย อาจเคยจิ๊จ๊ะกันซะด้วยซ้ำ ถ้าเขาเป็นกะเทยที่เข้าขั้นสวย เพราะกะเทยมีลักษณะของความเป็นหญิงมากที่สุดแล้วในสภาพแวดล้อมอันจำกัด วัยรุ่นบางคนจึงยอมให้กะเทย ‘บ๊วบ’ หรือ ‘ถวายบัว’ ให้โดยไม่ได้รู้สึกผิดและไม่ได้สับสนสักนิดว่าตนเป็นเกย์หรือเปล่า

เช่นเดียวกับเด็กผู้หญิงที่หลงรักทอมในโรงเรียน ทอมคือตัวแทนเพศชายเท่าที่หาได้ในสภาพแวดล้อมจำกัด พวกหล่อนตบตีแย่งชิงทอม ร้องไห้กรีดข้อมือเป็นวรรคเป็นเวร แต่พอเรียนจบก็มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่งงานมีลูกเต้า ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนแต่อย่างใด ทอมบางคนยังเป็นทอมอยู่จนตลอดชีวิต และทอมอีกหลายคนก็เลิกห้าว สวมชุดขาว เดินเข้าประตูวิวาห์กับหนุ่มหล่อ เด็กชายหลายคนที่เคยจิ๊จ๊ะกับกะเทย โตขึ้นมาเป็นเกย์ก็มี ไม่เป็นก็มี นี่คือเรื่องปกติของมนุษย์วัยรุ่น ช่วงที่ฮอร์โมนทางเพศมีอำนาจเหนือการตัดสินใจ จนเข้าสู่วัยกลางคนและเข้าสู่สังคม ‘สหเพศ’ ตามปกติ รสนิยมที่แท้จริงของแต่ละคนจึงเริ่มทำงาน

เฮ้ย กูเคยได้กับไอ้จ๊อดว่ะ ก็โอเคนะ หนุกดี

ในบทความของ GQ UK ผู้เขียนยกเคสหลากหลายว่าด้วยผู้ชายที่พันพัวเชิงกายภาพกับชายอื่น ตั้งแต่ชายที่ยอมให้บ๊วบให้ ชายที่จูบแลกลิ้นกับชาย ไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเข้าทางประตูหลัง โดยชายเหล่านั้นล้วนยืนยันว่าตนไม่ใช่เกย์ ตนชอบผู้หญิง ตนมีแฟน เซ็กซ์กับคนเพศเดียวกันกลายเป็นหนึ่งใน ‘การทดลองใช้ชีวิต’ ที่มีคุณสมบัติของความคูล... เฮ้ย กูเคยได้กับไอ้จ๊อดว่ะ ก็โอเคนะ หนุกดี ดิฉันคิดว่าประโยคนี้อาจจะคูลในสายตาสังคมตะวันตก (หรือเปล่า?) ดิฉันลองเอาประโยคนี้ไปถามไถ่จากคนไทยคนใกล้ตัว (เกินสิบคน คละเพศและรสนิยมทางเพศ) สมมติสถานการณ์ว่ามันเป็นคำพูดจากปากชายแท้คนหนึ่ง เราสามารถแบ่งปฏิกิริยาของผู้รับฟังได้ดังนี้

• ผู้หญิงแท้: พูดอย่างนี้ก็เป็นเกย์แล้ว ไม่รู้ตัวหรือเปล่า
• เกย์ชาย: โถ แอ๊บแมน อีดอก
• กะเทย: ว้าย ใครอ่ะ ขอไลน์ได้ป่ะ
• เลสเบี้ยน: ตุ๊ดชัดๆ
• ชายแท้ทั่วไป: มุกเหรอวะ
• ชายแท้แมนโคตร: “….!!??”
• ชายไม่ระบุรสนิยม: “ไม่เห็นแปลก”

แค่ Experiment หรือเข้าข่ายมนุษย์กำกวม?

ชายแท้ที่ยอมให้เกย์หรือกะเทย ‘ถวายบัว’ นั้นมีอยู่เป็นปกติ อันนี้เป็นเรื่องเพศล้วนๆ แต่ถ้าเราจะพูดเรื่องความรักความเสน่หาล่ะ? ผู้ชายทุกคนคอนเฟิร์มว่าความรักที่ผู้ชายมีให้กันนั้นก็มีอยู่จริงเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกับเพื่อน พี่ชายกับน้องชาย และมันสามารถลึกซึ้งได้แน่นอน เป็นความรักที่ผู้หญิงไม่เข้าใจ ประมาณว่าลูกผู้ชายด้วยกันถึงจะเข้าใจหัวอกเดียวกัน เป็นโมเมนต์ที่ฝรั่งเรียกว่า Bromance ซึ่งดิฉันคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่บางคนจะเลยเถิดถึงขั้นจูบกันหากสถานการณ์เป็นใจ มีความมึนเมา มีการกระตุ้นให้ปล่อยตัวปล่อยใจ มีความรู้สึกปลอดภัย แต่ถ้าถึงขั้นเข้าประตูหลังกันนั้น...

“ไม่น่านะ ถ้าจะทำได้ก็ต้องเป็นฝ่ายรุกอย่างเดียว และคนที่รับก็ต้องเป็นกะเทยหรือดูเป็นหญิงอ่ะ ถ้าแมนๆ มาเลยทั้งคู่นี่แปลก แล้วก็ยอมเป็นฝ่ายรับด้วยเนี่ย ไม่รู้ว่ะ กูว่ายังไงก็เกย์ เป็นเพื่อนรักกันแค่ไหนก็ไม่คิดจะยุ่งตูดกันป่ะ” นี่คือความเห็นหนุ่มออฟฟิศสายการเงิน

“แต่เราว่าเป็นไปได้ ผู้ชายคนนั้นอาจจะเมา หรืออาจจะไม่ได้เมาก็ได้ แต่เขาต้องเป็นคน ‘กำกวม’ คนกำกวมคือยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปทางไหน อาจจะมีแฟนเป็นผู้หญิง มีเซ็กซ์กับผู้หญิงได้ แต่ลึกๆ ก็มีความชอบผู้ชายอยู่ด้วย คนแบบนี้มีเยอะนะเว้ย เสือไบ (ไบเซ็กชวล) แต่งงานจนลูกโตแล้วเมียเพิ่งรู้ว่าผัวกำกวม เยอะแยะไป” นี่คือความเห็นนักข่าวสายอาชญากรรม ซึ่งคงรู้เห็นเรื่องราวมามาก

...

“เป็นไปได้แน่นอน ผมว่ารสนิยมทางเพศมันลื่นไหลนะ จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง” นี่คือความเห็นนักเขียนเกย์ผู้รอบรู้

Bisexual หรือ Gender-Blind?

เป็นการง่ายถ้าเราจะโยนคนแปลกๆ ที่เราไม่เข้าใจเข้าไปสู่หมวดหมู่ ‘เสือไบ’ ซึ่งชาวโลกมักมีข้อสงสัยมากมายเสมอ เช่น ความชอบทั้งชายและหญิงนั้น เท่าๆ กันเลยไหม? และหากคนเป็นไบเซ็กชวลคบหากับชายคนหนึ่งหรือหญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานๆ จะเปลี่ยนจากไบเซ็กชวลไปเป็นเกย์ หรือเป็น Straight หรือเปล่า? หรือจริงๆ คุณแค่สับสนยังเลือกไม่ได้? หรือยังไม่รู้ใจตัวเอง? คำถามพวกนี้ล้วนทำให้คนเป็นไบเซ็กชวลรำคาญเพราะเขาคงเจอมาตลอดชีวิต

สารภาพว่าดิฉันเคยเป็นคนหนึ่งที่ใจแคบ ไม่เชื่อว่าไบเซ็กชวลมีจริง เพราะดิฉันเคยรู้จักชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วกับผู้หญิง และอยู่ๆ ก็มีสัมพันธ์สวาทกับผู้ชายด้วยกัน พอเมียจับได้ก็บอกว่าเพิ่งจะค้นพบว่าตัวเองเป็นเสือไบ เขายังประคองชีวิตแต่งงานของเขาต่อ แต่เมียเล่าว่าเขาทำการบ้านบนเตียงน้อยลงเรื่อยๆ และในวันหนึ่งก็ไม่ทำอีกเลย ขอหย่า กลายเป็นตุ๊ดระดับ ‘Full Blown’ ไบเซ็กชวลในความเข้าใจดิฉันจึงเหมือนเป็นขั้นตอนเริ่มแรกของเกย์ที่กำลังจะค้นพบตัวเอง ทว่านั่นก็เป็นแค่ความเข้าใจในอดีต ดิฉันไม่เคยรู้จักคนเป็นไบเซ็กชวล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่มีตัวตน วันนี้ดิฉันรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า รสนิยมทางเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและบางครั้งมันก็อาจกลับไปกลับมาได้จริงๆ

ในบรรดาเสือไบด้วยกัน ยังมีพฤติกรรมแยกย่อยที่หลากหลาย สาวไบเซ็กชวลบางคนมีรสนิยมชอบชายที่ดูเหมือนกะเทย แต่กลับชอบผู้หญิงที่ดูทอมๆ หนุ่มไบเซ็กชวลบางคนชอบชายแท้ประเภทแมนสุดโต่ง หรือไม่ก็ผู้หญิงหวานแหววคิกขุไปเลย คือพวกเขาสามารถเดินไปได้ทั้งสองทาง แม้จะเป็นสองทางที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หรืออาจจะเป็นสองทางที่ไปในทิศทางเดียวกันก็ได้ เช่น

...

“แฟนเก่าผมเป็นผู้ชายแท้ และแฟนคนปัจจุบันของผมเป็นผู้หญิงห้าว” หรือ “ดิฉันชอบสาวน้อยมาตลอดเลย ตอนนี้ดิฉันคบกับจิมมี่ เขาเป็นผู้ชายหวานๆ ไม่ถึงขั้นตุ๊ดนะ แต่เขาอ่อนโยนมาก สรุปได้ว่าดิฉันแพ้ความน่ารักอ่อนโยน” บางสำนักจึงนิยามว่าไบเซ็กชวลคือกลุ่มคนที่ถูกดึงดูดด้วย Masculinity หรือ Femininity ของอีกคน โดยไม่เกี่ยงเพศสภาพที่แท้จริงของพวกเขา หรือที่เรียกว่า Gender-Blind เพศไหนไม่สำคัญ แต่ถ้ามี ‘ความเป็นชาย’ หรือ ‘ความเป็นหญิง’ ในลักษณะที่ถูกจริต เขาก็สามารถมีความสัมพันธ์ด้วยได้

เมื่อกลับมาพิจารณาชายคนนั้น (ในบทความ GQ UK) ที่มีเซ็กซ์กับเพื่อนชายวัยเด็กของตัวเอง แล้วก็ยืนยันว่าไม่ใช่เกย์และไม่ใช่ไบด้วย แต่เป็น Straight แท้ๆ เพื่อนเกย์สายฟิตเนสของดิฉันให้ความเห็นว่า ถ้ามันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็อาจเป็นแค่การเผลอไผลได้ “ผู้ชายแท้ในฟิตเนสตั้งเยอะชอบมอง ‘ของ’ คนอื่น เหมือนแข่งกันในที แต่แข่งไปแข่งมาอาจจะเกินเลยไป แต่หลังจากนั้นถ้าเกิดอีกและเกิดอีกเรื่อยๆ ก็แปลว่าติดใจแล้วละ... เกย์โลด”

เหตุผลที่ (ไม่จำเป็นอีกต่อไป) ของการจำแนกประเภท

ในบทความของ GQ UK ผู้เขียนบอกว่าการ ‘พะยี่ห้อ’ หรือ Label นั้นมีผลทางจิตวิทยาทำให้มนุษย์รู้สึกอบอุ่น การถูกจำแนกทำให้เรารู้สึกเหมือนมีใครสักคนชี้ขาดฟันธงว่าคือเราคือใคร และเป็นพวกเดียวกับใครบ้าง เขาว่าการมีพรรคพวกทำให้คนเรามั่นใจ เรื่องเพศก็เช่นกัน ฟังแล้วก็เมคเซนส์ระดับหนึ่งนะคะ แต่ไม่ว่าสังคมจะจับให้เราอยู่หมวดหมู่ไหน มันก็ไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่เราเป็นได้ หรือถึงแม้สังคมจะไม่สามารถหาหมวดหมู่ให้เราได้ แต่ถ้าสิ่งที่เราเป็นนั้นไม่ได้เลวร้ายหรือทำร้ายใคร ดิฉันว่าคุณจะเป็นอะไรก็เป็นเถิด การค้นหารสนิยมตัวเองเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ขอให้สนุกกับมันให้เต็มที่ค่ะ

...

คุณอยู่ตรงไหนใน ‘มาตรวัดคินซีย์’?

ที่มา - GQ Thailand
www.gqthailand.com