ถึงแม้ว่ามหานครอิสตันบูล (Istanbul) หรืออดีตกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศตุรกี แต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า มหานครแห่งสองทวีปริมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญทั้งจากยุคไบแซนไทน์ (Byzantine) และออตโตมัน (Ottoman) ให้เดินเที่ยวชมกันได้ไม่รู้เบื่อ โดยที่ไฮไลต์สำคัญของอิสตันบูลก็คงจะหนีไม่พ้นพิพิธภัณฑ์ “ฮาเยีย โซเฟีย” (Hagia Sophia) ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก” เป็นแน่แท้
แน่นอนว่า วันนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะพาทุกท่านไปชมกันครับ
พิพิธภัณฑ์ “ฮาเยีย โซเฟีย” ตั้งอยู่ในย่านจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmed Square) ซึ่งเป็นโซนท่องเที่ยวสำคัญของมหานครอิสตันบูล โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของฮาเยีย โซเฟีย มีความงดงามตระการตา อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่โตมหึมา ดึงดูดสายตาของนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาในย่านจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ดให้เอี้ยวคอหันไปมองได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น “ฮาเยีย โซเฟีย” ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้งดงามเช่นนี้มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มหรอกนะครับ ผลงานชิ้นโบแดงนี้เกิดขึ้นจากการบูรณะต่อเติมหลักๆถึงสามครั้งสามครา เริ่มต้นจากวิหารบูชาเทพเจ้าของชาวกรีกโบราณ ก่อนที่จะถูกดัดแปลงมาเป็นโบสถ์ ตามด้วยมัสยิด แล้วถึงลงเอยด้วยการเป็นพิพิธภัณฑ์อันทรงคุณค่าอย่างที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
...
นักโบราณคดีเสนอว่า แรกเริ่มเดิมทีพื้นที่อันเป็นสถานที่ตั้งของฮาเยีย โซเฟีย คือซากปรักหักพังของวิหารแห่งเทพเจ้าอาร์เทมิส (Artemis) แล้วจึงถูกดัดแปลงให้มาทำหน้าที่ “โบสถ์” ซึ่งได้รับการขนานนามกันในชื่อ “เมกาเล เอกเคลสเซีย” (Megale Ekklesia) หรือ “มหาวิหารอันยิ่งใหญ่” (Great Church) สร้างขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ.360 ในช่วงรัชสมัยการครองราชย์ของพระเจ้าคอนสแตนตินที่ 2 (Constantine II) ด้วยลักษณะของ “มหาวิหาร” (Basilica) ขนาดใหญ่ ก่อกำแพงด้วยหิน ทว่าโครงสร้างของหลังคาทำจากไม้ สุดท้ายแล้วมหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกเผาทำลายลงไปในช่วงของการประท้วงขับไล่นักบุญจอห์น คริสซอสตอม (St.John Chrysostom) เมื่อปี ค.ศ.404 แต่ถึงอย่างนั้น นักโบราณคดีก็ได้ค้นพบหลักฐานของแผ่นอิฐที่มีตราประทับสลักคำว่า “เมกาเล เอกเคลสเซีย” ปรากฏอยู่บนนั้นด้วย ทำให้เสนอกันว่านี่อาจจะเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่จริงของ “มหาวิหาร” แห่งนี้ก่อนที่จะถูกทำลายลงก็เป็น ได้ครับ
หลังจากนั้นในช่วงปี ค.ศ.415 มหาวิหารแห่งที่สองได้ถูกรังสรรค์ขึ้นบนพื้นที่เดิม และสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเฉกเช่นมหาวิหารแห่งแรก คงอยู่มาได้ราวหนึ่งร้อยปีเศษ ถึงช่วงปี ค.ศ.532 ก็ไม่วายต้องถูกทำลายลงอีกจนได้ครับ ครั้งนี้เป็นผลพวงมาจาก “กบฏนิก้า” (Nika Riots) ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) ที่เข้ามาสั่นคลอนบัลลังก์ของพระองค์
ตอนแรกจัสติเนียนคิดจะยอมยกธงขาวแล้วหนีออกไปจากนคร ทว่าผู้ที่ดึงพระองค์ไว้ให้ฮึดสู้ต่อไปก็คือ ธีโอโดร่า (Theodora) มเหสีของจัสติเนียนนั่นเองล่ะครับ ธีโอโดร่าไม่เคยคิดหนี นางกล่าวกับจัสติเนียนว่า “ท่านจะหนีก็ได้ถ้าท่านต้องการ ทางสะดวก ท่านมีเงินและเรือมากมาย ทางออกสู่ทะเลเปิดแก่ท่านแล้ว แต่ข้าจะอยู่ เพราะอาภรณ์สีม่วงแห่งจักรพรรดิคือชุดคลุมอันสง่างามที่สุด” เมื่อได้ยินคำมเหสีตรัสดังนั้น จัสติเนียนก็ฮึกเหิมสิครับ พระองค์สลัดความคิดที่จะหนีออกไปจนสิ้นแล้วรวบรวมกองทัพบุกเข้าสังหารเหล่ากบฏจนสิ้นชีพไปสามหมื่นศพ!! ผลของการกบฏในครั้งนี้คือ ความเสียหายของฮาเยีย โซเฟีย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือเป็น “ปฐมบท” ที่แท้จริงของโบสถ์รุ่นที่สาม ซึ่งเป็นโบสถ์อันสง่างามที่พวกเราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ด้วยเช่นกันครับ
จักรพรรดิจัสติเนียนมอบหมายหน้าที่ออกแบบให้กับสองสถาปนิกใหญ่นามว่า “แอนธีมิอุส” (Anthemius) และ “อิสิโดเรผู้ชรา” (Isidore the Elder) พร้อมกับเหล่าสถาปนิกและช่างฝีมืออีกร่วม 200 ชีวิต และเพื่อเป็นการ “เร่ง” ให้มหาวิหารแห่งนี้สำเร็จโดยเร็ว จักรพรรดิจัสติเนียนจึงได้มีการเสนอรางวัลอย่างงามแก่เหล่าคนงานที่สามารถทำงานได้เสร็จรวดเร็วทันใจ นั่นจึงทำให้ “ฮาเยีย โซเฟีย” เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี ค.ศ.537 โดยใช้เวลาสร้างเพียง 5 ปีกับอีก 10 เดือนเท่านั้นเอง
และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 นี่เองครับที่ฮาเยีย โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์ อันดับที่แปดของโลก” สถาปัตยกรรมของโบสถ์แห่งนี้แตกต่างออกไปจากโบสถ์ดั้งเดิมที่เคยสร้างขึ้นมาก่อนหน้าทั้งสองครั้งอย่างสิ้นเชิง นอกจากความใหญ่โตอลังการแล้ว โบสถ์แห่งนี้ยังมี “โดม” ครึ่งทรงกลมขนาดยักษ์ที่รับน้ำหนักด้วยผนังรูปสามเหลี่ยมโค้ง (Pendentive) ตั้งอยู่บนเสาสูงจำนวนสี่ต้น ถือเป็นจุดเด่นทางสถาปัตยกรรมของฮาเยีย โซเฟียเลยก็ว่าได้ครับ
...
แต่หลังจากนั้นเมื่อจักรวรรดิออตโตมันพร้อมกับศาสนาอิสลามเข้ามายึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในช่วงปี ค.ศ.1453 โบสถ์คริสเตียนที่มีทั้งหน้ามุขและภาพโมเสกของพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์ และทูตสวรรค์ต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ไปเป็น “มัสยิด” แต่ถึงอย่างนั้นชาวมุสลิมในยุคหลังก็ไม่ได้ “ทำลาย” ภาพโมเสกดั้งเดิม พวกเขาเพียงแค่โบกปลาสเตอร์บางๆ ทับภาพเหล่านั้นเอาไว้ แล้วปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในด้วยสิ่งที่จำเป็นในทางศาสนาของชาวมุสลิมเช่น “มิหร็อบ” (Mihrab) อันเป็นสถานที่ให้อิหม่ามเข้าไปนำละหมาด รวมถึง “มินบาร์” (Minbar) หรือธรรมาสน์สำหรับใช้เทศนาและบันไดสูงที่นำพาไปสู่ปะรำด้านบนก็ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างลงตัว ทว่าชาวมุสลิมไม่ได้ทำการปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมโครงสร้างของโบสถ์แห่งนี้ไปเลยแม้แต่น้อย
...
การเปลี่ยนแปลงเชิงบทบาทครั้งสุดท้ายของฮาเยีย โซเฟีย เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1935 เมื่อมัสยิดแห่งนี้ได้กลายเป็น “พิพิธภัณฑ์” ที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานกันของสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของไบแซนไทน์กับออตโตมันอย่างลงตัว ออกมาเป็นอาคารสีออกน้ำตาลแดงปกคลุมด้วยหลังคาทรงโดมขนาดยักษ์รายล้อมด้วย “เสาทรงดินสอ” (Minarets) สูงร่วม 60 เมตร จำนวน 4 ต้น ตั้งอยู่ทั้ง 4 มุมอย่างสมดุล ดังที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเราในปัจจุบันนี่ล่ะครับ
ลองเข้าไปชมบรรยากาศด้านในกันบ้างดีกว่าครับ ทางเข้าฮาเยีย โซเฟีย อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ประกอบไปด้วย “โถงทางเข้า” (Narthex) สองชั้นด้วยกัน โถงชั้นนอกตกแต่งแบบหยาบๆ มีเพดานโค้ง ไม่มีลวดลายประดับใดๆ แต่ในปัจจุบันจุดเด่นของโถงทางเข้าชั้นนอกอยู่ที่โบราณวัตถุหลากหลายชนิดที่ทางการตุรกีนำมาจัดแสดงเอาไว้ ส่วนโถงทางเข้าชั้นถัดไปยังคงมีลักษณะเพดานโค้งเช่นเดิม แต่ว่าไม่ได้มีโบราณวัตถุวางเรียงรายอีกต่อไปแล้ว ผนังและเพดานได้รับการตกแต่งด้วยลวดลายต่างๆอย่างงดงาม โดยเฉพาะลวดลายจากเนื้อหินอ่อนธรรมชาติ ที่ช่างฝีมือจงใจ “ผ่า” หินอ่อนออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นลวดลายเนื้อหินด้านใน แล้วนำมาใช้ประดับตกแต่งผนังด้วยการแผ่หินออกคล้ายการกางหน้าหนังสือดูแปลกตาทีเดียวครับ
...
ถัดเข้ามาด้านในคือ ส่วนกลางของโบสถ์ซึ่งถือได้ว่าอลังการงานสร้างเป็นอย่างยิ่ง เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมองจะพบกับโดมครึ่งทรงกลมขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลาง 32.5 เมตรในแกนเหนือ-ใต้ และกว้าง 31 เมตรในแกนตะวันออก-ตะวันตก อยู่สูงจากพื้นขึ้นไปประมาณ 56 เมตร เทียบได้กับตึกยุคใหม่ที่มีจำนวนชั้นถึง 20 ชั้นเลยทีเดียวล่ะครับ เงยหน้าเลยไปอีกเล็กน้อย บริเวณปลายสุดของห้อง เหนือมุขโค้ง (Apse) ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นมิหร็อบของชาวมุสลิมยังคงปรากฏภาพโมเสกของพระแม่มารีย์อุ้มพระเยซูอยู่บริเวณเพดานโค้งด้านบนอย่างชัดเจน ในขณะที่โดยรอบของโถงกลางประดับไปด้วยข้อความสรรเสริญพระนามของพระอัลลอฮ์ บ้างก็ปรากฏบนผืนผ้าใบวงกลมขนาดยักษ์ เป็นการผสมผสานกันของศิลปะจากสองศาสนาที่งดงามลงตัวทีเดียว
นอกจากความงดงามในเชิงศาสนาแล้ว เสาสูงที่ประดับด้านในห้องโถงก็งดงามไม่แพ้กัน อีกทั้งยังเป็นเสาที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนอีกด้วยล่ะครับ เสาส่วนใหญ่สกัดมาจากหินอ่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องเล่าสนุกๆอยู่เหมือนกันว่าแท้ที่จริงแล้วจักรพรรดิจัสติเนียนไม่ได้ต้องการใช้หินอ่อนมาประดับตกแต่งฮาเยีย โซเฟียหรอกครับ พระองค์ปรารถนาจะประดับโบสถ์แห่งนี้ด้วย “โลหะเงิน” มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้มีนักปรัชญาท่านหนึ่งมาดึงสติจัสติเนียนเอาไว้ว่า เมื่อถึงวันที่อาณาจักรของท่านล่มสลาย แผ่นโลหะเงินเหล่านี้ก็ไม่วายต้องถูกแซะออกมาอยู่ดี จัสติเนียนจึงเปลี่ยนใจหันมาใช้หินอ่อนแทน ซึ่งวัสดุต่างๆที่พระองค์นำมาใช้ประดับตกแต่งภายในฮาเยีย โซเฟียก็มาจากหลากหลายพื้นที่ของโลก ทั้งอียิปต์, กรีกและอิตาลีด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของห้องโถงฮาเยีย โซเฟีย ที่มีความโดดเด่นโดยเฉพาะทางด้าน “ความเชื่อ” ก็คือ “เสาร่ำไห้” (Weeping Column) ซึ่งเชื่อกันว่า มีพลังทางด้านการเยียวยารักษาอันน่าทึ่ง!! มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิจัสติเนียนปวดศีรษะมาก แต่เมื่อพระองค์พิงศีรษะเข้ากับเสานี้ก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง!! น่าทึ่งไหมล่ะครับ? เสาต้นนี้ยังคงโด่งดังมาจนถึงปัจจุบันด้วยว่ามี “รู”ขนาดเล็กที่มาพร้อมกับตำนานว่าถ้าใครนำเอานิ้วโป้งสอดเข้าไปในรูที่ว่านี้แล้วหมุนข้อมือได้ครบรอบ ก็จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง นั่นจึงไม่แปลกเลยครับ ที่ทุกวันนี้เสาต้นนี้จะเนื้อหอมเป็นอย่างยิ่ง เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนต่างก็ไปยืนรอต่อแถวเพื่อที่จะขอพรกันดูสักครั้ง
ไม่ไกลจากเสามหัศจรรย์คือ ทางลาดคล้ายบันไดวนขนาดยักษ์ที่นำพานักเดินทางขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเดิมทีจัดไว้ให้สำหรับสตรีในยุคไบแซนไทน์ ความโดดเด่นของฮาเยีย โซเฟีย ชั้นสอง อยู่ที่อักขระปริศนาบนกำแพงหินอ่อนที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศของไบแซนไทน์และออตโตมันสักเท่าใดนัก เพราะเป็นอักขระที่เขียนด้วย “อักษรรูน” (Runes) ของพวกไวกิ้ง (Viking) น่ะสิครับ!!
นักวิชาการเสนอว่า ข้อความเหล่านี้ไม่ใช่ของเก๊หรอกครับ แต่เป็นฝีมือของชาวไวกิ้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซึ่งรับหน้าที่เป็นทหารรับจ้างให้กับจักรวรรดิไบแซนไทน์ก็เท่านั้นเอง นอกจากนั้นไฮไลต์สำคัญของฮาเยีย โซเฟีย ชั้นสอง อยู่ที่บรรดาภาพโมเสกของพระเยซูกับจักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์หลากหลายพระองค์ ระบุอายุได้ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึง 12 เช่น จักรพรรดิจอห์นที่ 2 กับราชินีไอรีน หรือจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 กับราชินีโซอี รวมถึงภาพโมเสกของพระแม่มารีย์กับนักบุญจอห์นที่แม้จะเสียหายไปบ้างแต่ก็ยังคงงดงามทีเดียวล่ะครับ
นอกจากความอลังการภายในพิพิธภัณฑ์แล้ว พื้นที่ด้านนอกก็ยังมีโครงสร้างต่างๆที่น่าสนใจให้ได้ชมด้วยเช่นกันครับ ทั้งน้ำพุสำหรับให้ชาวมุสลิมชำระล้างทำความสะอาดก่อนเข้าไปในมัสยิด รวมถึงสุสานของสุลต่าน 3 พระองค์ที่ปกคลุมด้วยหลังคาโดมครึ่งทรงกลมก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน นั่นจึงไม่แปลกเลยครับที่สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลกอย่างฮาเยีย โซเฟีย จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาเยือนมหานครอิสตันบูลได้อย่างไม่ขาดสาย
นอกจากนั้น “พื้นที่ประวัติศาสตร์อิสตันบูล” (Historic Areas of Istanbul) อันเป็นสถานที่ตั้งของฮาเยีย โซเฟีย ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 อีกด้วยล่ะครับ.
โดย : เคเมต เซช
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน