เป็นทริปเปิดประสบการณ์นอกกรุงโซล เกาหลีใต้ อีกทริปที่น่าประทับใจ สำหรับ Fam Trip ที่จัดโดยเมืองยอซู ร่วมกับการท่องเที่ยวเมืองจอนจู (JeonJu) ของเกาหลีใต้ เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวและกลุ่ม MICE ที่ต้องการมาจัดประชุม สัมมนา หรือ งานเทศกาลใหญ่ๆร่วมกับทั้งสองเมืองนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Jeonju ที่เต็มไปด้วยเทศกาลต่างๆตลอดทั้งปี

จากสนามบินอินชอนประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึง จอนจู เมืองเก่าทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโซลเจ้าภาพต้อนรับคณะด้วย “ซอก กัลบี” หมูย่างกระทะร้อน ที่มาพร้อมเครื่องเคียงหลากหลายตามสไตล์เกาหลี ที่ร้านเก่าแก่ของเมือง ชื่อว่า จงโรเฮวควอน เป็นร้านอาหารเก่าแก่ 45 ปี และเพราะได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งดอกบัว Lotus City ด้วย สูตรเด็ดที่มาพร้อมกันอีกอย่าง ก็คือ ข้าวเหนียวธัญพืชห่อใบบัว ที่หุงร้อนๆ หอมและอร่อยมากๆ

เสร็จจากอาหารมื้อกลางวันอันเลอค่าแล้ว คณะไปเยี่ยมชม สำนักงานการท่องเที่ยวของเมืองจอนจู ที่เรียกว่า JEONBUK เป็นองค์การเฉพาะคล้ายๆกับองค์การมหาชนบ้านเรา ที่นอกจากจะทำหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองแล้ว ยังเป็นสตูดิโอสำหรับกลุ่ม Start Up ที่ต้องการทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวหรือแม้แต่ธุรกิจที่สนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ที่พัก Home Stay หรือ แม้แต่การออกแบบแพลตฟอร์มต่างๆ สำนักงานนี้เพิ่งเปิดมาได้ 2 ปีครึ่ง แต่สามารถสร้าง Content และ ทำการตลาดให้เมืองจอนจู สามารถมีรายได้จากการท่องเที่ยวได้ไม่น้อย ด้วยจุดขายที่มีเสน่ห์ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ในฐานะมืองหลวงทางจิตวิญญาณของราชวงศ์โชซอนในอดีต และ เมืองแห่งการทำอาหารของยูเนสโก ปี 2012 และ จอนจู ยังติดอันดับในรายชื่อ Ultimate Eatlist ของ Lonely Planet ด้วย

...

จาก JEONBUK เราแวะไปจิบกาแฟต่อกันที่ ร้านกาแฟ Sakjang Jungmiso ของ คุณ Lee ea min ที่ลงทุนซื้อบ้านเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี เพื่อทำร้านกาแฟสุดชิค ทั้งยังเก็บรักษาของโบราณที่มาพร้อมกับบ้านหลังนี้ไว้หลายชิ้น ไฮไลท์สำคัญนอกจากดื่มกาแฟแล้ว แนะนำให้ขึ้นไปถ่ายรูปที่หน้าต่างชั้นสองของบ้าน จะได้ภาพสวยๆแบบที่ในชีวิตคุณอาจจะได้ถ่ายรูปแบบนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

อีกอย่างที่พลาดไม่ได้ ถ้ามาที่ จอนจู นั่นก็คือ การใส่ชุดฮันบก เพื่อเดินท่องเที่ยวในหมู่บ้านโบราณที่ Hannoks Village เป็นหมู่บ้านเกาหลีดั้งเดิมสมัยศตวรรษที่ 14 จอนจูมีกลุ่มบ้านประเภทนี้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ยังมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 800 คน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยม เช่าชุดฮันบก ชุดกษัตริย์ ทหาร ขุนนาง สมัยราชวงศ์โชซอน ใส่เดินรอบเมือง เพื่อถ่ายรูป เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าจะจดจำ และยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของราชวงศ์โชซอนที่ปกครองเกาหลีระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึง 19 ซึ่งทำให้ จอนจู เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์แบบเปิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศ

สถานที่สำคัญในหมู่บ้านฮันนก ที่ต้องไปเยี่ยมชม ก็คือ พระราชวัง Gyeonggijeon สร้างขึ้นในปี 1410 เป็นที่ประดิษฐานภาพเหมือนของ ซัง อิ เก ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โชซอน พระราชวังแห่งนี้ถูกทำลายในช่วงสงคราม และถูกสร้างขึ้นใหม่ในทศวรรษปี 1600 สถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในพระราชวัง ก็คือ หอประวัติศาสตร์ หรือห้องสมุดโบราณ ซึ่งภายใน เก็บรักษาสิ่งประดิษฐ์ที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงแผ่นจารึกบรรพบุรุษของราชวงศ์ยี่ ควบคู่ไปกับบันทึกพงศาวดารจากราชวงศ์โชซอนซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ชิ้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จากการรุกรานของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับโบสถ์คาทอลิกจอนดง หนึ่งในอาคารโรมาเนสก์แห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้

...

จากหมู่บ้านฮันนกไปไม่ไกล การท่องเที่ยวเมืองจอนจู นำเสนอการแสดงดนตรีพื้นบ้านที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ประเภทเดียวกับ เทศกาลสงกรานต์บ้านเรา ที่เรียกว่า พันซูริ หรือ การร้องเพลงพร้อมกับเล่าเรื่อง ที่ใช้เครื่องดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้น ไฮไลท์อยู่ที่คนร้อง ที่ว่ากันว่า มีการถ่ายทอดทักษะการร้องเพลงแบบนี้จากรุ่นสู่รุ่น เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่น่าประทับใจ

ช่วงเย็น เรามีกิจกรรมทำอาหาร (Cooking Class) กับเชฟชื่อดัง ชอง ชอง ฮี ที่บ้านของเธอ และแน่นอน อาหารแนะนำของเชฟชองในคลาสนี้ ก็คือ บิบิมบับ อาหารที่มีต้นกำเนิดในเมืองจอนจู และ ยังเป็นอาหารจานเด็ดอันดับ 8 ของโลกที่ถูกบันทึกไว้ใน Lonely Planet ด้วย

บิบิมบับ หรือ ข้าวยำเกาหลี เป็นข้าวผสมกับเห็ด กะหล่ำม่วง แครอท คึ่นไช่ ผักโขม กิมจิ โรยด้วยเนื้อวัว ปรุงรสด้วยน้ำยำสูตรเกาหลี เป็นอีกหนึ่งเมนูชูสุขภาพที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติกล้วนๆ และ อีกเมนูหนึ่งคือ พาจอน หรือ พิซซ่าเกาหลี ที่ทำจากแป้งหมักสไตล์เกาหลีโรยหน้าด้วยต้นหอม และ เนื้อสัตว์ตามชอบจะเป็นกุ้ง หรือ ปูอัดก็ได้ แต่สำหรับเมนูระดับเชฟชื่อดังของเมืองแล้ว แน่นอน ต้องเป็นกุ้งสดตัวโตๆ สำหรับอาหารคำโตในมื้อค่ำนี้ด้วย ปิดท้ายด้วยมันเทศเผารสหวาน เหมาะกับช่วงอากาศเย็นๆในฤดูใบไม้ผลิที่สายฝนตกพรำๆในจอนจู

...

เสียดายที่มีเวลาไม่มาก คณะของเราต้องเดินทางต่อไปเมืองยอซู ในวันรุ่งขึ้น เราจึงยังคงพลาดอีกหลายกิจกรรมในจอนจู ทั้งการตามหาบิงซูเจ้าดัง การถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังในหมู่บ้านฮันนก ลิ้มลองคาเฟ่ขนมปังจอนจู ที่เป็นขนมปังถั่วแดงราดด้วยกาแฟคัปป้า ฯลฯ แต่ไม่เป็นไร เพราะ จอนจู มีกิจกรรมให้มาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ในเดือนพฤษภาคม เทศกาลบิบิมบับ และ เทศกาลอาหารที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนตุลาคม ที่แม้ในช่วงเวลานั้นจะไม่มีน้องซากุระให้ชมแต่ความงดงามในอีกแบบหนึ่งของจอนจูก็รอให้ผู้คนจากทั่วโลกเข้ามาสัมผัส เป็นสีสันของการท่องเที่ยวที่ไม่เคยหลับใหลตลอดทั้งปีในเมืองโบราณแห่งนี้

ปิดท้ายอำลาจอนจู ด้วยเมนูหม้อไฟร้านดัง ฮันกุกจิป ร้านเก่าแก่โบราณที่ถ้ามาจอนจูแล้ว ไม่ควรพลาดร้านนี้ เพราะทั้งน้ำซุป และ พริกป่น บอกเลยว่าเด็ดสุดๆจริงๆ

...

ถ้าเกาหลีเป็นแพลนในทริปหน้าของคุณ แนะนำว่า ไม่ควรพลาดเมืองมรดกทางวัฒนธรรมอย่างจอนจูเด็ดขาด อ้อ!ถ้าคุณมาเดินในเมืองนี้แล้วรู้สึกว่าคุ้นๆกับสถานที่บางแห่ง อย่าแปลกใจ ไม่ใช่เพราะพรหมลิขิตแต่เพราะที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ของเกาหลีมากกว่า 200 เรื่อง อาทิ Moon Embraces the Sun, Sungk yunkwan Scandal รวมถึงซีรีส์น่ารักที่เพิ่งฉายไปเมื่อไม่นานมานี้ อย่าง Just an ordinary love story ด้วย

คลิกอ่านคอลัมน์ "เที่ยวตามตะวัน" เพิ่มเติม