เรียกว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของประเทศเวียดนาม และถึงแม้อากาศจะร้อนเท่าบ้านเราสำหรับ ฮอยอัน-ดานัง ก็ยังมีคนเล่าให้เราฟังว่าแวะเวียนไปแล้วกว่า 5-6 ครั้ง ก็ไม่รู้หลงเสน่ห์อะไรเมืองนี้นัก แต่พูดไปพอเอาเข้าจริงๆ เราก็ได้หลงรักเมืองโบราณแห่งนี้ไปเต็มหัวใจแล้วเช่นกัน...
จะว่าไปเวียดนามเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้กับเรามากๆ เพราะแค่นั่งเครื่องบินไป 1 ชั่วโมง 40 นาที เรียกว่ายังไม่ทันหลับสนิทดีก็ต้องลงซะแล้วล่ะ...
เราโชคดีที่ได้นั่งไปกับสายการบินแอร์เอเชีย ที่แว่วว่าเพิ่งเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์สำหรับกรุงเทพฯ-ดานังแบบบินตรง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศเป็นครั้งแรกอีกด้วย งานนี้เลยนั่งสบายๆ ไปมากกว่าที่คิดเยอะเลย
...
หากเอ่ยถึงเวียดนามคงน้อยคนนักที่อยากไปเยือน เพราะสู้ไปเที่ยวเมืองที่ทันสมัยมีแหล่งช็อปปิ้งมากมายและแถมไปถ่ายรูปสวยๆ ยังดีซะกว่า แต่จะบอกว่า ดานัง หรือ ด่าหนัง เขาให้เสียงเรียกกันแบบนี้ เป็นเมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลางตอนใต้ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ จัดเป็น 1 ใน 5 เขตการปกครองส่วนท้องถิ่นในเวียดนาม และแพลนในครั้งนี้ของเราก็เรียกว่าไปเฉพาะจุดสำคัญเน้นๆ ที่เหล่านักท่องเที่ยวมาแล้วก็มักจะร้องมาอีกทั้งสิ้น
...
...
...
เมื่อเราลงเครื่องเราจะเห็นได้ว่าสนามบินมีกลิ่นอายของความใหม่มากๆ เพราะไกด์ได้บอกกับเราว่าเพิ่งเปิดใช้แค่ 2 เดือนที่แล้วเอง ทั้งนี้ ตม.หน้าเข้มไม่เบา เรียกว่ากว่าจะผ่านเข้าเมืองเขาได้เนี่ยก็ไม่ง่ายเลยจ้า แต่เราปกติมากไงเลยผ่านได้แบบสบายๆ นั่นเอง บอกเลยว่าหลังจากที่นั่งเครื่องอย่างสบายมาหนึ่งชั่วโมงนิดๆ พอออกมาเจอแดดเปรี้ยงของเวียดนามเท่านั้นเกือบเป็นลม เพราะความร้อนที่นี่ที่ไม่แพ้บ้านเราเลยจริงๆ นั่งรถไปสักพักก็สลับกับเจอฝนเป็นระยะๆ โถ...ชีวิตชั้นจะป่วยมั้ยเนี่ย!!!! นี่เวียดนามครั้งแรกของชั้นนะ!
เมื่อได้ลงจากรถบัสที่นั่งมาจากสนามบินไม่กี่นาทีก็มาถึง สะพานญี่ปุ่นที่ฮอยอัน โดยไกด์เล่าให้เราฟังว่า สะพานนี้ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวญี่ปุ่นที่ส่วนหนึ่งของชุมชนขนาดใหญ่ เมื่อก่อนญี่ปุ่นได้ตั้งรกรากเป็นจำนวนมากในเมืองนี้ รูปทรงจะเป็นทรงโค้งหลังคาจะมุงกระเบื้อง ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัข และเมื่อข้ามไปยังอีกฝั่งจะมีรูปปั้นลิงให้ได้เห็น และเมื่อข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดทางเดิน และมีของเดินให้เลือกช็อปปิ้งมากมาย
บ้านโบราณ เป็นอีกจุดสำคัญและเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของย่านโบราณ 36 สาย โดยจะเห็นได้ว่าถนนเส้นนี้ตลอดเส้นทางจะขายเครื่องเงินเครื่องทองที่ทำจากดีบุกหรืออะลูมิเนียม นอกจากนี้ชีวิตสังคมยังมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและย่านเก่านี่เองที่ทำให้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว เพราะมันมีทั้งความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่ลงตัว ตลาดนัดหรือร้านกาแฟริมถนนต้องบอกเลยว่าถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ เราได้นั่งจิบกาแฟและมองผู้คนที่สัญจรไปมาก็น่าจะมีความสุขไปอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียว
จากนั้นเราได้เดินทางสู่ หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน ในเมืองดานัง โดยเราต้องผ่านเส้นทางเลียบชายหาด หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านแกะสลักหินกันทั้งหมู่บ้าน โดยหินอ่อนดังกล่าว จะนำมาจากภูเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากละแวกนั้น ปัจจุบันนอกจากรูปแกะสลักเจ้าแม่กวนอิม หรือเทพเจ้าแล้วนั้น ช่างก็จะแกะสลักตามที่ลูกค้าต้องการ หรือแกะสลักเป็นสินค้าครัวเรือนก็สามารถทำได้ตามออเดอร์ของลูกค้าเช่นกัน
นอกจากนี้เมื่อเราเดินทางไปถึง วัดหลินอึ๋ง คนที่นั่นว่ากันว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวดานัง และเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สูงถึง 67 เมตร แถมยังสามารถมองเห็นเจ้าแม่กวนอิมได้จากอ่าวดานังไกลๆ เลยด้วย และสำหรับองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ซึ่งขึ้นชื่อมากในเรื่องของการขอพรเรื่องสุขภาพ การทำมาหากินค้าขาย และขอลูกด้วย เรียกว่าถ้าใครมาสายนี้ต้องไม่ควรพลาดการมาไหว้ขอพรจากองค์แม่ เพราะเขาว่าองค์แม่ชอบช่วยเหลือคน และยังได้กันจริงๆ แบบไม่ล้อเล่นนะจ๊ะ...
พีคสุดของทริปนี้ก็น่าจะเป็น สะพานมังกร โดยคนที่นี่บอกว่า สะพานมังกรนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองดานังที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เพราะในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีการแสดงมังกรพ่นน้ำและพ่นไฟในยามค่ำคืน โดยชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวจำนวนมากจะอุ้มลูกเด็กเล็กแดงออกมารวมตัวกันเพื่อชมการแสดงนี้กันอย่างคับคั่ง แถมในละแวกนั้นก็จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของกันจำนวนมากเลยทีเดียว ถ้าเปรียบบ้านเราก็คงจะคล้ายๆ ท้องสนามหลวงเวลาช่วงมีงานยามค่ำคืนนั่นแหละ ทริกนิดๆ จากไกด์และคนพื้นที่แนะนำต่อว่า ถ้าหากนักท่องเที่ยวหรือชาวเวียดนามอยากใกล้ชิดกับมังกรมากขึ้นอีกหน่อย ก็สามารถล่องเรือเพื่อชมการแสดงได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ไม่แปลกใจถ้าหากคุณอ่านสิ่งที่เราเล่าให้ฟังจบแล้วอยากจะออกไปท่องโลกกว้างยังฮอยอัน-ดานัง และเดินตามรอยเพื่อไปสัมผัสความสุขแบบที่เราเรียกว่าสโลว์ไลฟ์ของแท้ อยากไปแบบนี้ไม่ยาก สามารถกดจองตั๋วกับแอร์เอเชียได้เลยในราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 1,090 บาทเท่านั้น และสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.airasia.com