- แม้ปัจจุบันเครื่องบินส่วนใหญ่มีระบบหมุนเวียนอากาศ ที่ถูกส่งผ่านแผ่นกรองอากาศแบบอนุภาคประสิทธิภาพสูง (HEPA) ชนิดเดียวกับที่ใช้ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล แต่ด้วยปัจจัยอื่นๆ อาจส่งผลต่อโรคประจำตัวบางชนิดได้
- การศึกษาของ WHO พบว่าความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ เพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่า หลังจากโดยสารเที่ยวบินระยะไกลนานกว่า 4 ชั่วโมง
- คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม? นอกจากผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ ทารก และผู้ที่เพิ่งดำน้ำ ก็จัดอยู่ในบุคคลที่ต้องระวังในการโดยสารเครื่องบินเช่นกัน
การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ปัญหาเรื่องความเจ็บป่วยของผู้โดยสารก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องบินระยะไกลข้ามทวีป
แม้ปัจจุบันเครื่องบินส่วนใหญ่มีระบบหมุนเวียนอากาศ สามารถหมุนเวียนอากาศในห้องโดยสารได้ถึง 50% มีการระบายอากาศประมาณ 20-30 ครั้งต่อชั่วโมง โดยอากาศหมุนเวียนจะถูกส่งผ่านแผ่นกรองอากาศแบบอนุภาคประสิทธิภาพสูง (HEPA) ชนิดเดียวกับที่ใช้ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล เพื่อดักจับอนุภาคฝุ่น แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส แต่ด้วยปัจจัยอื่นๆ อาจส่งผลต่อโรคประจำตัวบางประเภทได้
14 โรค ที่ผู้ป่วยควรระวังเมื่อต้องเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน
...
1. โรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) หรือโรคหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure) ควรตรวจร่างกาย โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หรือไม่มีหัวใจเต้นผิดปกติ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนโดยสารเครื่องบิน หากมีความจำเป็นสามารถเดินทางหลังมีอาการ 2-3 สัปดาห์ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และต้องแจ้งสายการบิน เพื่อเตรียมเครื่องมือในกรณีจำเป็น
2. ผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass grafting)
เนื่องจากการผ่าตัดอาจเกิดอากาศในโพรงช่องหน้าอก จึงควรรอให้อากาศถูกดูดซึมไปหมดก่อน หรือภายใน 2 สัปดาห์ภายหลังผ่าตัด และควรเตรียมยาไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง ให้เพียงพอในการเดินทาง ทั้งนี้ ควรเขียนรายละเอียดและวิธีใช้ยาแต่ละชนิดเก็บไว้เผื่อจำเป็นต้องซื้อใหม่ กรณียาสูญหาย
3. โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สามารถขึ้นเครื่องบินได้ โดยควบคุมความดันโลหิตด้วยการรับประทานยา และควรเตรียมยาให้พร้อมและเพียงพอกับระยะเวลาเดินทาง
4. โรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Venous thrombosis)
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis) มักเกิดขึ้นบริเวณขา และภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism) เกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดที่อุดกั้นหลุดไปตามกระแสเลือดและไปอุดตันบริเวณหลอดเลือดดำในปอด ซึ่งผู้โดยสารเครื่องบินมักประสบปัญหา ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำภายในกล้ามเนื้อน่อง การศึกษาของ WHO พบว่าความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ เพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่าหลังจากโดยสารเที่ยวบินระยะไกลนานกว่า 4 ชั่วโมง
5. โรคหืด (Asthma)
กรณีอาการรุนแรงไม่สามารถควบคุม หรือเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ควรงดการเดินทางด้วยเครื่องบิน หากอาการไม่รุนแรงควรมียาติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยโดยเฉพาะยาชนิดพ่น
6. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease)
ผู้ป่วยมักมีอาการเมื่ออยู่ในภาวะพร่องออกซิเจน ดังนั้นจึงควรพกยาขยายหลอดลม และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเตรียมอุปกรณ์กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
7. โรคลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax) คือภาวะที่มีลมค้างในช่องเยื่อหุ้มปอด
ส่งผลให้กระบวนการหายใจผิดปกติ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ควรพบแพทย์เพื่อใส่ท่อระบายลมออกจากปอด หลังจากนั้นต้องรอให้ปอดขยายตัวเต็มที่อย่างน้อย 7 วัน โดยการเอกซเรย์ปอด หรือคอมพิวเตอร์เอกซเรย์ ก่อนเดินทาง
8. โรคติดเชื้อ (Infectious disease)
สามารถแพร่เชื้อหรือติดต่อไปยังผู้อื่น ห้ามเดินทางโดยเครื่องบิน เนื่องจากการแพร่เชื้ออาจเกิดขึ้นระหว่างผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันของเครื่องบิน ซึ่งมักเกิดจากการไอหรือจามของบุคคลที่ติดเชื้อหรือโดยการสัมผัส เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยควรชะลอการเดินทางจนกว่าจะหายดี
9. โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease)
ภาวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ได้แก่ ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient ischemic attack) ภาวะเลือดออกในสมอง (Intracerebral hemorrhage) และภาวะหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก (Stroke) ซึ่งส่งผลให้เซลล์สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง เมื่อขึ้นเครื่องบินซึ่งมีภาวะพร่องออกซิเจน อาจส่งผลให้อาการกำเริบ ดังนั้นก่อนเดินทางควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับยา รวมถึงข้อควรปฏิบัติขณะอยู่บนเครื่องบิน โดยอาการต้องคงที่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง
10. โรคลมชัก (Epilepsy)
...
โรคลมชัก มีโอกาสชักได้ง่ายขึ้นในภาวะพร่องออกซิเจน เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย วิตกกังวล และการเปลี่ยนแปลงของเวลา ควรพบแพทย์เพื่อเตรียมยาหรืออาจเพิ่มขนาดของยา ขึ้นกับความสามารถในการควบคุมโรค และไม่ควรเดินทางหลังจากชักหมดสติ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
11. โรคโลหิตจาง (Anemia)
ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้นำออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้น้อยลง ซึ่งเสี่ยงอันตรายจากภาวะพร่องออกซิเจนบนเครื่องบิน กรณีมีความเข้มข้นของฮีโมโกลบินต่ำกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และไม่ควรขึ้นเครื่องบินหากค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 7.5 กรัม/เดซิลิตร
12. โรคเบาหวาน (Diabetes)
แม้สภาพภายในห้องโดยสารเครื่องบินจะไม่ส่งผลอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่การบินข้ามเวลา อาจทำให้ผู้ป่วยสับสนในการรับประทานอาหารและยา รวมถึงประเภทของอาหารที่อาจส่งผลกระทบต่อโรค ผู้ป่วยควรติดต่อขอให้สายการบินจัดเตรียมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และนำยาติดตัวขึ้นเครื่องบิน ทั้งยารับประทาน และยาฉีด พร้อมอุปกรณ์ สำหรับการรับประทานยาให้ยึดเวลาต้นทาง แล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเวลาใหม่
13. โรคทางจิตเวช (Psychiatric disorders)
ก่อนเดินทางด้วยเครื่องบินต้องได้รับคำรับรองจากแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าอาการสงบ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและผู้โดยสารอื่นๆ แพทย์อาจสั่งยาระงับประสาทหรือยานอนหลับ สำหรับใช้ระหว่างการเดินทาง
14. ผู้ป่วยผ่าตัด
การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บที่อาจมีอากาศหรือก๊าซหลงเหลืออยู่ เช่น การผ่าตัดช่องท้องและทางเดินอาหาร การผ่าตัดกะโหลกศีรษะและใบหน้า รวมถึงการผ่าตัดตาที่เกี่ยวข้องกับลูกตา ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษา ว่าควรรอนานแค่ไหนก่อนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน
...
คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม
นอกจากโรคและความเจ็บป่วย คุณแม่ตั้งครรภ์ และทารก ก็จัดอยู่ในบุคคลต้องระวังในการโดยสารเครื่องบินเช่นกันโดยทารกอายุต่ำกว่า 48 ชั่วโมงไม่ได้รับอนุญาตให้โดยสารเครื่องบิน อย่างไรก็ตามควรรอให้เด็กทารกมีอายุเกิน 1 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคมากขึ้น
สำหรับภาวะตั้งครรภ์ แม้การโดยสารทางด้วยเครื่องบินไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะเดินทาง อาจกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะอายุครรภ์เกินกว่า 36 สัปดาห์ หรือก่อนครบกำหนดคลอดในช่วง 4 สัปดาห์ ไม่ควรขึ้นเครื่องบิน ยกเว้นการเดินทางในประเทศประมาณ 1-2 ชั่วโมง และไม่มีอาการผิดปกติ หรือภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
นักดำน้ำขึ้นเครื่องบินทันที เสี่ยงขาดออกซิเจน
ทั้งนี้ผู้ที่ดำน้ำลึก ไม่ควรโดยสารเครื่องบินอย่างน้อย 12 ชั่วโมงหลังจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย และ 24 ชั่วโมงหลังจากการดำน้ำหลายครั้ง เนื่องจากแรงดันอากาศในห้องโดยสารที่ระดับความสูงจะต่ำกว่าความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเล เป็นผลให้ออกซิเจนในเลือดลดลง ส่งผลให้ขาดออกซิเจน รวมถึงผลกระทบจากความกดอากาศในห้องโดยสารที่ลดลง ทำให้ก๊าซภายในร่างกายขยายตัว ทำให้ปวดหู ปวดไซนัส แน่นหน้าอก หรือหมดสติ (Decompression sickness)
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโรค หากขึ้นเครื่องบินเป็นเวลานาน
...
1. ภาวะพร่องออกซิเจน (Hypoxia)
เมื่ออยู่บนเครื่องบินความหนาแน่นของอากาศจะลดลง ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการไอ ผิวหนังเปลี่ยนสี และระบบหายใจผิดปกติ อย่างไรก็ตามเมื่อเครื่องบินบินสูง 30,000 ฟุต จะมีการปรับความกดดันบรรยากาศในห้องผู้โดยสารให้อยู่ในระดับความสูงเท่ากับ 5,000-8,000 ฟุต ซึ่งเป็นภาวะที่ออกซิเจนลดลงกว่าปกติประมาณ 15 % และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีสุขภาพปกติ แต่ในผู้ป่วยบางโรค อาจส่งผลให้อาการกำเริบ เช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคโลหิตจาง และโรคลมชัก เป็นต้น
2. ความเปลี่ยนแปลงความกดดันบรรยากาศ (Effect of barometric pressure changes)
ขณะทำการบินสูงขึ้นไป ความกดดันบรรยากาศจะลดลง ทำให้ก๊าซขยายตัวขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อบินต่ำลง ความกดบรรยากาศก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ก๊าซหดตัวลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงความกดบรรยากาศมีผลต่อร่างกายมนุษย์มากมาย จำแนกตามลักษณะของก๊าซในร่างกายได้ดังนี้
- ก๊าซที่ขังอยู่ในร่างกาย (Trapped gas) อยู่ตามโพรงต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หูชั้นกลาง โพรงไซนัส กระเพาะอาหาร ลำไส้ ฟัน และปอด เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงความกดดันบรรยากาศ ก๊าซจะมีการขยายตัวและหดตัว ส่งผลให้เกิดอาการ เช่น ปวดหู ปวดไซนัส ปวดฟัน แน่นหน้าอก แน่นท้อง
- ก๊าซที่ละลายอยู่ในของเหลวของร่างกาย (Evolved gas) เช่น เลือด น้ำไขข้อ น้ำหล่อเลี้ยงสมอง ไขสันหลัง และไขมัน ก๊าซที่ละลายส่วนใหญ่คือไนโตรเจน ซึ่งจะคืนตัวกลับเป็นฟองก๊าซ เมื่อความกดบรรยากาศลดลง ในขณะที่เครื่องบินบินสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการ อาการปวดข้อ เจ็บหน้าอก รวมถึงอาการทางระบบประสาท
3. ความชื้นของอากาศต่ำ (Low humidity)
ความชื้นในห้องโดยสารเครื่องบินจะน้อยกว่า 20% ซึ่งความชื้นปกติบนพื้นดินมีมากกว่า 30% ความชื้นต่ำอาจทำให้ผิวหนังแห้งและไม่สบายตา ปาก และจมูก แต่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรใช้โลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว และสเปรย์น้ำเกลือฉีดจมูก การใส่แว่นสายตาแทนคอนแทคเลนส์สามารถบรรเทาหรือป้องกันความรู้สึกไม่สบายตาได้ ทั้งนี้ไม่มีหลักฐานแสดงว่าความชื้นต่ำทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องดื่มมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงควรจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มดังกล่าวในระหว่างเที่ยวบินระยะไกล
4. การเคลื่อนไหวร่างกายลดลง (Decreased mobility)
นั่งเครื่องบินนานๆ เท้าบวม เนื่องจากการต้องนั่งเป็นเวลานาน ทำให้เลือดบริเวณร่างกายส่วนล่างไหลเวียนไม่สะดวก เกิดอาการขาบวม เท้าบวม หรือหลอดเลือดดำโป่งพอง อุดตัน
5. ภาวะเมาอากาศ (Air sickness)
เกิดจากการตอบสนองของร่างกายขณะเครื่องบินเคลื่อนไหวบนอากาศ ซึ่งอาการมากหรือน้อย ขึ้นกับบุคคลและความเคยชิน
6. ภาวะเจ็ทแล็ก (Jet lag)
เจ็ทแล็ก (Jet lag) เป็นกลุ่มอาการด้านสรีรวิทยา เนื่องจากระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกายเกิดการแปรปรวน จากการเดินทางระยะไกล อาจทำให้อาหารไม่ย่อยและรบกวนการทำงานของลำไส้ ง่วงนอนในตอนกลางวัน นอนหลับยากในตอนกลางคืน และทำให้สมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจลดลง อาการเจ็ทแล็กจะค่อยๆ ลดลงเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับเวลาของสถานที่ใหม่
การเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่องบินระยะไกล
การเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่องบินเพื่อการเดินทางระยะไกลข้ามทวีปที่ราบรื่น และส่งผลเสียต่อสุขภาพน้อยที่สุด ผู้โดยสารควรเตรียมตัวก่อนเดินทาง ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนวันเดินทาง และหาโอกาสพักผ่อนระหว่างเที่ยวบินโดยการงีบสั้นๆ (น้อยกว่า 40 นาที) ก็ช่วยได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- เลือกระยะเวลาการเดินทางที่เหมาะสม เช่น กรณีที่ใช้เวลาเดินทางนานกว่า 12 ชั่วโมง ควรเลือกใช้เที่ยวบินต่อ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับเวลา รวมถึงได้ออกไปยืดเส้นยืดสาย และผ่อนคลาย
- เลือกเที่ยวบินที่สอดคล้องกับเวลานอน
- เตรียมสิ่งของจำเป็นระหว่างเดินทางติดตัว โดยเฉพาะยารักษาโรคให้เพียงพอกับระยะเวลาบนเครื่องบิน
- สวมเสื้อผ้าที่สบาย ไม่อึดอัด ขณะอยู่บนเครื่องบิน รวมถึงเตรียมชุดที่เหมาะกับสภาพอากาศปลายทาง
- ตรวจเช็กสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หากมีโรคประจำตัวควรพบแพทย์เพื่อปรึกษา เพื่อเตรียมร่างกาย ยา และข้อควรปฏิบัติกรณีอาการกำเริบ หรือมีเหตุฉุกเฉิน
- องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้องโดยสารหรือไปเข้าห้องน้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ในระหว่างเที่ยวบินยาวๆ เพื่อลดภาวะภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำที่ขา รวมถึงแนะนำว่าไม่ควรวางกระเป๋าถือไว้ในที่ที่จำกัดการเคลื่อนไหวของขาและเท้า
- กรณีมีภาวะเมาอากาศ ควรขอที่นั่งตรงกลางห้องโดยสารและเก็บกระเป๋าที่มีอุปกรณ์แก้เมา เช่น ยารับประทาน ยาดม ไว้ในที่ที่หยิบได้ง่าย หรือเก็บไว้ในแต่ละที่นั่งซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่าย
- รับประทานอาหารว่างแต่น้อย และจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก 4-6 ชั่วโมง ก่อนการนอนหลับบนเครื่องบิน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากถึงปลายทาง การนอนหลับอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้นาฬิกาภายในของร่างกายปรับให้เข้ากับเขตเวลาใหม่
การเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินระยะไกลสำหรับผู้ป่วย
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์ก่อนเดินทาง และเตรียมยาประจำตัวพกพาในกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องบิน กรณี ใช้ข้อเทียม ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือต้องมีเครื่องมือแพทย์ขึ้นเครื่อง ต้องมีใบรับรองแพทย์ติดตัว
- ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาตามตารางเวลาที่เข้มงวด เช่น อินซูลินหรือยาคุมกำเนิด ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ ก่อนการเดินทาง
- ผู้พิการที่ต้องได้รับความช่วยเหลือระหว่างอยู่บนเครื่องควรมีผู้ร่วมเดินทางด้วย และแจ้งต่อสายการบินล่วงหน้า
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาที่มีอาการคงที่ หรืออาจมีอาการทรุดลงระหว่างเดินทางต้องยื่นเอกสารขออนุมัติการเดินทางกับสายการบิน (MEDIF หรือ Medical Information Form) ก่อนจองที่นั่ง และควรระบุปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้บนเครื่องบิน รวมถึงหากต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ
- เด็กแรกเกิดอายุต่ำกว่า 7 วัน และเด็กคลอดก่อนกำหนดต้องยื่น MEDIF เพื่อขออนุมัติการเดินทาง
- สตรีมีครรภ์ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ อายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์ต้องมีใบรับรองแพทย์บอกกำหนดการคลอด และรับรองความปลอดภัยในการเดิน และไม่ได้รับการอนุมัติให้ขึ้นเครื่องบินเมื่ออายุครรภ์เกิน 36 สัปดาห์
การเดินทางโดยเครื่องบิน มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้ป่วย หรือมีเงื่อนไขทางการแพทย์ อาจส่งผลต่อความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการเดินทาง ดังนั้นผู้ป่วยโรคประจำตัว สตรีมีครรภ์ ทารกแรกเกิดและผู้ที่เพิ่งผ่านการดำน้ำมา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน ทั้งนี้ นโยบายของสายการบินแตกต่างกันไป ควรตรวจสอบข้อกำหนดเสมอ ก่อนทำการจองเที่ยวบิน รวมถึงหาวิธีที่จะทำให้การเดินทางปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับตนเอง ผู้โดยสารอื่นๆ และลูกเรือ
บทความโดย : นพ.ธีระพร ไทยจินดา อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยา และสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การบิน รพ.สมิติเวช สุขุมวิท