หลังจากได้รับคำเชิญให้ไปสัมผัสความสบายที่โรงแรมบันยันทรี ลางโก ที่ดานังแล้ว นอกเหนือจากกินๆ นอนๆ อยู่ในโรงแรม ทริปนี้ผมยังได้ไปเที่ยวเมืองที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจอย่างเว้และฮอยอัน

โชคดีของดานังคือเป็นเมืองที่อยู่ตรงกลางระหว่างเว้กับฮอยอัน ทำให้การเดินทางไปเที่ยวสองเมืองดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสะดวกสบาย ใช้เวลาเดินทางจากดานังสู่เว้ หรือจากดานังสู่ฮอยอันเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเศษๆ หากแต่เราอาจถึงที่หมายได้เร็วกว่านี้ ถ้าไม่ติดกฎหมายของเวียดนามที่ห้ามขับรถเร็วกว่า 60 กม./ชม.

บอกก่อนเลยว่าผมมาเวียดนามครั้งนี้เป็นครั้งแรก อาจไม่ได้ไปกรุงฮานอย เมืองหลวงที่มีอายุเก่าแก่นับพันปี หรือเมืองค้าขายอย่างโฮจิมินห์ซิตี้ ที่หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมืองหลวงของเวียดนาม แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเข้าใจประเทศเวียดนาม คนเวียดนาม และวัฒนธรรมของเวียดนามอย่างล้ำลึกอยู่บ้าง


เอาเฉพาะดานังเท่าที่ผมกวาดสายตาดูเมืองชายทะเลแห่งนี้ กำลังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว สร้างความเจริญ เห็นได้จากเครือโรงแรมระดับโลกต่างทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่ติดทะเลเพื่อสร้างที่พักระดับห้าดาว ไม่นับโรงแรมเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้า อีกสิ่งที่น่าสนใจคือความเป็นระเบียบเรียบร้อยบริเวณชายหาด ไม่มีหาบเร่แผงลอยอย่างในบ้านเรา

เวียดนามเป็นประเทศที่ผ่านอะไรมาเยอะ ผ่านการต่อสู้เพื่อเอกราชจากจีนนับพันปี ผ่านการต่อสู้ระหว่างราชวงศ์ต่างๆ ที่ปกครองเมืองในเวียดนาม จนกลายเป็นการแบ่งแยกเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ผ่านการต่อสู้ในสงครามอินโดจีนเมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ให้กับเวียดมินห์ในศึกเดียนเบียนฟู ผ่านการต่อสู้ในสงครามเวียดนามเมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้ในศึกสงครามใต้ดินจากการโจมตีของเวียดกง

...

ฮอยอัน

จากโรงแรมเรานั่งมินิบัสไปฮอยอัน คราวนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว แต่มีไกด์หนุ่มนามว่า ‘หวง’ มาด้วย เขาเป็นไกด์ของโรงแรม หวงพูดภาษาอังกฤษในระดับดีเยี่ยม ความรู้ทางประวัติศาสตร์ก็เข้าขั้นแฟนพันธุ์แท้ เขาดูแลเราอย่างดีทั้งน้ำเย็นผ้าเย็นมิได้ขาด พร้อมบอกเราตลอดการเดินทางว่าถึงตรงไหนแล้ว อีกกี่นาทีจะถึงจุดหมาย หรือคุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเวียดนามถามเขาได้ เขามีคำตอบให้เสมอ

แต่ก่อนที่จะไปถึงฮอยอัน เขาพาไปไหว้สักการะเจ้าแม่กวนอิมที่วัดลิงอึ๊งบ๊ายบุต หรือวัดเจ้าแม่กวนอิม ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน โดยองค์เจ้าแม่กวนอิมมีความสูงถึง 67 เมตร หันหน้าออกสู่ทะเล ส่วนสาเหตุที่ต้องสร้างเจ้าแม่กวนอิม หวงบอกว่าเป็นความเชื่อของคนที่นี่ เขาเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมจะคอยปกปักรักษาให้ดานังรอดพ้นจากภัยพิบัติทางทะเล พอออกจากวัดเจ้าแม่กวนอิม เรานั่งรถไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็ถึงฮอยอัน มันยังเป็นช่วงบ่ายๆ ที่แดดจ้า ฮอยอันเวลานี้ดูไม่มีเสน่ห์มากนัก มีนักท่องเที่ยวบ้างประปราย แต่ร้านรวงโดยมากก็ปิดอยู่

“ตอนนี้คนน้อย ต้องรอช่วงเย็นๆ จะครึกครื้นกว่านี้” หวงบอกราวกับรู้ใจผม

หลังจากเราซื้อตั๋วเข้าชมเสร็จแล้ว เขาก็พาเราเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะหยุดตรงที่หนึ่ง ซึ่งเบื้องหน้าเป็นสะพานข้ามคลองเล็กๆ ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าประวัติศาสตร์ของฮอยอันว่าเดิมเคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายในคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 และเป็นเมืองท่าสำคัญของปากแม่น้ำทูโบน ทำให้มีชาวต่างชาติเดินเรือเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ส่งผลให้สถาปัตยกรรมในฮอยอันมีความหลากหลาย ก่อนจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกในปีค.ศ. 1999

...

“คุณเห็นสะพานญี่ปุ่นนั่นไหม มันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ถ้าคุณมาฮอยอันแล้วไม่ได้เห็นสะพานนี้ก็เหมือนมาไม่ถึง” หวงชี้ไปที่สะพานตรงหน้าผม โดยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เมื่อเขาอธิบายความเป็นมาของฮอยอันเสร็จแล้ว เขาก็พาเดินแนะนำสถานที่ต่างๆ ในเมืองฮอยอันสักพัก ก่อนที่จะปล่อยให้ผมใช้เวลาเดินเองได้ตามสบายใจ แล้วค่อยกลับมาเจอกันตอนช่วงเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง ซึ่งเขาได้จองไว้เรียบร้อยแล้ว

ฮอยอันมีความคล้ายหลวงพระบางในความรู้สึกผม หากแต่ฮอยอันดูจะมีสีสันมากกว่า มีร้านกาแฟชิคๆ ไปจนถึงร้านกาแฟโบราณ ร้านชา ร้านขายของที่ระลึก เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ตลอดสองข้างทาง มีตลาดสดที่ขายของพื้นเมืองที่น่าสนใจ และหากคุณอยากได้กาแฟเวียดนามในราคาย่อมเยาก็หาซื้อได้ที่ตลาดแห่งนี้เช่นกัน

ช่วงเย็นๆ การมาเดินริมแม่น้ำทูโบน ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ตัดผ่านฮอยอัน ช่างเป็นเรื่องที่ดีงามประมาณหนึ่ง เราจะได้เห็นความคึกคักของเมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นจะทยอยมาเดินเล่นริมแม่น้ำ ร้านอาหารหลายร้านเริ่มมีผู้คนมาจับจองโต๊ะที่นั่ง ยิ่งดึกยิ่งครึกครื้น ทั้งรถทัวร์ รถตู้ และรถมอเตอร์ไซค์ ต่างพากันขับเข้ามาจอดอย่างไม่ขาดสาย ส่วนผมที่ใช้พลังขาเดินเที่ยวฮอยอันตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็นก็เริ่มหิวเสียแล้ว เราจบลงด้วยร้านอาหารที่หวงจองเอาไว้ ก่อนที่จะกลับโรงแรมโดยทิ้งความวุ่นวายของฮอยอันไว้ข้างหลัง

เว้

ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเว้มากนัก รู้แต่ว่าเป็นเมืองสำคัญที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจของเวียดนาม แต่ก่อนที่จะไปถึงตัวเมืองเว้ หวงพาเราไปสุสานจักรพรรดิไคดิงห์ สุสานของกษัตริย์องค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์เหงียน โดยใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 11 ปี (ช่วงระหว่างปี 1920-1931) ความน่าสนใจของที่นี่หนึ่งคือความอลังการของสุสานที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ชนิดที่ต้องเดินขึ้นบันไดนับร้อยขั้น สองคือความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลสไตล์ ส่วนภายในเป็นความงดงามแบบเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องหลากสี ภาพวาด เป็นต้น สามคือความมั่นคงแข็งแรงจากคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี

...

หลังจากเราเดินชมสุสานจักรพรรดิไคดิงห์อยู่สักพัก ก็ถึงเวลาที่เราจะเดินทางต่อเข้าตัวเมืองเว้ ไม่นานนักเรามาหยุดอยู่ตรงหน้าพระราชวังเว้ ตามข้อมูลเว้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของเวียดนามภายใต้ราชวงศ์เหงียน และที่นี่เองก็เป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนทั้ง 13 พระองค์เช่นกัน

พระราชวังเว้มีความคล้ายคลึงกับพระราชวังในเมืองจีน หากแต่ถูกย่อส่วนลงมา มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงหลายชั้นล้อมรอบ มีพระตำหนักชั้นในชั้นนอกตามลำดับชั้นความสำคัญ

หวงพาผมเดินมายังสถานที่หนึ่ง ซึ่งรวบรวมแผ่นป้ายดวงพระวิญญาณของกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนทั้งหมด เขาให้ผมหยุดอยู่ตรงแผนผังที่อธิบายการสืบราชบัลลังก์ของราชวงศ์เหงียน จากนั้นเขาก็เริ่มเราประวัติศาสตร์ความเป็นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้เรารู้ว่านี่คือเรื่องราวการสิ้นสุดการปกครองภายใต้ระบอบกษัตริย์ของเวียดนาม

...


หวงบ่นกับผมว่าน่าเสียดายที่พระตำหนักข้างในหลายๆ องค์ ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือซากจากทั้งสงครามอินโดจีนและสงครามเวียดนาม ทำให้เราได้แต่จินตนาการไปว่าตรงที่รกร้างว่างเปล่านั้นมันคืออะไร

ระหว่างเดินกลับมาขึ้นรถ ผมถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรกับสงครามและการสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ในเวียดนาม

“ความจริงก็คือความจริง” เขาตอบสั้นๆ พลางยักไหล่ให้ผม

เวียดนามในวันนี้อาจเจริญก้าวหน้าไปมาก หากแต่ประวัติศาสตร์ของประเทศชาติในอดีตกลับถูกเล่าออกมาอย่างไม่รู้เบื่อผ่านคนหนุ่มอย่างหวง แม้ความจริงนั้นจะน่าเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม

ที่มา - GQ Thailand
www.gqthailand.com