พูดถึงการท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์แบบชิลๆ หลายคนคงนึกถึงไลฟ์สไตล์มอลล์ ตลาดนัดสุดฮิป และงานอีเวนต์เก๋ๆ ที่ผุดขึ้นมาเอาใจคนรุ่นใหม่มากมาย แต่ถ้าอยากออกไปเที่ยวนอกเมืองแบบใกล้กรุงล่ะก็...ลองแวะไปที่ CORO field ฟาร์มมิ่งสไตล์ญี่ปุ่นแห่งแรกในเมืองไทย
วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปบุกไลฟ์สไตล์ฟาร์มมิ่งแห่งนี้ แว่วมาว่าที่นี่เพิ่งจะแนะนำตัวกับนักท่องเที่ยวได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น ใหม่สดซิงมากๆ เริ่มอยากรู้กันแล้วใช่มั้ยว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง เอาล่ะ อย่ารอช้า ตามมาชม 5 สิ่งเก๋ไก๋สุดฮิปของฟาร์มแห่งนี้กันเลย
1. ฟาร์มโคโร่ฟิลด์ 104 ไร่
ฟาร์มโคโร่ฟิลด์ (CORO field) ตั้งอยู่ที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 104 ไร่ ตอนนี้เพิ่งทำเฟสแรกไป 15 ไร่ ซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน เริ่มก่อตั้งมาประมาณ 3 ปี แต่เพิ่งจะเปิดตัวได้เพียงไม่กี่เดือน
ที่ดินแปลงนี้เคยเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ชาวบ้านเล่าว่าปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น แต่ พอท มิตรดนัย สถาวรมณี และ พีท พันดนัย สถาวรมณี สองพี่น้องเจ้าของฟาร์ม บอกว่า อยากลองทำให้ชาวบ้านที่นี่เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แบบไหน ถ้าเอาองค์ความรู้มาจับ มันก็พัฒนาให้ดีขึ้นได้
...
"เราเริ่มพัฒนาดิน หาแหล่งน้ำ และปลูกผักดู ปรากฏว่าทำได้ และพันธุ์พืชที่ฟาร์มเราใช้ก็เป็นพืชที่ทุกคนไม่คิดว่ามันจะปลูกในไทยได้ เช่น เมล่อนญี่ปุ่น มะเขือเทศเชอรี่ ถั่วแระญี่ปุ่น มันม่วงญี่ปุ่น โดยไอเดียหลักๆ คือ อยากทำที่นี่ให้เป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ หันมาสนใจการเกษตรมากขึ้น เป็นสถานที่สำหรับคนเมืองที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ ได้มีสถานที่ผ่อนคลายความเครียด ได้ชมสวนแนวญี่ปุ่น สดชื่นสบายตา มาใช้ชีวิตช้าๆ ดูบ้าง" ทั้งสองเล่า
ฟาร์มแห่งนี้แตกโจทย์คำว่า 'เกษตร' ออกมาในหลากหลายมิติ เริ่มจากจุดยืนที่เรียกว่า ไลฟ์สไตล์ฟาร์มมิ่ง เพื่อให้มีความเชื่อมโยงและเข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ทุกคนสามารถนำการเกษตร เข้าไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
โดยในฟาร์มจะปลูกพืชผักเอง นำผลผลิตนั้นมาปรุงอาหาร ขยายไปสู่การทำฟาร์มมิ่ง นำผลิตผลอื่นๆ มาตีโจทย์ออกมาเป็นของใช้ของที่ระลึก เช่น กระเป๋า สมุดออร์แกนิก เป็นต้น และยังมีสถานที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ด้วย โดยมีสโลแกนเก๋ๆ ว่า 'ที่นี่ไม่ได้ปลูกแค่พืชผัก แต่ปลูกแรงบันดาลใจด้วย' (We Plant Inspiration)
2. โทมิเมล่อน หวาน หอม อร่อย ส่งตรงจากฮอกไกโด
จุดเด่นของที่นี่ก็คือ เป็นแหล่งปลูกเมล่อนญี่ปุ่นแท้ สายพันธุ์จากฮอกไกโด ซึ่งใช้ชื่อว่า Tomi Melon เนื้อสีเขียว กรอบ เปลือกสีทอง มีความหวานได้มาตรฐานของญี่ปุ่นอยู่ที่ 17 บริกซ์ขึ้นไป (brix คือ หน่วยวัดค่าความหวานผลไม้) ทานแล้วหวาน สดชื่น กลิ่นหอมอบอวล การปลูกเมล่อนของที่นี่ใช้น้ำแร่จากตาน้ำใต้ชั้นหินแกรนิตที่อยู่ลึกลงไป 133.7 เมตร มารดน้ำต้นเมล่อน
...
โดยน้ำแร่นี้ถูกนำไปตรวจสอบที่ ห้องปฏิบัติการกลางแห่งประเทศไทย วัดเป็นหน่วยต่อลิตร ซึ่งได้ผลออกมาว่า ในน้ำมีแร่ธาตุสารอาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืชมากมาย มีทั้งฟอสฟอรัส ไนโตรเจน โพแทสเซียม เหล็ก แคลเซียม สังกะสี เป็นต้น ซึ่งเป็นตาน้ำที่พบในพื้นที่ฟาร์มแห่งนี้ ในอนาคตมีแนวคิดจะผลิตน้ำแร่บรรจุขวดอีกด้วย
3. สำรวจบ้านน้องเมล่อน
Coro House เป็นโรงเรือนปลูกเมล่อน นำเทคโนโลยีโรงเรือนสมัยใหม่ นำเข้ามาจากประเทศอิสราเอล นำเมล่อนมาปลูกอย่างดี มีการควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนตลอดเวลา ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และรดน้ำด้วยน้ำแร่ใต้ชั้นหินคุณภาพดี
โดยเมล่อนของที่นี่ผ่านการทดลองปลูกหลายรอบ จนได้ต้นที่แข็งแรงที่สุด จากนั้นนำต้นที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เอามาเพาะพันธุ์ต่อ แล้วจึงนำมาปลูกในโรงเรือน โดยแต่ละต้นจะให้ผลผลิตที่ดีที่สุดเพียง 1 ลูกเท่านั้น โดยผ่านการผสมเกสรด้วยมือ เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละต้นสามารถออกลูกได้แน่นอน และไม่มีแมลงมารบกวน
...
นอกจากนี้ยังต้องหมั่นดูแลและเปลี่ยนรุ่น (ปลูกต้นใหม่) ทุกๆ 3 เดือน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ได้คุณภาพมากที่สุด ตรงตามมาตรฐานของ CORO field
4. คาเฟ่เก๋ๆ ชิมของอร่อยจากฟาร์ม
นอกจากนี้ ยังมีโซนที่เรียกว่า CORO CAFE และ CORO MARKET ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของฟาร์ม ภายในเป็นร้านอาหารและเป็นตลาดเล็กๆ ให้ได้เลือกชมเลือกซื้อสินค้าจากฟาร์ม
...
ในส่วนของร้านอาหาร ก็มีบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม โดยนำผลผลิตจากฟาร์มมาปรุงให้ทานกันสดๆ มีทั้งสลัด ข้าวหน้าหมูสไตล์ญี่ปุ่น ข้าวราดปลาทอดกะเพรากรอบ สปาเกตตีคาโบนาร่า ฯลฯ อีกทั้งมีขนมหวาน เช่น บราวนี่ สโคน ส่วนเครื่องดื่มแนะนำก็คือ เมล่อนครีมชีส เป็นเมล่อนปั่นรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ดื่มแล้วสดชื่น
ส่วนในโซนโคโร่มาร์เก็ต มีซุ้มจำหน่ายผลผลิตสดๆ จากฟาร์ม และผลิตภัณฑ์แปรรูป ได้แก่ มะเขือเทศสายพันธุ์จากฮอลแลนด์แท้ คือ Red Cherry Tomato ผลกลม เปลือกบาง รสชาติมะเขือเทศเข้มข้น และ Yellow Cherry Tomato ผลทรงเรียวยาว เปลือกหนา รสชาติหวานแต่ไม่เลี่ยน
ส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูป ได้แก่ แยมเมล่อน น้ำสลัด Red Tomato soysauce น้ำสลัด Melon Sesame สไปซี่มาโย ซอสมะม่วง ซอสทาทาร์ เป็นต้น และส่วนนี้จะรับพืชผลการเกษตรของชาวบ้านใกล้เคียงมาขายด้วย เป็นการเพิ่มพื้นที่การขายสินค้าให้คนในชุมชน
5. กิจกรรมสนุกๆ ไลฟ์สไตล์โคโร่ฟาร์ม
มาปิดท้ายกันกับกิจกรรมดีๆ ในโซน Grow and Harvest (ปลูกและเก็บเกี่ยว) เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาลองปลูกผักในแปลงกับ 5 สเต็ปง่ายๆ คือ หยิบตะกร้า สวมผ้ากันเปื้อน ใส่ถุงมือ พรวนดินแปลงปลูกพร้อมขุดหลุมตื้นๆ นำต้นกล้าลงแปลงปลูก กลบดิน พอปลูกเสร็จ ก็จะให้เก็บเกี่ยวผลผลิตสดๆ กลับบ้าน เช่น ผักสลัด มะเขือเทศ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีโซน Coro Me มีการเวิร์กช็อปจัดสวนในขวดโหล จัดต้นไม้และบอนไซ โดยมีการจำหน่ายพันธุ์พืชต้นเล็กๆ แล้วให้เอามาตกแต่งในสไตล์ของตัวเอง มีทั้งแคคตัส พันธุ์ไม้แต่งสวนต่างๆ และมีสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ต่อยอดจากการทำฟาร์มมิ่ง เช่น ของตกแต่งบ้าน ถุงผ้า ปากกา ต้นหญ้า สมุดออร์แกนิก ร่ม กระถาง เป็นต้น
เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของสวนผึ้ง ที่คนรุ่นใหม่อย่างคุณไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมด้วยประการทั้งปวง!