กูเกิล ปรับเพดานราคาแอปพลิเคชันจากเดิมที่เคยตั้งเอาไว้ 400 ดอลลาร์สหรัฐ ไปเป็น 999.99 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ส่วนนี้ผู้ใช้บริการต้องระวังการจับจ่ายการซื้อบริการแอปพลิเคชันบน Play Store มากขึ้น
ในระหว่างการประชุมนักพัฒนาของกูเกิลในงาน Google I/O 2024 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย นั่นคือ การที่กูเกิลประกาศปรับเพดานการตั้งราคาแอปพลิเคชันได้สูงสุดถึง 999.99 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 150 เปอร์เซ็นต์จากของเก่าที่เคยตั้งราคาได้สูงสุดเพียง 400 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
ทั้งนี้ เมื่อดูจากแอปพลิเคชันต่างๆ ที่อยู่บนร้านค้า Google Play Store อาจไม่ได้พบแอปพลิเคชันที่มีราคาแพงสูงเสียดฟ้ามากนัก เนื่องจากการตั้งราคาแพงๆ บน Play Store ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการจับจ่ายภายในแอปพลิเคชัน หรือ In-app purchase มากกว่า
การเพิ่มเพดานสูงสุดของการตั้งราคาแอปพลิเคชัน คาดว่าจะมีนักพัฒนาบางส่วนที่จะขึ้นราคาตามนโยบายใหม่ของกูเกิลค่อนข้างแน่
จากข้อมูลเดิม Fisherpunk คือแอปพลิเคชันที่มีราคาแพงที่สุดบน Google Play Store สนนราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดตามเพดานที่กูเกิลระบุเอาไว้ แต่หลังจากนี้น่าจะมีแอปพลิเคชันอื่นๆ แซงหน้า Fisherpunk ได้ไม่ยาก
แพลตฟอร์ม Google Play ถือเป็นหนึ่งในขุมทรัพย์ที่สร้างรายได้เป็นอย่างดีให้กับกูเกิล ทั้งนี้ นักพัฒนาที่พัฒนาแอปพลิเคชันป้อนในแพลตฟอร์มนี้ จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 15 เปอร์เซ็นต์ สำหรับแอปพลิเคชันที่สร้างรายได้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 30 เปอร์เซ็นต์ในกรณีที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบัน ระบบปฏิบัติการ Android มีผู้ใช้งานในรูปแบบของ monthly active ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านเครื่องต่อเดือน ดังนั้นแล้วการเพิ่มเพดานราคาแอปพลิเคชันในครั้งนี้ สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องตระหนักให้ดีก็คือ การตรวจสอบว่าแอปพลิเคชัน หรือบริการที่อยู่ภายในแอปพลิเคชันมีความสมเหตุสมผลหรือไม่ หรือการตรวจสอบราคาก่อนที่จะซื้อบริการ หรือซื้อแอปพลิเคชันเหล่านั้น
...
ที่มา: Android Authority