ความน่ากลัวของนักเดินทางเริ่มเกิดขึ้น เมื่อต้องปีนเขาที่สูงถึง 4700 เมตร มันไม่ง่ายเลย นพ.ศุภฤกษ์ คุณติสุข คุณหมอที่รักการเดินทางและชอบท่องเที่ยว ในทริปเกียวโตมาราธอน 2018 กล่าว ....
หายใจลำบากทุกขณะ เส้นทางเริ่มชัน การเดินทางไม่สวยหรู เริ่มเหนื่อยล้า แต่ยังตื่นเต้นกับมันทุกขณะจิต หลังจาก นพ.ศุภฤกษ์ คุณติสุข เริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางที่ยากลำบากมากขึ้นทุกที แต่ผู้ร่วมทางของเขายังสู้ นายแพทย์นักสู้ จึงก้าวต่อด้วยใจมาดมั่น
วันนี้พวกเราออกเดินทางแต่เช้าตรู่เช่นเคยด้วยรถบัสประจำทาง เพื่อไปยังจุดหมายถัดไปนั่นคือ เมืองเต้าเฉิง (Daocheng) ซึ่งเป็นการเดินทางที่ทรหดมากที่สุดนับตั้งแต่ออกเดินทาง เนื่องจากใช้เวลาเดินทางเกือบ 14 ชั่วโมงเลยทีเดียว บรรยากาศสองข้างทางเริ่มเห็นภูเขาที่สูงชัน ทุ่งหญ้า ต้นไม้เขียวขจี พื้นที่กว้างใหญ่มองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ผมเริ่มเห็นกระโจมคนเลี้ยงสัตว์ ฝูงวัว เราเริ่มเห็นฝูงจามรีกินหญ้าอยู่ตามยอดเขาสูงตลอดทาง แต่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามเหล่านี้ มันก็เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า

...
ในตอนนี้เรากำลังเข้าเขตพื้นที่สูงและอากาศเริ่มเบาบางมากๆ แล้ว รถบัสขับลัดเลาะไปตามไหล่เขาไปตามถนนที่สูงชันและคดเคี้ยวมากขึ้นทุกทีๆ บางช่วงก็ดูลุ้นและตื่นเต้นมากพอสมควร เพราะนอกจากเส้นทางที่สูงชันมากๆ แล้ว ถนนก็แคบมากทีเดียว และตลอดการเดินทางฝนก็ตกโปรยปรายมาเกือบตลอดเวลา
ช่วงเวลานั้นผมและเพื่อนอีก 2 คน เริ่มรู้สึกมึนศีรษะและรู้สึกอึดอัด หายใจลำบากมากขึ้นเวลาที่รถวิ่งขึ้นเนินสูงๆ เมื่อผมเหลือบไปดูนาฬิกาวัดระดับความสูง ทำให้ผมตื่นเต้นมากทีเดียว เพราะในตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ระดับความสูงถึง 4300 เมตร และบางช่วงก็มีระดับความสูงถึง 4500 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งระดับความสูงมันช่างแตกต่างกันมากจากเมืองคังติง (Kangding) ที่เราพักเมื่อคืนเกือบ 2000 เมตร ในตอนนั้นผมรู้ทันทีเลยว่าตอนนี้พวกเราเริ่มเผชิญกับอาการแพ้ความสูงกันเสียแล้ว..!!!
เราเดินทางถึงที่พักช่วงหัวค่ำ ด้วยสภาพเหนื่อยล้ากันพอสมควร แต่พวกเราจำเป็นต้องรีบสอบถามข้อมูลการเดินทางให้ได้มากที่สุดจากพนักงานโรงแรมที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง เพื่อเตรียมตัววางแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน เนื่องจากไม่มีใครพูดภาษาจีนและภาษาทิเบตกันได้เลย

เราออกเดินทางตามแผนที่วางเอาไว้แต่เช้าตรู่เช่นเคย จุดหมายก็คือ Xiogdeng monastery ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ในเมืองเต้าเฉิง วัดแห่งนี้เนื่องจากเป็นวัดที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน จึงเป็นวัดที่ถูกซ่อนเร้นจากโลกภายนอกพอสมควร เส้นทางค่อนข้างทุรกันดาร นอกจากนี้ ข้อมูลในการเดินทางเราได้รับจากชาวบ้านในท้องถิ่นเป็นหลัก เราต้องอาศัยการขี่จักรยานและเดินเท้าต่อไปยังวัดที่อยู่บนยอดเขาที่ระดับความสูงกว่า 4110 กม. ในตอนแรกผมคิดว่าระยะทางคงไม่ไกลมาก แต่สุดท้ายใช้ระยะเวลาในการเดินทางไปและกลับกว่า 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว ตลอดเส้นทางวิวที่งดงามของภูเขาที่สูงชัน ท้องฟ้าที่สดใส ทะเลสาบและทุ่งหญ้าที่มีฝูงจามรี ทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยเอาไว้ชั่วคราว ระหว่างทางผมได้ผ่านหมู่บ้านที่มีวิถีชีวิตของชาวทิเบตแบบดั้งเดิม คนทิเบตเป็นมิตรและมีน้ำใจอย่างมาก ผมได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านตลอดทาง มีเด็กน้อยวิ่งเข้ามาหาคนแปลกหน้าอย่างพวกเราเพื่อช่วยเหลือและบอกทาง พูดคุยกันไปก็หัวเราะและยิ้มกันไปเพราะคุยกันคนละภาษา

หลายเหตุการณ์ตลอดการเดินทางมาในครั้งนี้มันทำให้ผมประหลาดใจและเชื่อว่า
...
“ไม่มีคำว่าบังเอิญในโลกใบนี้” เป็นความจริง ทุกๆ อย่างเกิดจากเหตุและปัจจัยเสมอ สุดท้ายพวกเราใช้เวลาไปและกลับกว่า 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว อากาศที่ร้อนอบอ้าวและแสงแดดที่แรงมากกว่าปกติ ในวันนี้ทำให้ผิวหนังเริ่มแสบร้อน และอ่อนเพลียอย่างมาก ได้เวลาพักผ่อนแล้วในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ภารกิจที่สำคัญและยากที่สุดในการเดินทางมาในครั้งนี้รอพวกเราอยู่ การเดินทางเพื่อเผชิญหน้ากับความสูงกว่า 4700 ม. ที่อุทยานแห่งชาติย่าติง

อุทยานแห่งชาติย่าติง (Yading National Park) เราใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึง ดังนั้นเรามีเวลามากพอที่จะสำรวจเส้นทาง และวางแผนการเดินเขาในวันถัดไป โดยพวกเราจะเริ่มต้นเดินจากจุดที่มีความสูง 3900 ม. แล้วใช้ระยะเวลาในการเดินเกือบ 6 ชม. ผ่านทุ่งหญ้าลั่วหยง (Luorong), ทะเลสาบน้ำนม (Milk lake) เพื่อไปยังจุดหมายที่ทะเลสาบห้าสี (Five Color Lake) ที่ความสูงกว่า 4700 ม. แต่ก็ขึ้นกับสภาพร่างกายของเราด้วยว่าไหวแค่ไหน ที่สำคัญก็คือ ต้องเผื่อแรงเพื่อเดินลงเขาอีกด้วย ดังนั้นแล้วเราอาจต้องใช้เวลาไปกลับถึง 12-13 ชั่วโมงก็เป็นได้ !!! ขึ้นกับว่าเราเดินได้เร็วแค่ไหน พวกเราจึงเตรียมแผนสำรองเผื่อเอาไว้ด้วยเช่นกัน กรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
...
ในเช้าตรู่วันถัดมา ก่อนเริ่มต้นเดิน มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างคอยเตือนผมว่าการเดินเขาในครั้งนี้มันเป็นภารกิจที่ยากและลำบากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลยว่ามีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า ผมย้อนนึกถึงวันแรกที่ผมตัดสินใจออกเดินทางมาทิเบตด้วยความมุ่งมั่น ผมนึกถึงอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟันมาตลอดการเดินทาง ต้องยอมรับเลยว่าหากไม่มีเพื่อนร่วมเดินทาง ผมคงลำบากมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว หัวใจดวงนี้รู้สึกซาบซึ้งกับมิตรภาพที่ดีที่เพื่อนมีให้กันตลอดการเดินทาง ผมจึงหันไปบอกเพื่อนทั้ง 2 คนว่า “ทุกคนดูตัวเองดีๆ นะ เอาเท่าที่ตัวเองไหว…..เรารักพวกนายนะ!!!” แล้วพวกเราก็แยกกันเดินตามลำพังตามที่พวกเราตั้งใจในการเดินทางมาครั้งนี้นั่นก็คือ ต้องการเรียนรู้และฝึกฝนตนเอง
เมื่อเริ่มเดินทางอากาศที่ร้อนสลับกับมีฝนตกเกือบตลอด ทำให้อุปสรรคในการเดินมีมากขึ้น ผมต้องเผชิญหน้ากับความสูงที่เริ่มชันมากขึ้นทุกทีๆ หัวใจของผมเต้นแรงมากและเริ่มหายใจเหนื่อยจนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ที่ระดับ 4400 เมตร ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยมากๆ เนื่องจากความชันของภูเขาทำให้ต้องออกแรงมากขึ้นหลายเท่าตัว แต่สุดท้ายพวกเราก็มาถึงจุดนัดหมายกันได้สำเร็จทุกคน โดยใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว

...
หลังจากนั้นผมจึงตัดสินใจเดินต่อลำพังคนเดียว เนื่องจากเพื่อนทั้ง 2 คน เริ่มเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนจำเป็นต้องเก็บแรงเอาไว้สำหรับเดินลงเขาอีกอย่างน้อย 5 ชั่วโมง น้ำดื่มที่เตรียมมาเหลือน้อยเต็มที ที่สำคัญฝนก็เริ่มตกเบาๆ อีกต่างหาก ผมมุ่งมั่นที่จะนำธงมนตราแบบชาวทิเบตไปผูกไว้ที่จุดสูงสุดที่ระดับความสูงมากกว่า 4700 ม. ตามความเชื่อและศรัทธาแบบพุทธศาสนานิกายมหายาน

เมื่อผมเริ่มออกเดินทาง มันเหมือนเป็นการเดินอยู่ในหุบเขาสูงเพียงลำพังคนเดียวอย่างแท้จริง เพราะตลอดเส้นทางไม่มีคนเดินผ่านมาเลย ทางเดินที่เริ่มชันมากขึ้นทุกทีๆ ทำให้หัวใจเต้นแรงและหายใจเหนื่อยอย่างมาก จนต้องหยุดพักป็นระยะๆ แม้ร่างกายของผมจะอ่อนเพลียมากแค่ไหน แต่น่าแปลกใจว่า ผมกลับรู้สึกตื่นตัวและตื่นโพรงจากภายในอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แบบทดสอบมีมากขึ้นทุกขณะ ฝนเริ่มตกเบาๆ ขณะที่เดินไปได้แค่เพียงครึ่งทาง น้ำดื่มที่เตรียมมาก็หมด ที่สำคัญเครื่องมือนำทางก็ใช้งานไม่ได้ !!! ผมค่อยๆ เดินขึ้นเขาจนเริ่มพบว่า ทะเลสาบที่เป็นจุดนัดรอของเพื่อนๆ ในตอนนี้ค่อยๆ ห่างออกไปและหายไปในที่สุด ผมได้แต่มองและพยายามเดินไปยังเนินเล็กๆ ข้างหน้าทีละจุด แต่ยิ่งเดินไปก็ยังมองไม่เห็นจุดหมายสักที จนในที่สุดมีคำถามผุดขึ้นมามากมายว่า
“มาทำไมที่นี่ มาเพื่ออะไร?” ผมจึงหยุดเดินแล้วหันหลังกลับ ในเสี้ยวนาทีนั้นเองผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือ “จามรีสีดำตัวใหญ่ยืนกินหญ้าอยู่เพียงตัวเดียวบนเนินหินใกล้ๆ กับตัวผม ซึ่งน่าแปลกใจมากเพราะปกติจามรี มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ตอนนั้นเองผมเริ่มรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวตามลำพังท่ามกลางหุบเขาที่สูงใหญ่แห่งนี้ ในเวลานี้ไม่มีใครเลยจริงๆ นอกจากตัวผมกับจามรีสีดำตัวนี้ ผมสัมผัสได้ถึงความกลัวแบบสุดขีด!!! ในขณะนี้ผมไม่มีทางหนีและไม่มีทางเลือกใดๆ เลย นอกจากต้องเผชิญหน้ากับ “ความกลัว” แบบตรงไปตรงมา เมื่อผมได้เฝ้ามอง “ความกลัว” ที่มีอย่างมากมายเต็มหัวใจ สุดท้าย “ความกลัว” ก็เหมือนกับเฆมหมอกที่มาบดบังดวงอาทิตย์….ผ่านมาแล้วก็ต้องผ่านไป ความกลัวมันค่อยๆ จางหายไปในที่สุด ผมสัมผัสได้ถึงความโปร่งโล่งสบายภายในใจ


ผมจึงเริ่มเดินต่อไปทีละก้าวๆ จนในที่สุดผมก็มาถึงจุดหมายตามที่ตั้งใจไว้ ผมได้ผูกธงมนตราและกราบอัษฎางคประดิษฐ์ เพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ช่วงเวลานั้นแม้จะมีฝนโปรยปรายแต่ธรรมชาติภายนอกงดงามมากจริงๆ รอบตัวผมมีแต่ขุนเขาก้อนเมฆที่สวยงามโอบล้อมตัวผม ผมรู้สึกได้ถึงการปลดเปลื้องพันธนาการบางอย่างภายในใจ ผมสัมผัสได้ถึงความสุขที่มีอยู่ภายในใจ มันพิเศษมากจริงๆ ในที่สุดผมก็เดินกลับมาเจอเพื่อนๆ ที่รอผมอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึง 2 ชม.ในการเดินขึ้นเขา แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากและน่าจดจำ การเดินทางมาทิเบตในครั้งนี้เพื่อค้นหาความหมายและออกตามหา “ชัมบาลา” ให้เจอในดินแดนแห่งศรัทธาที่ชื่อ “ทิเบต” เป็นการเดินทางที่พิเศษและมีเรื่องราวประทับใจมากมาย
"ชัมบาลา" ในทางกายภาพ คือ ดินแดนแห่งสันติสุขในทิเบต ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันมานาน
แต่สำหรับผมแล้ว "ชัมบาลา" ภายในใจ คือ การค้นพบความสุขและสันติภายในใจ การได้อยู่ลำพังคนเดียวท่ามกลางธรรมชาติภายนอกที่งดงาม ทำให้มองเห็นธรรมชาติภายในใจได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าอยู่ในสภาวะที่ไร้ซึ่งสิ่งพึ่งพาใดๆ และยอมศิโรราบต่อธรรมชาติภายนอก จะทำให้เรารู้ได้เลยทันทีว่า “เราเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ทำให้เราเข้าใจความเสมอภาค ความเป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมชาติภายนอกและธรรมชาติภายในมากยิ่งขึ้น” นี่ละมั้งคือที่เค้าเรียกกันว่า "ชัมบาลา"
......แล้วคุณละค้นพบ "ชัมบาลา" ภายในใจหรือยัง?
เครดิต
คอลัมน์ของ นพ.ศุภฤกษ์ คุณติสุข คุณหมอที่รักการเดินทาง ชอบท่องเที่ยว ชอบตั้งคำถาม เป็นคุณหมอที่มีความคิด ความอ่านลึก เราจะไม่ค่อยพบในกระแสหลักสักเท่าไหร่ หันมาเขียนหนังสือเพราะการชักชวนของ Raydo ในทริปเกียวโตมาราธอน 2018 จุดประสงค์หลักเพราะอยากถ่ายทอดความคิดดีๆ อยากสื่อสาร ส่งผ่านกำลังใจดีๆ ผ่านตัวหนังสือ
ติดตามได้ที่ : Doctorrunners