อะมะโนะฮะชิดะเตะ

ถามว่าทำไมคนไทยชอบเที่ยวญี่ปุ่น แถมไปได้หลายครั้งโดยไม่รู้จักเบื่อ นอกจากจะหลงรักวัฒนธรรมและการกินอยู่ของชาวอาทิตย์อุทัย แรงกระตุ้นยังมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามากเมื่อเทียบกับเงินบาท และการทำการตลาดที่เข้มข้นโดนใจของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันคึกคักแบบก้าวกระโดด เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย “ชินโซ อาเบะ” เป็นนายกรัฐมนตรี และชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า “อาเบะโนมิกส์” เพื่อใช้แก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่มีมาต่อเนื่องยาวนาน โดยหนึ่งในวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลคือการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น

เมื่อปี 2013 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยได้รับการยกเว้นวีซ่าสำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อพำนักระยะสั้น 15 วัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นยังทำการตลาดประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศอย่างเข้มข้น ผ่านองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) จนถือเป็นต้นแบบของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว

ผลลัพธ์ที่ได้จากนโยบายยกเว้นวีซ่า ทำให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 5 เท่าตัว จากปี 2012 นักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 200,000 กว่าคน มาถึงปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 มีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่า 1.3 ล้านคน

“ทตโตริ” เมืองแห่งทะเลทรายญี่ปุ่น
“ทตโตริ” เมืองแห่งทะเลทรายญี่ปุ่น

...

นอกจากญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรมหลากหลายเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทั้งเรื่องอาหารการกิน, สินค้า, ภาพยนตร์, การ์ตูน, เพลง รวมไปถึงวัด, ปราสาท, พิพิธภัณฑ์ และหอศิลป์ ญี่ปุ่นยังสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนา “การท่องเที่ยวเมืองรอง” อย่างจริงจัง เพื่อกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไปสู่ชุมชน สอดรับกับวิถีนิวนอร์มอลของคนยุคใหม่ที่มองหาประสบการณ์ “การท่องเที่ยวแบบอันซีน” รีบไปก่อนคนเยอะ

จากการศึกษาของ ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) บ่งชี้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่จัดอยู่ในกลุ่ม “Unseen Japan” อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ชุบชีวิตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้กลับมาคึกคักใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด ซึ่งการท่องเที่ยวมีส่วนสนับสนุน GDP ของญี่ปุ่นมากถึง 359,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทำไมญี่ปุ่นจึงพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองได้สำเร็จ เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นเอาจริงเอาจังกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดย องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ประกาศนโยบายให้จังหวัดเมืองรองวิเคราะห์และประเมินความเป็นไปได้ของโอกาสการท่องเที่ยว และสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวนอกเหนือเมืองสำคัญ ผ่านการค้นหาจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านธรรมชาติหรือวัฒนธรรม ซึ่งองค์กรปกครองท้องถิ่นสามารถจัดการดูแลด้านการท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเอง และมีอำนาจตัดสินใจเต็มที่ ขณะที่ JNTO รับหน้าที่ประชาสัมพันธ์ในระดับชาติ เช่น การจัดอีเวนต์, แคมเปญการท่องเที่ยว และให้ข้อมูลเดินทาง โดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองถือเป็นการดำเนินนโยบายแบบคู่ขนาน เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปสู่ภูมิภาคอื่นๆที่ยังไม่ได้รับความนิยม

...

น้ำตกมิโนะ และวัดคัตสึโอจิ
น้ำตกมิโนะ และวัดคัตสึโอจิ

แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ต้องยกเครดิตให้ “ระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพของญี่ปุ่น” ทำให้เรื่องเที่ยวเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟความเร็วสูงที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันสะดวกรวดเร็วทั้ง 6 ภูมิภาค ทำให้ประหยัดเวลาการเดินทาง แต่ละจังหวัดยังมีรถเมล์ท้องถิ่น ที่วางเส้นทางการเดินรถผ่านสนามบินและสถานีรถไฟ เพื่อนำพานักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดเมืองรองต่างๆ ที่สำคัญ “การปกครองท้องถิ่นของญี่ปุ่นเข้มแข็งมาก ไม่ต้องรอพึ่งส่วนกลาง สามารถคิดเร็วทำเร็ว” แต่ละจังหวัดมีหน้าที่รับผิดชอบต่อนโยบายการท่องเที่ยวของจังหวัดตนเอง พร้อมเสริมขีดความสามารถให้โดนใจนักท่องเที่ยว เพื่อแข่งกันดึงดูดรายได้สู่ท้องถิ่น ยิ่งหลังโควิดมานี้จุดหมายปลายทางไม่ได้จำกัดเฉพาะเมืองใหญ่ยอดนิยมแล้ว แต่ญี่ปุ่นโปรโมตการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างเต็มที่

...

หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ
หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ

ยกตัวอย่างเช่น รอบๆ “เกียวโต” เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกในเรื่องวัฒนธรรมอันประณีตงดงาม และมนต์เสน่ห์แบบชนบทญี่ปุ่น ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวลับๆรอการค้นพบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “อะมะโนะฮะชิดะเตะ” หนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น ไฮไลต์อยู่ที่สันทรายยาว 3.6 กิโลเมตร ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกลางอ่าวมิยาซุ เป็นเส้นทางหาดทรายและต้นสนกว่า 8,000 ต้น ตัดผ่านอ่าวราวกับแยกทะเลกับอ่าวออกจากกันจากเหนือจดใต้ คนญี่ปุ่นสมัยก่อนเชื่อว่าสันทรายนี้เป็นเสมือนสะพานทอดไปสู่สรวงสวรรค์ ที่นี่ยังมีจุดชมวิวสวยตะลึง “คาซามัตสึ พาร์ค” ตั้งอยู่บนเนินเขาทางทิศเหนือของสันทราย เป็นจุดชมวิวเก่าแก่ดั้งเดิมที่คนโบราณเดินทางขึ้นมาเพื่อชื่นชมความงามของธรรมชาติจากมุมสูง

...

ห่างไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของกลุ่มหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ “หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ” ทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรทังโงะ ตอนเหนือของเกียวโต มีไฮไลต์อยู่ที่การล่องเรือชมทิวทัศน์ของบ้านลอยน้ำ ในอ่าวอิเนะ และกิจกรรมให้อาหารเหยี่ยวกับนกนางนวลด้วยข้าวเกรียบกุ้งคาลบี้ นับเป็นประสบ การณ์ที่ตื่นเต้นสนุกสนาน มาก เพราะเหยี่ยวโฉบมาฉกคาลบี้จากมือได้อย่างแม่นยำไม่พลาดเป้า!!

มาเที่ยวทิศนี้แนะนำให้ขึ้นรถไฟสายโรแมนติก “Kyoto Tango Railway สายสีน้ำเงิน” เป็นรถไฟท่องเที่ยวดัดแปลงมาจากเส้นทางรถไฟหลายสายที่เคยเงียบเหงาจนเกือบไม่มีคนใช้ นำมาเชื่อมต่อเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง “อะมะโนะฮะชิดะเตะ” ตั้งแต่ปี 2013 โดยรถไฟทั้ง 3 ขบวน ออกแบบโดย “อิจิ มิโทโอกะ” นักออกแบบรถไฟที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ประกอบด้วยขบวนต้นสนสีดำ, ต้นสนสีแดง และต้นสนสีน้ำเงิน ภายในรถไฟแต่ละขบวนตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ และที่นั่งจัดขึ้นเป็นพิเศษให้เหมาะกับการชมวิวทิวทัศน์เลียบชายฝั่งทะเล

ใครจะนึกว่าญี่ปุ่นก็มีทะเลทรายให้ขี่อูฐด้วย อยากเที่ยวแบบอันซีนญี่ปุ่นแท้ๆต้องไปเยือน “จังหวัดทตโตริ” เมืองแห่งทะเลทรายของญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลฟากตะวันตกของญี่ปุ่น เป็นจังหวัดที่มีประชากรเบาบางที่สุดในญี่ปุ่น แต่กลับมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์แปลกตากว่าใคร โดยเฉพาะ “เนินทรายขนาดใหญ่ของทตโตริ” (Totori Sand Dunes) โดดเด่นน่าจดจำทีเดียว เพราะมีแนวชายฝั่งโขดหินสวยงามเป็นองค์ประกอบสำคัญ ย่านนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของการ์ตูนอนิเมะชื่อดัง เช่น โคนันยอดนักสืบ และผีน้อยคิวทาโร่ “Totori Sand Dunes”

ถือเป็นหนึ่งในสามเนินทรายในประเทศญี่ปุ่น เนินทรายของที่นี่มีสีออกเหลืองคล้ำ เพราะมีการผสมของเนื้อทรายกับเถ้าภูเขาไฟ จุดเด่นของเนินทรายทตโตริคือทิวทัศน์ของทรายสูงที่ตัดกับสีของท้องฟ้าและท้องทะเล บริเวณรอบๆเนินทรายมีกิจกรรมสนุกๆให้ทำหลากหลาย อาทิ ขี่อูฐ,นั่งรถม้าเกวียนลาก และเล่นเครื่องร่อนพาราไกลเดอร์เดินป่าเที่ยวน้ำตกก็เป็นอีกหนึ่งอันซีนน่าค้นหาของญี่ปุ่น ถ้ามาแถว “โอซาก้า” ต้องไปเยือน “น้ำตกมิโนะ” สูง 33 เมตร กลางหุบเขามิโนะ ซึ่งถือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดใกล้เมืองโอซาก้า ลองเดินชมธรรมชาติไปกับน้ำตกมิโนะสไตล์คนญี่ปุ่นแท้ๆ แล้วแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่อายุ 1,300 ปี ที่ “วัดคัตสึโอจิ” วัดแห่งความสำเร็จที่ผู้มีชัยชนะในยุคต่างๆล้วนเคยมาเยือน ปัจจุบันคนญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาขอพรอธิษฐานให้ข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ, การทำธุรกิจ, การสอบ, แข่งขันกีฬา รวมถึงขอให้สมหวังในความรัก สังเกตได้ว่าภายในวัดจะเต็มไปด้วยตุ๊กตาดารุมะแห่งชัยชนะจากผู้ที่ขอพรไว้แล้วสัมฤทธิผล จึงนำมามอบให้วัดเป็นการขอบคุณ

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น พยายามสนับสนุนให้ “กิจกรรมการท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดเมืองรองมีความเป็นพลวัต เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ทว่าคงไว้ซึ่งความเป็นต้นตำรับของชาติญี่ปุ่น” ปัจจุบันการท่องเที่ยวเมืองรองของญี่ปุ่นจะขับเคลื่อนด้วย 3 แนวทาง คือ การท่องเที่ยวเชิงผจญภัย, การท่องเที่ยวแบบหรูหรา และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน...นับเป็นความชาญฉลาดในการแบ่งปันประโยชน์ให้กลับคืนสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เพื่อช่วยพลิกฟื้นประเทศหลังวิกฤติโควิด.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่