มาร์ค เกอร์แมน จากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า iPhone 16 มีการเปลี่ยนแปลงจาก iPhone 15 ไม่มากนัก ยังคงมีด้วยกัน 4 โมเดล และทุกรุ่นรองรับการใช้งานฟีเจอร์ Apple Intelligence
รายงานของมาร์ค เกอร์แมน จากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า iPhone 16 ที่มีกำหนดการเปิดตัวในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับการวางจำหน่าย iPhone 15 เมื่อปีที่แล้ว
การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ นั่นก็คือ การเพิ่มปุ่ม Action Button ให้กับไอโฟน 16 ทุกรุ่น จากเดิมที่มีเฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max รวมถึงการใช้งานฟีเจอร์ Apple Intelligence ซึ่งไอโฟน 16 ทุกโมเดลสามารถใช้ฟีเจอร์พิเศษนี้ได้ ซึ่งต่างจากไอโฟน 15 ที่รองรับเฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max
อย่างไรก็ตาม Apple Intelligence ฟีเจอร์เอไอแรกของแอปเปิลจะยังไม่พร้อมสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS 18 เวอร์ชันแรก ที่จะเปิดตัวพร้อมกับ iPhone 16 จากโรงงาน
สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อไป นั่นคือ ขนาดหน้าจอของ iPhone 16 Pro จะเพิ่มจาก 6.1 นิ้ว ไปเป็น 6.3 นิ้ว และ iPhone 16 Pro Max จาก 6.7 นิ้ว ไปเป็น 6.9 นิ้ว
เกอร์แมน ระบุว่า การวางจำหน่าย iPhone 16 มีด้วยกัน 4 โมเดล ประกอบไปด้วย iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max
ในเรื่องของสีก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นั่นคือ สีน้ำเงิน ในรุ่น iPhone 16 Pro จะถูกแทนที่ด้วยสี Rose Gold ทุกรุ่นใช้ชิป Apple A18 มีขนาดแรม 8GB ทั้งหมด เพื่อสอดรับกับการใช้งานฟีเจอร์ Apple Intelligence
นอกเหนือจาก iPhone 16 แล้ว เกอร์แมนยังได้อัปเดตข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ iPhone SE ซึ่งมีแนวโน้มเปิดตัวในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้พื้นฐานการออกแบบของ iPhone 14 หน้าจอเป็นแบบ OLED และใช้งาน Apple Intelligence ได้อีกด้วย
...
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจต้องรอไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย จากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีรีส์ iPhone 17 ซึ่งเกอร์แมนเรียกว่า เป็นกลุ่มสมาร์ทโฟนประเภทใหม่ ในยุคที่ 4 ของไอโฟน โดยเป็นมือถือที่เน้นความบาง มากกว่าที่จะเน้นเรื่องของสเปกเครื่อง หรือความสามารถด้านการถ่ายภาพ
พร้อมกันนี้ แอปเปิลมีแนวคิดที่จะปรับให้มือถือไอโฟนรุ่น Pro มีรูปแบบที่บาง โดยไม่กระทบต่อการใช้งาน แต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี หรือก็คือปี 2027 นอกจากนี้แล้ว แอปเปิลยังอยู่ระหว่างการพัฒนาไอโฟนจอพับ หรือ Foldable iPhone ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมากของบริษัท
ที่มา: Bloomberg