แฝดสยามเพศหญิงชาวแคนาดา มีสมองเชื่อมติดกัน เมื่อคนใดคนหนึ่งรับสัมผัสและอารมณ์ต่างๆ อีกคนก็รู้สึกเช่นกัน นักวิจัยสมองหวังว่า แฝดหญิงคู่นี้จะช่วยหาคำตอบให้กับคำถามสำคัญคำถามหนึ่งของมนุษยชาติ นั่นคือ ความรู้ตัว (consciousness) คืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เด็กหญิงฝาแฝดชาวแคนาดา ชื่อ ทาเทียน่า กับ คริสต้า โฮแกน เป็นเด็กที่แปลกไม่เหมือนใครในโลก โดยนอกจากศีรษะจะติดกันจนถึงคอแล้ว ทั้งสองยังใช้สมองส่วนสำคัญร่วมกันอีกด้วย ศูนย์ควบคุมการมองเห็นของเด็กทั้งสองเชื่อมติดกัน และมีสัญญาณประสาทหลั่งไหลไปมาระหว่างสมองของทั้งคู่ เมื่อแฝดคนหนึ่งมองอะไร อีกคนก็เห็นสิ่งนั้นด้วย แม้ว่าตาจะมองไปคนละทิศ พ่อแม่ของทาเทียน่าและคริสต้า เล่าว่า บางครั้งทาเทียน่าจะหัวเราะไปกับหนังการ์ตูนทางโทรทัศน์ แม้ว่าเครื่องรับโทรทัศน์จะตั้งอยู่ข้างหลังเธอ และมีคริสต้าเพียงคนเดียวที่มองเห็น
การมีสมองเดียวในสองร่างแบบทาเทียน่ากับคริสต้านี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง แฝดสยามส่วนใหญ่ที่เกิดมามีศีรษะติดกัน จะมีส่วนที่เชื่อมติดกันเพียงแค่กะโหลกศีรษะและระบบไหลเวียนโลหิตบางส่วน ทำให้สมองของทั้งสองใช้โลหิตร่วมกัน แฝดสยามลักษณะนี้มีเพียงร้อยละ 6 และพบในทารกเพียง 1 ใน 2.5 ล้านรายเท่านั้น
...
ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกามีแฝดสยามที่เกิดมามีศีรษะติดกันเพียงปีละไม่กี่ราย เกือบครึ่งหนึ่งเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และอีกร้อยละ 25 จะเสียชีวิต ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด แต่ทาเทียน่ากับคริสต้า รอดชีวิตมาจนโต ปัจจุบันอายุ 6 ขวบ และมีพัฒนาการในเรื่องสำคัญๆ เหมือนเด็กทั่วไป
การวิจัยที่ถูกโต้แย้ง
ดักลาส ค็อกแรน ประสาทศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลเด็กแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ได้ติดตามศึกษาฝาแฝดคู่นี้มาตั้งแต่เกิด และได้ตรวจร่างกายทั้งสองมาหลายครั้ง เมื่อทาเทียน่ากับคริสต้าอายุ 2 ขวบ หมอค็อกแรนทำการทดลองปิดตาคริสต้า แล้วติดอิเล็กโทรดบนศีรษะของเธอ เพื่อตรวจความเปลี่ยนแปลงของศูนย์ควบคุมการมองเห็นที่เชื่อมติดกับของทาเทียน่า เมื่อหมอฉายไฟฉายเบื้องหน้าทาเทียน่า อิเล็กโทรดบนศีรษะของคริสต้า ชี้ว่า เกิดปฏิกิริยาอย่างแรง ซึ่งบ่งบอกว่าศูนย์ควบคุมการมองเห็นของคริสต้า ก็ได้รับข้อมูลสิ่งที่ทาเทียน่าเห็น ผลการศึกษาของค็อกแรนครั้งนั้น ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ และผู้ที่ไม่เห็นด้วยบางคนก็บอกว่าไม่ควรด่วนสรุปในเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี หมอค็อกแรน เชื่อว่า นอกจากฝาแฝดคู่นี้จะมีประสบการณ์ทางการมองเห็นร่วมกันแล้ว ยังมีประสาทสัมผัสอย่างอื่นร่วมกันด้วย หลายคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดเด็กทั้งสองก็ยืนยันเช่นเดียวกัน โดยแม่ของเด็ก เล่าว่า เมื่อทาเทียน่ากับคริสต้ายังเล็ก เพียงเอาหัวนมหลอกใส่ปากคนใดคนหนึ่ง ทั้งสองคนจะหยุดโยเยทันที ส่วนหมอที่เคยตรวจทั้งสองก็บอกว่า ถ้าเจาะเลือดคนใดคนหนึ่ง อีกคนก็จะร้องด้วย
สมองเชื่อมติดกัน จึงใช้ประสาทสัมผัสร่วมกัน
ผลการสแกนสมอง แสดงให้เห็นว่า สมองของสองพี่น้องเชื่อมติดกันบริเวณตรงกลางของสมองกลีบท้ายทอย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการรับรู้ทางสายตา และสมองกลีบขมับ ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานสิ่งที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด แต่ส่วนอื่นของสมอง เช่น สมองกลีบหน้า ซึ่งเป็นที่เก็บความคิด ความเห็น และการตัดสินใจต่างๆ นั้น แยกกันอย่างสิ้นเชิง สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า ฝาแฝดคู่นี้มีบุคลิกแตกต่างกัน แม่ของทั้งสองบอกว่า ทาเทียน่าเป็นเด็กร่าเริง ส่วนคริสต้านั้นอารมณ์ร้อน ขี้โมโห เวลาไม่พอใจมักจะตี หรือข่วนพี่สาวฝาแฝดเป็นประจำ
ดักลาส ค็อกแรน บอกว่า การรับรู้ทางประสาทสัมผัสร่วมกันของเด็กทั้งสอง ไม่ได้เป็นเพราะสมองกลีบท้ายทอยและกลีบขมับเชื่อมติดกัน แต่เป็นผลมาจากสิ่งที่เรียกว่า "สะพานทาลามัส" (thalamic bridge) ทาลามัส คือ ส่วนหนึ่งของสมอง มีขนาดเท่าลูกวอลนัต อยู่ลึกลงไปในสมองส่วนกลาง และทำหน้าที่ส่งสัญญาณประสาทจากเซลล์รับสัมผัสต่างๆ ทั่วร่างกายไปยังบริเวณที่เกี่ยวข้องในเปลือกสมองใหญ่ เมื่อแสงสว่างตกกระทบจอประสาทตา สัญญาณประสาทจะถูกส่งไปยังศูนย์ควบคุมการมองเห็นในสมองกลีบท้ายทอย โดยผ่านทาลามัส ประสาทสัมผัสอื่นๆ (ยกเว้นประสาทรับกลิ่น) ก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีกระแสประสาทจำนวนมากไหลไปกลับจากกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอีกด้วย
แม้ทาลามัสของทาเทียน่ากับคริสต้า จะอยู่แยกกัน แต่หมอค็อกแรน เชื่อว่า สมองส่วนดังกล่าวของสองฝาแฝดมี "สะพานทาลามัส" เชื่อมต่อกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่เด็กคนหนึ่งได้รับจะเดินทางจากทาลามัสของเธอ ไปยังทาลามัสของพี่สาว หรือน้องสาวฝาแฝด แล้วจึงเดินทางต่อไปยังศูนย์ควบคุมการมองเห็น การฟัง และการสัมผัส ผลก็คือ อีกคนมองเห็น ได้ยิน และรู้สึกเหมือนกับที่พี่หรือน้องฝาแฝดประสบทุกประการ
ทาลามัสยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความรู้ตัว ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมองที่นักวิทยาศาสตร์รู้และเข้าใจน้อยที่สุด นักวิจัยหวังว่า แฝดสยามคู่นี้จะช่วยให้พวกเขาก้าวถูกทางในการทำความเข้าใจว่า สมองสามารถบ่งชี้และทำความเข้าใจว่าอะไรคือข้อมูลที่สำคัญที่สุดในบรรดาข้อมูลมากมายมหาศาลที่ได้รับ ซึ่งความสามารถส่วนนี้ของสมอง ช่วยให้เราสามารถรู้ได้ว่า ตนเองมีความสัมพันธ์อย่างไรกับสิ่งที่อยู่รอบข้าง และทำให้เราเป็นมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัว
ตัวอย่างการทดลองที่ไม่เหมือนใคร
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่เกิดความหวังจากกรณีของทาเทียน่าและคริสต้า คือ ทอดด์ ไฟน์เบิร์ก แห่งวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในนิวยอร์ก ไฟน์เบิร์กได้ศึกษาความรู้สึกตัวของผู้ป่วยที่มีปัญหาเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกถูกตัดขาด ทำให้ไม่สามารถสื่อข้อมูล หรือการกระทำของประสาทสัมผัส ที่ควบคุมโดยสมองซีกหนึ่งผ่านสัญญาณประสาทไปยังสมองอีกซีกหนึ่ง ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องมีเพื่อให้ข้อมูล หรือการกระทำของประสาทสัมผัสนั้นๆ เป็นส่วนหนึ่งของการรู้ตัวของผู้ป่วยได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างโดยที่ตนเองไม่ตระหนักหรือไม่ต้องการทำ แต่กรณีของทาเทียน่ากับคริสต้านั้นตรงกันข้าม โดยแฝดคนหนึ่งรับรู้ได้ถึง
...
สิ่งที่พี่หรือน้องฝาแฝดได้เห็นหรือสัมผัส
นักวิทยาศาสตร์หวังว่า การศึกษาเด็กทั้งสองจะช่วยให้หาคำตอบได้ว่า แฝดคู่นี้รับรู้ข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่ได้รับผ่านดวงตา หู หรือนิ้วของอีกคนได้อย่างไร สมมติว่า ทาเทียน่ากอดตุ๊กตาหมี คริสต้าจะรู้สึกสบายใจเหมือนได้กอดตุ๊กตาเองหรือไม่ ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำการทดลองได้ครบอย่างที่ต้องการ เนื่องจากสแกนเนอร์ที่ต้องใช้ในการวิจัยลักษณะนี้ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับสแกนแฝดสยาม และเด็กทั้งสองก็ยังเล็กเกินกว่าจะมีส่วนร่วมในการทดลอง เพราะยังพูดไม่ได้และยังไม่เข้าใจว่าต้องทำอะไร
ขณะนี้ ทาเทียน่ากับคริสต้าเข้าโรงเรียนแล้ว และตั้งตารอการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นักวิทยาศาสตร์ก็นับวันรอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับสมองและความรู้ตัวของมนุษย์จากเด็กทั้งสองเช่นกัน
แฝดสยามเกิดขึ้นได้อย่างไร
นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่า แฝดสยามเกิดขึ้นด้วยเหตุใด แต่มีทฤษฎีว่า ด้วยการเกิดแฝดสยาม 2 ทฤษฎี คือ
...
1.ไข่ที่ผสมกับสเปิร์มเซลล์ แล้วเริ่มพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะต้น แต่ด้วยเหตุผลใดไม่แจ้ง ตัวอ่อนอาจเริ่มแบ่งตัวเป็น 2 ภายใน 15 วันแรกหลังการปฏิสนธิ โดยต่างพยายามจะพัฒนาเป็นทารก
2.ถ้าการแบ่งตัวเกิดก่อนครบ 12 วัน ก็มักจะแบ่งตัวต่อไปจนตัวอ่อนแยกจากกันสมบูรณ์ เกิดเป็นแฝดเหมือน
3a ทฤษฎีแตกตัว
ถ้าการแบ่งตัวของตัวอ่อนในครรภ์เกิดหลังการปฏิสนธิ 12 วันขึ้นไป อาจแบ่งตัวไม่สมบูรณ์ โดยตัวอ่อนไม่แยกจากกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีพัฒนาการต่อไป ผลที่ได้ คือ แฝดสยาม
3b ทฤษฎีหลอมรวม
ทฤษฎีคู่แข่งที่มีการเสนอครั้งแรกในปี 2000 บอกว่า แฝดสยามเกิดขึ้นเมื่อแฝดเหมือนที่แยกจากกันโดยสมบูรณ์ แล้วกลับมาเชื่อมติดกันอีกครั้ง
การผ่าตัดแยกแฝดสยามประสบความสำเร็จเพียง 1 ใน 4 ราย
แพทย์มีประสบการณ์จำกัดในการผ่าตัดแยกแฝดสยามที่มีศีรษะติดกัน เนื่องจากแฝดสยามประเภทนี้มีน้อยมาก การผ่าตัดก็มีความยุ่งยาก ซับซ้อนสูง และเกิดความผิดพลาดบ่อยๆ แพทย์จึงมักล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือ แต่การผ่าตัดแยกฝาแฝดสยามชาวซูดาน ชื่อ ริทาก กับ ริทัล กาบูราในปี 2011 ประสบความสำเร็จด้วยดี.
ข้อมูลจากนิตยสาร ไซแอนซ์ อิลลัสเตรเต็ด