“อิตาลี” เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางทั่วโลก เพราะมีครบทั้งทัศนียภาพธรรมชาติสวยงาม, เป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรม, อารยธรรม, จิตรกรรม, สถาปัตยกรรม, ประวัติศาสตร์, แฟชั่น ตลอดจนความเป็นเลิศเรื่องอาหาร ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอิตาลีหลายแสนคน โดยคนไทยหลั่งไหลไปอิตาลีปีละหลายหมื่นคน ล่าสุด “การบินไทย” ภายใต้การนำของ “กิตติพงษ์ สารสมบูรณ์” ผอ.ฝ่ายสื่อสารการตลาดและสร้างผลิตภัณฑ์การบินไทย จับมือกับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด จัดทริปสุดเอกซ์คลูซีฟ เพื่อฉลองครบรอบ 44 ปี การเปิดเส้นทางบินระหว่างไทย-อิตาลี พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยเที่ยวบินสุดพิเศษ “แอร์บัส 350” บินตรงจากกรุงเทพฯมุ่งสู่กรุงโรมอย่างสะดวกสบายหายห่วง ท่ามกลางสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยครบครัน และขาดไม่ได้คือบริการสุดประทับใจ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของสายการบินแห่งชาติ ที่พร้อมสรรพไปด้วย “อายตนะ 6” หรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 คือ การมองเห็น, ลิ้มรส, การดมกลิ่น, การได้ยิน, การสัมผัส และความรู้สึกจากหัวใจ

พิสูจน์มาแล้วถึงความสะดวกสบายของเครื่องบิน “A350” เมื่อได้ร่วมทริปเหินฟ้าสู่อิตาลีกับการบินไทยและกลุ่มเซ็นทรัล ช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา บอกเลยว่าประทับใจตั้งแต่บรรยากาศแบบไทยร่วมสมัยของห้องโดยสาร แถมได้อินไซด์ว่าเครื่องบินลำนี้ไม่ได้สวยแต่รูปทว่าจูบก็หอมซะด้วย เพราะโครงสร้างลำตัวเครื่องบินทำจากวัสดุโลหะน้ำหนักเบา ทนต่อแรงกระแทกขณะทำการบิน ที่สำคัญติดตั้งด้วยเครื่องยนต์ Rolls-Royce รุ่น Trent XWB มีประสิทธิภาพการเผาผลาญเชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25% และด้วยพื้นที่ใช้สอยในตัวเครื่องที่กว้างขวางนั่งสบายขึ้น ทำให้กินอิ่มนอนหลับฝันดีตลอดการเดินทางเกือบ 10 ชั่วโมง พอเครื่องลงจอดที่สนามบินเลโอนาร์โด ดาวินชี-ฟิอูมิชิโน กรุงโรม คณะสื่อมวลชนไทยจึงพร้อมตะลุยสำรวจเมืองหลวงของอิตาลีทันที

...

โดยจุดหมายปลายทางแรกคือ การโยนเหรียญที่ “น้ำพุเทรวี” อธิษฐานให้ได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง ชาวโรมโบราณเชื่อว่าต้องหันหลังโยนเหรียญข้ามศีรษะตัวเองถึงจะศักดิ์สิทธิ์ แต่ละวันมีคนมาโยนเหรียญในน้ำพุเทรวีไม่ต่ำกว่า 3,000 ยูโร เงินจำนวนนี้นำไปใช้บำรุงซุปเปอร์มาร์เกตสำหรับคนยากจนในกรุงโรม อีกหนึ่งเดสติเนชันห้ามพลาดรวมถึง “บันไดสเปน” บันไดกว้างที่สุดและยาวที่สุดในยุโรป ใครมาเยือนกรุงโรมต้องไปตะลุยขึ้นบันไดให้ครบทั้ง 138 ขั้น

มาถึงโรมถ้าไม่ได้คารวะ “สนามกีฬาโคลอสเซียม” ก็เหมือนไปไม่ถึง เพราะที่นี่คือ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ใช้เวลาก่อสร้าง 10 ปี เพื่อให้เป็นสนามกีฬากลางแจ้งใหญ่ที่สุดกลางกรุงโรม โดยอัฒจันทร์สร้างเป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุผู้ชมราว 5 หมื่นคน ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬายุคปัจจุบัน

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดคือ การไปเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของ “ห้างรีนาเชนเต” บนถนนเวีย เดล ดิโตนนี ใจกลางกรุงโรม ที่ต้องใช้เวลาสร้างถึง 11 ปีเต็ม กว่าจะสานฝันให้เป็นจริง หลังกลุ่มเซ็นทรัลทุ่มงบหลายหมื่นล้านบาท เมื่อปี 2011 เข้าซื้อกิจการห้างในตำนานของอิตาลี “ลา รีนาเชนเต” อายุเก่าแก่กว่า 150 ปี ฮือฮาว่าเป็นหนึ่งในดีลใหญ่ที่สุดของวงการค้าปลีกโลก

...

ปกติการสร้างห้างสรรพสินค้าทั่วไปใช้เวลาอย่างเก่งไม่เกิน 3-5 ปี แต่ด้วยทำเลที่ตั้งของห้างรีนาเชนเต สาขาที่ 11 ซึ่งอยู่ในย่านศูนย์กลางประวัติศาสตร์และการวิจัยทางโบราณคดีของกรุงโรม ที่ล้วนแต่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทำให้การก่อสร้างห้างแห่งนี้ต้องเป็นไปอย่างพิถีพิถันละเอียดรอบคอบในทุกมิติ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของกระทรวงวัฒนธรรมอิตาลี

...

เป็นจริงดังคาดซะด้วย เพราะหลังเริ่มก่อสร้างอาคารได้ไม่นาน ก็มีการขุดพบสิ่งมหัศจรรย์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่าง “สะพานส่งน้ำสมัยโบราณของกรุงโรม” (Aqua Virgo Aqueduct) ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี และยังใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน โดยใช้ส่งน้ำไปยังน้ำพุเทรวี และน้ำพุแกรนดิออส ทั้งนี้ การสร้างสะพานส่งน้ำถือเป็นตัวอย่างการปฏิวัติทางวิศวกรรมที่สำคัญของชาวโรมัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนมีน้ำสะอาดไว้ใช้ไว้ดื่มกิน จากเดิมที่เคยใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติท้องถิ่น เช่น น้ำพุ, ลำธาร, แหล่งน้ำใต้ดิน และการกักเก็บน้ำฝนจากหลังคา ทั้งนี้ เพื่ออนุรักษ์มรดกทางอารยธรรมดังกล่าว บริเวณชั้นใต้ดินของห้างได้จัดโซนแสดงนิทรรศการเชิงวัฒนธรรมขึ้นเฉพาะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมสะพานส่งน้ำโบราณของกรุงโรมได้อย่างใกล้ชิด

...

ความอะเมซิ่งของการค้นพบมรดกใต้ผืนดินใจกลางกรุงโรม ยังปลุกเร้าให้ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล ทุ่มงบไม่อั้นเพื่อเนรมิตห้างรีนาเชนเต สาขาที่ 11 ให้เป็นห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ความงดงามทางสถาปัตยกรรมเหนือใคร โดย “สุพัตรา จิราธิวัฒน์” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักนโยบายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ซึ่งเป็นแม่งานใหญ่จัดเอกซ์คลูซีฟทริปครั้งนี้ บอกเล่าอย่างภูมิใจว่า รูปแบบสถาปัตยกรรมของห้างรีนาเชนเต กรุงโรม มีความแตกต่างจากห้างสรรพสินค้าทุกที่ในโลก เพราะเป็นการสร้างอาคารคร่อมอาคารอีกชั้นหนึ่ง ที่เรียกว่า “พาลาเซ็ตโต้” ตามแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูสถาปัตยกรรมเก่าของอิตาลี โดยตัวโถงอาคารมีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องกระทบทุกชั้น ฟาซาดที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของอาคารออกแบบโดย “วินเซนต์ แวน ดาวเซน” โดดเด่นด้วยการตกแต่งกระจกสี่เหลี่ยม 96 แผ่น และ 7 ดิสเพลย์วินโดว์ นับเป็นการผสมผสานประวัติศาสตร์ดั้งเดิมกับความทันสมัยได้อย่างลงตัวน่าทึ่ง

นอกเหนือจากการคัดสรรสินค้าคุณภาพดีที่สุดและคอลเลกชันใหม่ล่าสุดจากทุกแบรนด์ดังระดับโลกมาเอาใจนักช็อป จุดเด่นอีกอย่างของห้างนี้ยังอยู่ที่ “รูฟท็อป” บริเวณชั้น 7 ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงโรมแบบพาโนรามา 180 องศา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดชมวิวงดงามตระการตาที่สุดของเมืองหลวงแห่งนี้ ซึ่งทุกคนต้องมาเช็กอิน และเหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับการเปิดตัวเป็นพันธมิตรระดับพรีเมียมระหว่างการบินไทยกับกลุ่มเซ็นทรัล ที่พร้อมจับมือกันมอบประสบการณ์ดีๆให้นักเดินทางในอนาคต ประเดิมด้วยการมอบส่วนลดช็อปปิ้ง 10% สำหรับผู้โดยสารการบินไทยทุกคนที่นำบอร์ดดิ้งพาสมาแสดงที่ห้างรีนาเชนเต

นับเป็นทริปที่สมบูรณ์แบบ ได้สุนทรีย์ครบทุกประสาทสัมผัสอย่างแท้จริง.


ทีมข่าวหน้าสตรี