กาลครั้งหนึ่ง… เนิ่นนานมาแล้ว (ประมาณ 5 ปีมั้ง) ในงานเกม E3 อันไกลโพ้น ชื่อของเกม Starfield ได้รับการกล่าวขานขึ้นเป็นครั้งแรก จากปากทีมพัฒนาเกมแนวสวมบทบาท (RPG) สุดคลาสสิกอย่าง Fallout และ The Elder Scrolls V: Skyrim นั่นทำให้หลายคนร้องโอโหอาหา พากันตั้งความคาดหวังกันแบบสูงเสียดฟ้า ระดับที่ว่านี่จะเป็นเกมที่จะมาพลิกวงการวิดีโอเกมหรือเปล่า แถมจะช่วยทำให้โลกใบนี้สงบสุขและแก้ปัญหาโลกร้อนไปพร้อมกันด้วยเลยไหมนะ

ตอนนี้เกม Starfield ได้เปิดประตูยานให้เกมเมอร์ได้เล่นอย่างเป็นทางการแล้ว และกระแสของมันก็แรงจนติดอันดับเกมที่มีคนรอคอยมากที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว แต่ความสนุกของมันจะสูงส่งจนไปแตะหมู่ดาวได้เลยหรือไม่ หรือจะเป็นแค่อีกเกมที่เฉิดฉายอยู่ไม่นานแล้วก็มอดดับไป ท่ามกลางสารพัดเกมเด็ดที่ออกมาเกลื่อนกันในปีนี้ ถ้าอยากรู้ก็สวมชุดมนุษย์อวกาศแล้วออกสำรวจไปด้วยกันเลย

เรื่องสั้นสนุกๆ ท่ามกลางการผจญภัยสำรวจหมู่ดาว

สำหรับใครที่เห็นภาพปกเกมแล้วยังไม่เก็ต เนื้อเรื่องหลักและแก่นของเกม Starfield จะเน้นไปที่เรื่องการเดินทางออกสำรวจจักวาล โดยเส้นเรื่องหลักเล่าถึงตัวละครของเราที่ออกตามหาวัตถุลึกลับในอวกาศ ไขปริศนาจักรวาล และตื่นตาตื่นใจไปกับการได้สำรวจสังคมมนุษย์อวกาศท่ามกลางหมู่ดาว อารมณ์เดียวกับเนื้อเรื่องของการออกสำรวจดวงดาวในซีรีส์ Star Trek ไม่ใช่แนวควงยานอวกาศออกไปยิงแหลก ในสงครามแห่งดวงดาวแบบ Star Wars

...

ซึ่งการเล่าเรื่องแนวนี้น่าจะถูกใจเกมเมอร์ที่กำลังอยากเล่นเกม RPG ที่ให้อารมณ์การออกผจญภัยในดินแดนแปลกใหม่ไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องเครียด แต่อาจไม่ค่อยเหมาะกับคอเกมที่ชอบเรื่องราวแนวมหากาพย์สงครามไซไฟอวกาศที่เข้มข้นทุกขณะ

ข้อดีก็คือการได้ออกสำรวจเมืองใหม่ๆ ดาวใหม่ๆ และเจอเรื่องราวแปลกใหม่ในเกมนี้ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของ Starfield เลยทีเดียว การได้ก้าวเท้าเข้าสู่เมืองท่าคาวบอยอวกาศอย่าง Akila City เป็นครั้งแรก การได้เห็นเมืองแนวไซเบอร์พังก์กลางทะเลชื่อว่า Neon หรือการได้เจอกับนิคมอวกาศเล็กๆ ที่เพิ่งโดนสัตว์ประหลาดถล่มราบไปหมาดๆ

เหตุการณ์เหล่านี้ต่างมอบประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้เล่น แม้การเดินทางจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งไปยังอีกดวงหนึ่งจะไม่ได้ราบรื่นไร้รอยต่อเหมือนเกมขับยานสำรวจอวกาศเกมอื่น (เพราะมันถูกคั่นด้วยหน้าจอโหลดเกมเต็มไปหมด) แต่ทีม Bethesda เขาก็กลบจุดอ่อนตรงนี้ด้วยเควสต์เล่าเรื่องพิลึกๆ มากมายที่คุณอาจบังเอิญเดินไปเจอได้แบบงงๆ ตามซอกหลืบจักรวาล เป็นเหมือนนิทานก่อนนอนแปลกๆ ที่เกมเล่าให้คุณฟังเพลินๆ

นอกจากนี้ องค์ประกอบศิลป์และเสียงเพลงบรรรเลงในเกมนี้ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงอารมณ์ของการเดินทางสำรวจสถานที่ใหม่จริงๆ ด้วยงานดีไซน์ไซไฟแนว NASA ที่สวย ดูสมจริงนิดๆ และมีความไม่ซ้ำใคร ส่วนเพลงประกอบก็เพราะ ฟังเพลินหู และให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการมาก ช่วยทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังได้ออกสำรวจปริศนาของจักรวาล ทั้งที่จริงๆ แล้วก็นั่งกดจอยอยู่หน้าจอนั่นแหละ

น่าแปลกตรงที่เรื่องราวยิบย่อยที่คุณอาจจะเจอหรือไม่เจอก็ได้ในเกมนี้มันดันสนุกกว่าเควสต์ตามล่าสมบัติอวกาศที่เป็นเนื้อเรื่องหลักนี่สิ โดยเฉพาะเควสต์เนื้อเรื่องเสริมของฝักฝ่ายต่างๆ เช่น ตำรวจอวกาศ UC, คาวบอยไซไฟ Free Star Collective หรือสลัดอวกาศ Crimson Fleet รวมทั้งเควสต์เรื่องราวปูมหลังส่วนตัวของลูกเรือแต่ละคนที่มักจะแจกไอเทมดีๆ ให้ว้าวกันตอนจบซะด้วย

น่าเสียดายที่เควสต์สนุกๆ ที่เขียนเนื้อเรื่องมาได้โดนใจพวกนี้ดันไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น แถมกว่าเนื้อเรื่องหลักจะเข้มข้นขึ้นมาจริงๆ ก็ปาไปช่วงท้ายเกมเลย ซึ่งอาจทำให้หลายคนรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนระหว่างเล่นกันได้เลย

...

เร่งเครื่องยานแม่ของคุณสู่จักรวาลอันเปิดกว้าง

หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของ Starfield ก็คือขนาดของเกมที่กว้างใหญ่อลังการมาก ถึงจะไม่ได้ใหญ่ระดับจักรวาลย่อมๆ อย่างเกม No Man Sky แต่ก็ถือว่าเป็นเกม Open World ที่ยกระดับความเปิดกว้างจากแผนที่ใหญ่ๆ แผนที่เดียว มาเป็นความใหญ่ในระดับแผนที่ดวงดาว และมันทำให้ผู้เล่นมีโอกาสพบกับสภาพแวดล้อมหลากหลายรูปแบบกว่าเดิมมาก

ทั้งดาวเคราะห์ที่มีแต่หลุมบ่อแบบดวงจันทร์ ดาวหินสีส้มแบบดาวอังคาร หรือดาวที่มีต้นไม้สีประหลาดกับสิ่งมีชีวิตแปลกตาเต็มไปหมดอย่างกับการ์ตูน และถึงแม้เกมจะไม่ได้มีดาวให้คุณลงไปเดินสำรวจได้เป็นหลักหมื่นหลักแสนดวง และการบินสู่ดาวดวงใหม่ก็เต็มไปด้วยหน้าจอโหลดเกม แต่สิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือเควสต์สนุกๆ และบทสนทนาพิลึกๆ สไตล์ Bethesda ที่เจอได้เต็มไปหมดท่ามกลางหมู่ดาวพวกนี้นี่แหละ

แน่นอนว่าจะออกบินสำรวจอวกาศทั้งที ผู้เล่นจะขาดยานอวกาศคู่ใจเอาไว้ใช้สักลำได้ยังไง ซึ่งเกมนี้ก็มียานอวกาศให้ผู้เล่นสารพัดแบบ มีตั้งแต่ยานเท่ๆ สไตล์เครื่องบินขับไล่ ยันตู้คอนเทนเนอร์บินได้ โดยยานแต่ละลำก็จะมีอาวุธ เกราะ ความอึด และความเร็วต่างกันไปด้วย ที่สำคัญคือหากคุณไม่ถูกใจยานสำเร็จรูปที่เขาขายกันตามท่ายาน คุณสามารถสร้างยานลำใหม่ขึ้นมาจากศูนย์เลยก็ได้ (ถ้ามีตังค์ในเกมมากพอนะ) ซึ่งระบบต่อยานในเกมนี้ก็ทำออกมาได้ดีสมราคาคุย เพราะมันใช้ง่าย เปิดให้ผู้เล่นแต่งเสริมเติมแต่งอุปกรณ์ยานได้แทบทุกอย่าง แถมการปรับแต่งยังมีผลกับทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในของยานอีกด้วย

...

เรียกว่าโอกาสที่จะสร้างยาน Millenium Falcon หรือ Enterprise ของคุณเองได้ใส่พานมาให้ในเกมนี้แล้ว นอกจากนี้ ยิ่งคุณได้บินไปยังดาวดวงใหม่ เจอท่ายานที่มีของแต่งแปลกใหม่ คุณก็จะยิ่งอยากต่อเติมยานของคุณต่อไปอีก รู้ตัวอีกทีคุณก็จะเสียเวลาไปกับการนั่งแต่งยานเป็นชั่วโมง โดยที่เควสต์เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าซะงั้น

ส่วนเกมเพลย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่การสำรวจไปเรื่อย หรือการเดินคุยกับชาวบ้านคนนู้นคนนี้ ก็จะเป็นการบู๊แหลกแบบระเบิดภูเขาเผากระท่อมนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นการยิงกันบนพื้นหรือบู๊กันบนยาน ซึ่งระบบปืนในเกมก็ถือว่าเล่นสนุก ยิงมันใช้ได้ ให้ความรู้สึกดีกว่าเกม Fallout แต่ก็ไม่ได้เลิศเลอเทียบชั้นเกมขึ้นหิ้งอย่าง DOOM ส่วน AI ของศัตรูก็ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สนุกพอควร รู้จักวิ่งหนีเวลาโดนกระหน่ำ หรือหาทางอ้อมมาตลบหลังเราเมื่อมีโอกาส ส่วนระบบขับยานยิงต่อสู้ในเกมก็มาแนวเดียวกัน คือเล่นได้สนุกเรื่อยๆ ดี แต่ก็ไม่ได้มีรายละเอียดของการขับยานเยอะแยะเท่าเกมแนวขับยานจริงจัง (Space Sim)

จุดที่น่าเสียดายคือ AI ของยานศัตรูกลับค่อนข้างทื่อมาก เพราะมันไม่ค่อยทำอะไรนอกจากหาทางบินปรี่มาหาเรา และพยายามสาดกระสุนใส่ยานเราให้มากที่สุด เสร็จแล้วก็วนกลับมาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผลก็คือในช่วงต้นเกมที่ยานของคุณห่วย คุณก็จะแทบทำอะไรกับยานศัตรูไม่ได้เลย ได้แต่ปล่อยให้โดนยิงกระจุยเป็นชิ้นๆ ไปวันๆ แต่พอช่วงท้ายเกมที่คุณอัปเกรดยานจนดีพอแล้ว เกมเพลย์ขับยานก็จะไม่เหลือความท้าทายอีกต่อไป มีแค่บินเข้าหาอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดพร้อมกับกดยิงไปเรื่อยๆ จนกว่ายานศัตรูจะบึมก็แค่นั้น

...

มันก็คือเกม RPG ของแท้และดั้งเดิม จากทีมพัฒนาเจ้าเก่านั่นแหละ

ต้องอย่าลืมว่า Starfield ไม่ใช่เกมแนว FPS ยิงแหลก แล้วก็ไม่ใช่เกมแนวขับยาน Space Sim ด้วย มันคือเกมแนวสวมบทบาท (RPG) สไตล์คลาสสิก หรือจะเรียกว่าเก่าเลยก็ได้ โดยทุกครั้งที่คุณเก็บค่าประสบการณ์ (XP) ได้มากพอ ตัวละครของคุณก็จะได้อัปเลเวล และได้แต้มไปเลือกใช้กับทักษะดีๆ ได้หนึ่งอย่าง ซึ่งระบบทักษะก็มีความหลากหลายพอสมควร เช่น อาจจะช่วยให้คุณบู๊เก่งขึ้น ซุ่มเก็บศัตรูได้ดีขึ้น หรือพูดจาไพเราะจนทำให้คู่อริยอมสงบศึกในบางสถานการณ์ (อันนี้สนุกที่สุดละ)

ซึ่งก็ช่วยเปิดให้ผู้เล่นมีแนวทางการเล่นที่หลากหลายขึ้น ส่วนการจะเพิ่มความเก่งกาจให้แก่ทักษะแต่ละอย่าง จะเป็นแบบกึ่งบังคับให้ผู้เล่นต้องทำตามข้อแม้ต่างๆ ให้สำเร็จก่อน มีตั้งแต่ยิงศัตรูด้วยปืนกระบอกนี้ให้ได้กี่คน ยันติดของแต่งยานใหม่ๆ ให้ได้กี่ชิ้น ข้อดีก็คือระบบนี้ช่วยกล่อมให้ผู้เล่นยอมลองเล่นเกมในสไตล์ใหม่บ้าง แต่บางครั้งมันก็ดันกลายเป็นอุปสรรคให้จังหวะของเกมอืดยิ่งกว่าเดิมได้ด้วยเช่นกัน

และนั่นก็นำมาสู่จุดอ่อนใหญ่ที่สุดของเกมนี้ นั่นคือความเนิบของเกมที่หลายครั้งเข้าขั้นน่าเบื่อ สาเหตุหลักก็เพราะช่วงเปิดเกมที่ค่อนข้างช้ามาก แถมยังเล่าแบบตรงไปตรงมาจนขาดสีสัน เควสต์หลักก็ขาดความพิลึกๆ สนุกๆ ซึ่งต่างจากเกมซีรีส์ Elder Scroll และ Fallout รุ่นก่อนของ Bethesda ที่มักจะมีมุกน่าสนใจใส่เอาไว้เสมอ นอกจากนี้ ช่วงที่ตัวละครของคุณยังเลเวลไม่สูง ตังค์น้อย และที่สำคัญคือ "ยานกาก" จะเป็นช่วงที่จังหวะความเพลินในเกมนี้ช้าระดับหอยทาก และการที่เกมไม่ค่อยบอกว่าระบบต่างๆ ใช้ยังไง โดยเฉพาะระบบต่อยาน สร้างของ สร้างบ้าน ก็ยิ่งทำให้เกมเมอร์หลายคนอาจจะยิ่งเบื่อกว่าเดิม เพราะเล่นแล้วเจอแต่อะไรติดขัดตลอด

ส่วนเรื่องบั๊กในเกมก็ยังมีอยู่บ้างตามสไตล์เกมของเจ้านี้ เช่น เกมกระตุก เด้งหลุด ตัวละครเพื่อนไปยืนอยู่ในพื้น ฯลฯ แต่ก็ยังพูดได้เต็มปากว่า Starfield เก็บงานได้เนี้ยบกว่าเกมก่อนของทีมนี้เป็นไหนๆ และบั๊กไม่ได้กระทบกับความสนุกเท่ากับเกมอื่นของค่ายอย่างแน่นอน

สุดท้าย Starfield ก็คือเกม RPG แบบดั้งเดิมของทีมพัฒนา Bethesda ที่ไม่ได้หวังจะมาปฏิวัติวงการเกมแต่อย่างใด แต่มันก็ยังเล่นได้สนุกเพลินๆ ไม่ค่อยต่างจากเกมซีรีส์ Skyrim หรือ Fallout ที่แฟนๆ คุ้นเคย เกมนี้จะบันเทิงที่สุดก็ต่อเมื่อคุณอยู่ในอารมณ์นั่งเล่นชิลๆ ไปเรื่อยหลังเลิกเรียนหรือเลิกงาน

ระหว่างเล่นก็ระลึกไว้เสมอว่าประสบการณ์ระหว่างการเดินทางนั้นสำคัญกว่าจุดหมายเสมอ ถ้านั่นฟังดูเป็นแนวเกมที่คุณกำลังมองหา คุณก็จะจมไปกับ Starfiled เป็นหลัก 100 ชั่วโมงได้แน่ๆ แต่ถ้าคุณอยากเล่นเกมสวมบทบาทที่สนุกตื่นเต้นในทุกขณะ หรือเกมที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเกม คงต้องไปหาจากเกมอื่นแล้วล่ะ

ภาพจาก : Bethesda.net