มาเรีย เฮเลนา เดอ เซนนา เฟอร์นานเดส ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวมาเก๊า เชื้อเชิญสื่อมวลชนจากหลายประเทศเดินทางสู่มาเก๊า เป็นการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นครั้งแรก หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั่วโลกเริ่มคลี่คลายลง

มาเก๊า ดินแดนคาบสมุทรเล็กๆยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และสีสันที่มากกว่าการเป็นแหล่งกาสิโนของโลก ความเป็นพหุสังคมของมาเก๊าที่เคยอยู่ในความปกครองของโปรตุเกส ทำให้มาเก๊ามีความเป็นยุโรปผสานกับความเป็นตะวันออก สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมโดยเฉพาะอาหารซึ่งบอกเลยว่าไม่เหมือนจีนและไม่ใช่ยุโรป อาหารของมาเก๊ามีชื่อเรียกเฉพาะว่า “แมงกานีส” เป็นการผสมผสานอาหารโปรตุเกส+ อาหารจีนมาเก๊า+เครื่องเทศจากที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงมีความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวอย่าง ขนมปังหมูทอด ที่มีชื่อเฉพาะว่า Pork Bun หรือ เนื้อปูผสมกับครีมรสชาตินุ่มๆ ปรุงรสด้วยเครื่องเทศหอมๆ กินคู่กับขนมปังกรอบ ที่ชื่อ Sapateira รวมทั้ง กุ้งผัดเนยกระเทียม ที่เน้นจุดเด่นของเครื่องเทศและไวน์ขาว หากินที่ไหนไม่ได้นอกจากมาเก๊าเท่านั้น และที่เด็ดสุดเห็นจะเป็น ทาร์ตไข่ ต้นตำรับความอร่อย โดยเฉพาะทาร์ตไข่ร้าน Lord Stow’s Bakery ร้านแรกที่เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 ความอร่อยของทาร์ตไข่ร้านนี้ก็คือ ทาร์ตจะเป็นแป้ง Pastry หรือแป้งพายกรอบชั้นๆ ที่ทั้งกรอบและหอม และไส้คัสตาร์ดไข่เนื้อเนียนนุ่ม หอมหวานกำลังดี เรียกว่าเป็นทาร์ตไข่ซิกเนเจอร์ของมาเก๊าเลยทีเดียว

...

คุยเรื่องอาหารยาวไปละ ไปดูเรื่องการท่องเที่ยวในมาเก๊ากันบ้าง การเดินทางในมาเก๊าค่อนข้างสะดวกสบายด้วยพื้นที่เล็กๆแค่ 33 ตารางกิโลเมตร แต่มีระบบขนส่งสาธารณะครบวงจร เราสามารถใช้รถโดยสารเที่ยวรอบมาเก๊าได้ด้วย บัตร Macao pass ที่สามารถซื้อได้ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายขนมปัง ไปจนถึงเครื่องจำหน่ายแบบหยอดเหรียญ ใครไปเที่ยวมาเก๊าหาซื้อบัตร Macao pass ติดตัวไว้จะสะดวกกว่าพกบัตรเครดิต

สำหรับการเที่ยวในมาเก๊า ควรวางแผนการท่องเที่ยวว่าจะเที่ยวในย่านไหนก่อน อาจเริ่มจากย่านเมืองเก่าหรือเขตประวัติศาสตร์ที่ชาวมาเก๊า เรียกว่า “ศูนย์ประวัติศาสตร์มาเก๊า” มีอาณาเขตอยู่ทางฝั่งตะวันตก และตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรมาเก๊า เนื่องจากเป็นจุดแรกที่ชาวโปรตุเกสมาขึ้นฝั่งและตั้งศูนย์การค้าขายบริเวณนี้เมื่อ 400 ปีก่อน มีสถาปัตยกรรมและพื้นที่ประวัติศาสตร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมากถึง 30 แห่ง สามารถกางแผนที่เดินเที่ยวได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Tap Seac Square เขตเซนต์ลาซารุส (S. Lazaro), ป้อมปราการมองเต (Mount Fortress), ซากมหาวิหารเซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s) สัญลักษณ์ที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ของชาติ สมัยศตวรรษที่ 17 ที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์อันวิจิตร เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของแหล่งกำเนิดโปรตุเกสในโลก

จากนั้นเดินเรื่อยไปถึง ศาลเจ้านาจา, คฤหาสน์ลู่เกา สำนักแห่งความเมตตา, คลินิกการแพทย์แบบตะวันตกแห่งแรกในมาเก๊า, โบสถ์เซนต์โดมินิก, โบสถ์เซนต์แอนโทนี Cathedral Square แล้วแวะพักทานข้าวกลางวันที่จัตุรัสเซนาโด (Senado Square) ที่เต็มไปด้วยศูนย์การค้า ร้านอาหารจีนดั้งเดิม ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ขนมขึ้นชื่อ ก่อนจะปิดท้ายของวันด้วยการไปไหว้พระขอพรที่วัดอาม่า (A-Ma Temple) 1 ใน 3 วัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ปิดทริปเที่ยว 1 วันในมาเก๊าแบบเต็มอิ่ม ก่อนนอนหลับฝันดีที่โรงแรม Rocks Hotel โรงแรมสไตล์วิคตอเรียน ศตวรรษที่ 18 ริมฝั่งคาบสมุทรมาเก๊า ฝั่งตะวันออก

อรุณสวัสดิ์มาเก๊าด้วยชาหอมกรุ่น กับทาร์ตไข่อุ่นๆ ก่อนจะขึ้นรถบัสไปหมู่บ้านโคโลอาน หมู่บ้านเล็กๆน่ารักริมทะเลตอนใต้สุดของมาเก๊า ที่มีพื้นที่ประมาณ 8 ตร.กม. บ้านเรือนในหมู่บ้านเป็นบ้านเก่า มีตรอกซอกซอยเล็กๆเต็มไปหมด บ้านแต่ละหลังยังคงอนุรักษ์อาคารดั้งเดิมเอาไว้ เพิ่มเติมคือสีสันของอาคารที่ถูกปรับแต่งให้สดใส ทำให้โคโลอานกลายเป็นจุดเช็กอินของมาเก๊า ที่ทั้งวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป สไตล์เดียวกับหมู่บ้าน กงจินของหัวหน้าฮง แห่งโฮม ทาวน์ ช่าช่าช่า ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นอาหารทะเลของที่นี่ เพราะทั้งกุ้งอบไวน์ ปลาหมึกผัดพริกเกลือ ปลาทอดราดพริกสไตล์มาเก๊า กินพร้อมๆ กับจิบแซงเกรีย เครื่องดื่มที่เป็นสูตรผสมทั้งไวน์ บรั่นดี และผลไม้ งานนี้ขอกลับไปลดน้ำหนักที่เมืองไทยละกัน เพราะอดไม่ได้จริงๆกับของอร่อยเกินห้ามใจแบบนี้

...

ไฮไลต์อีกอันของหมู่บ้านโคโลอานคือ “บ้านหุ่นกระบอก” หรือ House of Puppets ของสองศิลปินนักแสดงหุ่นกระบอกที่มีชื่อเสียงในมาเก๊า Mr.Kevin Chio และ Ms.Teng Teng Lam ที่เปิดขายของที่ระลึกและเปิดสอนการทำศิลปะหุ่นมือ และตุ๊กตาจิ๊กซอว์ให้กับนักท่องเที่ยว เป็นจุดที่สามารถมาทำกิจกรรมได้ ออกจากโคโลอานแนะนำให้แวะหมู่บ้านไทปา ตลาดเก่าที่สร้างขึ้นช่วงต้นศตวรรษ 19 เป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมท้องถิ่นที่นักท่องเที่ยวสามารถชิมและซื้อของอบแห้ง ขนมหวาน คุกกี้อัลมอนด์ แถมยังมีร้านจำหน่ายสินค้าแนวไอเดีย คาเฟ่ บาร์ขนมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่น และพิพิธภัณฑ์พลุและประทัด Iec Long (เอี๊ยกลอง) ที่ถือเป็นอาชีพเก่าแก่ของคนมาเก๊าในอดีตมานานหลายร้อยปี

...

และอย่างที่บอก มาเก๊าเต็มไปด้วยสีสันและแสงสี จากการซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนดั้งเดิม วันสุดท้ายเราเปลี่ยนมาชมแสงสีในตัวเมืองกันบ้าง โดยเฉพาะโรงแรมและกาสิโนที่ทำให้มาเก๊ากลายเป็นเกาะสวรรค์ของนักเสี่ยงโชคแถมยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับคนมาเก๊า จนสามารถนำเงินไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆได้แบบสบายๆ ชื่อเสียงของกาสิโนหลายแห่งเป็นที่รู้จักดี ไม่ว่าจะเป็นลิสบัวร์ เดอะเวเนเชียน หรือ Wynn

ก่อนโบกมือลามาเก๊า เราไม่ลืมที่จะไปนมัสการรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Statue) ตั้งอยู่กลางทะเลบริเวณ Outer Harbour ทางใต้ของฝั่งมาเก๊าและแวะเยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์มาเก๊า ที่รวมข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก, เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จัดแสดงผ่านระบบ ฉายภาพแบบสามมิติที่มีความคมชัดสูงในห้องอวกาศของท้องฟ้าจำลอง ฯลฯ

แค่ 4 วัน 3 คืนในมาเก๊า กับเรื่องราวบรรจุความฟินแบบสุดๆ ใครอยากไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของดินแดนคาบสมุทรที่ไม่ไกลเมืองไทยแบบนี้ แนะนำเลย รับรองว่าจ่ายน้อยกว่าแต่ประสบการณ์มากกว่าแน่นอน.